🕛🏹 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#61 Week#16, 13 - 17 ตุลาคม/ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา - ถุงมือ กระบี่รันทด🏹🕛

กระทู้คำถาม
อมยิ้ม33

ถุงมือเรื่องสั้น สัปดาห์ที่ 16 เรื่องที่ 6 สุดท้ายสำหรับสัปดาห์นี้ครับ...

เป็นอีกเรื่องที่สำนวนลีลาแนวยุทธจักรจีน เรื่องราวของมือกระบี่และกวีเดียวดาย ซึ่งต้องประสพความยากลำบากในการจัดงานชุมนุมยุทธจักรกับ "พี่ใหญ่" ผู้ซึ่งตนมีความเคารพผูกพัน แต่บาดหมางกับผู้ร่วมชุมนุมบางคน ทำให้เขากลุ้มใจจนต้องดื่มสุราคลายทุกข์

มือกระบี่คนนี้จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ดังกล่าว หรือว่าไม่อาจทำอะไรได้ ?

ตามมาดูกันครับ......อมยิ้ม19อมยิ้ม20

อมยิ้ม49
"อาฟง เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้"

"พี่ใหญ่ ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้ามิอาจ"

"เจ้าจะบ่ายเบี่ยงไปไย ข้ามีหลักฐาน รอยจารึกอักษรด้วยคมกระบี่ของนางบนภูผาจั้วเจียลู่ซึ่งตอบโต้โคลงกวีของข้า ร้ายกาจนัก ความปั่นป่วนวุ่นวายจักเกิดขึ้นแก่งานชุมนุมซึ่งเจ้าจัดขึ้นในครานี้"

"พี่ใหญ่โปรดฟังเหตุผลของข้าแล้วพิจารณาให้ดี หลุนโกวเนี้ยกับข้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางอันใดต่อกัน ท่านจะให้ข้าขับไสไล่ส่งนางออกจากงานชุมนุมด้วยเหตุผลใดได้ ผู้มาใหม่หาใช่มีแต่นางแต่ผู้เดียวไม่ แต่ยังมีอีกหลายนาม อาทิเช่น ลู่เปียนชือ สุยฉ่ายเชียนปี่ หรือแม่นางน้อยเหลียนฮวา หมอหญิงผู้เก่งกล้าทั้งวิชาแพทย์และเริ่มศึกษาวิชาบุ๋น ทุกคนต่างสนทนาพาทีกันฉันท์มิตรอย่างอบอุ่นด้วยดี..."

"อาฟง" หรือ หยางฟง ครุ่นคิดถึงถ้อยคำวิวาทะดังกล่าว ซึ่งยังมีต่อไปอีกมากมาย คิดไปพลาง ร่ำสุรานารีแดงไปพลางด้วยความกลัดกลุ้ม ณ มุมด้านในสุดใกล้หน้าต่างของโรงเตี๊ยมใหญ่ บนถนนสายซึ่งได้นามว่า "จั้วเจียลู่"  ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการประลองยุทธในครั้งนี้

มันเป็นเช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ระหว่างการประลอง บางครั้งก็มีข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นบ้างระหว่างผู้ประลองด้วยกัน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเขาในการหย่าศึก และสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้คู่กรณีอาจหมางใจกันบ้าง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป พวกเขาก็ยังสามารถสนทนาพาทีต่อกันเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่นๆ ได้ตามปกติ

แต่คราวนี้ หยางฟงรู้สึกว่า สถานการณ์หนักอึ้งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

พี่ใหญ่ของเขาเป็นคนมั่นคงเด็ดเดี่ยว ยากนักที่จะเปลี่ยนใจยินยอมให้กับเรื่องราวที่ตนมิอาจยินยอม

เขาไม่รู้ว่า พี่ใหญ่กับลู่โกวเนี้ย ผู้มีฉายานามว่า "เชิ่งหยู" บาดหมางกันเรื่องอันใด ร้ายแรงแค่ไหน

อันที่จริง เขาจะตามไปดูข้อความที่นางใช้กระบี่สลักอักษรบนภูผาจั้วเจียลู่ ก็คงจะพอทราบเรื่องราวได้บ้างไม่มากก็น้อย

แต่เขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น เพราะเขาคิดว่า ตนมิใช่ผู้พิพากษาในศาลที่จะไปตัดสินใครๆ ว่าถูกหรือผิด เพราะเหตุผลสำคัญที่สุดคือ เขามิได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น เมื่อมิได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาจึงมิอาจเชิญลู่โกวเนี้ยออกจากงานชุมนุมการประลองครั้งนี้ ซึ่งได้เริ่มเปิดการประลองไปแล้วได้ อีกทั้งนางกับเขาก็เป็นมิตรต่อกัน แม้จะไม่นานเป็นปีๆ เหมือนอย่างพี่ใหญ่ แต่อย่างไรเสีย นางก็คือมิตร แล้วจะให้ขับไล่มิตรออกจากงานชุมนุมต่อหน้าเหล่าจอมยุทธและเหล่าบัณฑิตได้อย่างไรกัน..

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ดูท่าทาง งานชุมนุมคราวนี้ ตนไม่รู้สึกปลอดโปร่งใจเฉกเช่นในอดีตเสียแล้ว

พรึ่บๆๆๆๆ...

เสียงกระพือปีกของวิหคตัวหนึ่งดังมาจากนอกหน้าต่าง ตามด้วยเสียงร้อง แก๊ก จากลำคอของมัน

หยางฟงหันไปมอง แล้วยิ้มให้มันอย่างเศร้าสร้อย

"เหมียนเอ๋อ (เจ้าสำลี) เจ้ามาแล้วหรือ คาบรายนามผู้ประลองยุทธครั้งต่อไปมาให้ข้าด้วย รวดเร็วจริง ขอบใจเจ้ามากนะเพื่อนยาก"

วิหคแสนรู้ส่งเสียงร้องดัง แก๊ก อีกครา รับคำ มันเป็นพิราบขาวตัวโต คอยคาบข่าวส่งให้เขาเป็นประจำด้วยความซื่อสัตย์และรวดเร็ว

หยางฟงยื่นมือไปรับม้วนกระดาษจารึกรายนามผู้ร่วมประลองยุทธในครั้งต่อไปมาจากปากของมัน พอมันอ้าปากปล่อยม้วนกระดาษตกลงบนฝ่ามือของเจ้านายของมันแล้ว มันก็ได้รับเนื้อย่างจากจานกับแกล้มของเจ้านายเป็นรางวัล จิกกินอย่างร่าเริงสบายใจ และยื่นศีรษะมาเคล้าคลอเคลียมือของเจ้านายด้วยความผูกพันรักใคร่ ราวกับว่ามันเป็นแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่งก็มิปาน

หยางฟงคลี่ม้วนกระดาษออกมาอ่านรายนามเหล่าจอมยุทธและบัณฑิตผู้ร่วมประลองซึ่งนับได้สิบกว่าคน แบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งประลองยุทธบนลานกว้าง อีกพวกหนึ่งประลองบุ๋นด้านโคลงกวีโดยใช้ดาบ กระบี่ หรือพู่กันขนาดใหญ่กระโดดขึ้นไปตวัดอักษรบนผนังหิน เป็นบทกวีสี่อักษรบ้าง หกอักษรบ้าง แปดอักษรบ้าง ตามที่แต่ละคนถนัด

"ชี่เหอ...จีตูเจี้ยวกงจื่อ... พ่อซุ่ยเชียนปี่...จีเหล่าซือ..."

เขาอ่านทีละรายชื่อ ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย...อย่างช้าๆ ด้วยความหวังลึกๆ ว่า อาจบางที พี่ใหญ่ของเขา จะเปลี่ยนใจ ยอมร่วมชุมนุมประลองด้วย

แต่ก็ต้องใจแป้ว รู้สึกท้อแท้อีกครั้ง เมื่อพบว่า รายชื่อสุดท้ายก็คือ ชิวเทียน ผู้เป็นทั้งน้องสาวและศิษย์เอกของเขา

ไม่มีพี่ใหญ่ ปรากฏในรายชื่อที่เรียงรายบนกระดาษแผ่นนั้น

หยางฟงซึมกระทือไปพักใหญ่ เจ้าสำลีก็จิกกินชิ้นเนื้อย่างที่เจ้านายโยนให้เป็นระยะๆ จิกกินไป ทำตาปริบๆ มองหน้าเจ้านายไปด้วยความกังขา มันไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนวันนี้ เจ้านายของมันจึงโศกเศร้าถึงเพียงนี้

สุราเทลงจอกทีละจอก ดื่มไม่หนำใจ หยางฟงจึงยกทั้งไหขึ้นดื่ม อั้กๆๆ ลงคอไปครึ่งไห แล้วกระแทกก้นไหลงบนโต๊ะดังปังใหญ่

มีเสียงตะคอกดังข้ามมาจากโต๊ะด้านหน้าด้วยท่าทีคุกคามด้วยความไม่สบอารมณ์

"มีปัญหาอันใดมิทราบ คุณชาย เหตุใดทำเสียงดังโครมคราม หรือว่าอยากมีเรื่องยืดเส้นยืดสาย ข้าสนองให้ท่านได้"

หยางฟงเหลียวไปมอง แล้วฝืนยิ้ม ตอบบุรุษนั้นไป

"ขออภัย พี่ชาย ข้ากลัดกลุ้มมากเกินไป จึงพลั้งเผลอ ท่านอย่าได้ถือสาหาความข้าเลยนะ"

"เฮอะ กลัดกลุ้ม เรื่องเกี่ยวกับนารีละกระมัง ข้าเห็นมามากต่อมาก อกหัก พลาดหวังจากนางในดวงใจ มารดามันเถอะ แล้วก็มาร่ำสุราราดทุกข์" บุรุษนั้นกล่าวพลางส่ายหน้าพลาง มองหน้าหยางฟงอย่างสมเพทเวทนา ความโมโหโกรธาเมื่อสักครู่ปลาสนาการไป ความเห็นใจเข้ามาแทน

หยางฟงฝืนยิ้มอีกครั้งแล้วตอบ

"พี่ชาย ท่านไม่เข้าใจหรอก อธิบายก็ยากจะอธิบาย เอาเป็นว่า สำหรับข้า มันหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความรู้สึกอกหักหลายเท่านัก"

สิ่งที่ได้รับเป็นคำตอบจากบุรุษนั้นก็คือการส่ายหน้าเหมือนเช่นเดิม

"เฮ้อ ข้าละเหนื่อยใจแทนท่านจริงๆ จะไปสนใจอันใดให้มากหลายกับอิสตรี เอาเถิด ข้าไม่กวนใจท่านแล้ว เชิญท่านใช้สุราราดทุกข์ของท่านต่อไปก็แล้วกัน ข้าเห็นทีต้องกลับบ้านเสียที ป่านฉะนี้ภรรยาและลูกข้าคงจะรอข้านานจนย่ำแย่แล้ว"

"โชคดี พี่ชาย"

"ท่านก็เหมือนกัน คุณชาย"

แล้วบุรุษผู้ไม่ทราบนามนั้นก็เดินโซซัดโซเซออกจากโรงเตี๊ยมไป

คล้อยหลังเขาไปเพียงอึดใจเดียว ขณะที่หยางฟงกำลังยกไหสุราขึ้นดื่ม เสียงวัตถุหนึ่งก็ดังแหวกอากาศมาแต่ไกล พุ่งเป้ามายังเขา

ฟุ่บบบบ......

หูทั้งสองข้างของหยางฟงเกิดอาการเอ็นกระตุก แต่เขาก็ยังคงใช้มือขวายกไหสุราขึ้นและแหงนหน้าอ้าปากดื่ม พร้อมกับในขณะเดียวกัน มือซ้ายจับตะเกียบคีบรับวัตถุนั้นไว้อย่างแม่นฉมังราวกับมีดวงตาที่ท้ายทอย!

ควับบบ....

เป็นม้วนกระดาษน้อยม้วนหนึ่ง ผูกติดกับลูกธนู มีกลิ่นหอมของน้ำหอมติดมาด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ส่งมาเป็นสตรี

หยางฟงมือหนึ่งวางไหสุรา อีกมือหนึ่งใช้ตะเกียบคีบลูกธนูแล้วอ้าปากคาบม้วนกระดาษดึงออกมาแล้วปล่อยลูกธนูทิ้งลงบนพื้น คลี่ม้วนกระดาษแผ่นน้อยนั้นเปิดอ่าน ....เป็นข้อความจากพี่ใหญ่นั่นเอง

"เจ้ามิอาจทำสิ่งที่ข้าต้องการ เหตุฉะนั้น ก็ขอให้เจ้าโชคดี"

ความหมายก็คือ "ลาก่อน" นั่นเอง

หยางฟงน้ำตาซึม ยกไหสุราขึ้นดื่มเป็นครั้งสุดท้าย อั้กๆๆ รวดเดียวหมด แล้วโยนไหซึ่งทำด้วยดินเผาทิ้งออกนอกหน้าต่าง เสียงมันตกกระทบพื้นดังเพล้ง จากนั้นวางเงินค่าสุราลงบนโต๊ะ แล้วคว้ากระบี่คู่กายใจถือเดินออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่รอรับเงินทอนจากเสี่ยวเอ้อ แม้เขาจะร้องตะโกนโหวกเหวกตามหลังขณะวิ่งตามมา เจ้าสำลีก็บินตามหลังมาติดๆ

"คุณชาย คุณชายครับ เงินทอนของท่าน"

"เจ้าเก็บไว้เถิด" เขาตอบโดยมิได้หันกลับมามอง

เดินต่อไป มุ่งหน้าสู่หินผาเรียบกว้างใหญ่แห่งเขาต้าเจียลู่ พอเข้าไปใกล้ได้ระยะพอสมควรแล้วจึงเกร็งลมปราณ ทะยานตัวขึ้นสู่เบื้องบน ชักกระบี่ออกจากฝัก ตวัดสลักอักษรตั้งต้นจากบนลงล่าง

"ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา"

จากนั้นจึงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เปล่งเสียงหัวเราะดังก้องถนนต้าเจียลู่แห่งนั้น ห่างออกไปๆ จนลับสายตาเสี่ยวเอ้อผู้ยืนมองอย่างงวยงง

/// จบ ///

หมายเหตุ : เรื่องราวเป็นจินตนาการ หากมีส่วนคล้ายคลึงเรื่องของผู้ใด ผู้เขียนฝากขออภัยเป็นอย่างสูงด้วย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่