เราจะเป็นมนุษย์เงินเดือนไปแบบนี้ตลอดจริงหรอ ??

อายุจะเข้า 25 ทำงานได้ 2 ปีกว่า รู้สึกว่าทำงานกินเงินเดือนแบบรายรับรายจ่ายคงที่ ไม่มีเพิ่ม บางทีเดือนชนเดือน จะไปทำอะไรก็ดูเหมือนตัวเองทำได้แต่ในสิ่งที่เล่าเรียนมา ไม่กล้าออกไปเสี่ยง กล้าๆกลัวๆที่จะไปทำอะไร ขนาดชีวิตเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ท้อแล้ว 
ขอแนวคิดดีๆแรงบันดาลในการเป็นมนุษย์เงินต่อหน่อยค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ลองมาคิดขำๆ "เงินเดือนเรามีมูลค่าเท่าไร?"
คิดขำๆนะ มานั่งคิดเล่นๆว่า เงินเดือนเราเนี่ย หากคิดกลับกันเป็นดอกเบี้ยของเงินฝากที่ให้กลับมาเป็นรายเดือนแล้ว เราต้องมีเงินฝากเท่าไร? ถึงจะได้ผลประโยชน์(ดอกเบี้ย)กลับมาเท่ากับเงินเดือน ลองคิดดอกเบี้ยที่ 3% ต่อปีนะ
เช่น ถ้าเรามีเงินเดือน 30,000 เราต้องมีเงินฝากเท่าไร? ถึงจะมีดอกเบี้ยตอบแทนเราเท่ากับเงินเดือน? คำตอบคือ เงินฝาก 12,000,000.-บาท เพราะเงิน 12 ล้านให้ดอกเบี้ยคือ 360,000 ต่อปี นั่นคือ ผลประโยชน์ต่อเดือน 30,000.-
คิดง่ายๆ ผลประโยชน์ 10,000 บาทต่อเดือน ต้องมีเงินฝาก 4,000,000.- (ดอกเบี้ย 3% ต่อปี) หากท่านได้เงินเดือน 20,000.- เทียบแล้ว ท่านต้องมีเงินฝากในธนาคาร 8 ล้านบาท ถึงจะได้ดอกเบี้ยกลับมาเท่ากับเงินเดือน
หากท่านใดมีเงินเดือน 50,000 รู้มั้ยครับ หากท่านต้องมีเงินฝากถึง 20 ล้านเชียวนะ ถึงจะมีผลประโยชน์กลับคืนมาในรูปของดอกเบี้ยเป็นเงิน 50,000 บาท
หากท่านมีเงินเดือน 100,000 หมายความเสมือนว่าท่านมีเงินฝากในธนาคารเป็นจำนวนถึง 40 ล้านบาท!!!!
หากท่านมีเงินเดือน 300,000 จะเสมือนว่าท่านมีเงินฝากถึง 120 ล้านบาท
เสียอย่างเดียวที่เงินฝากจำนวนนี้ ท่านไม่สามารถถอนออกมาใช้ได้ หรือถอนออกมาซื้อรถสปอร์ตมาขับเล่นได้ มันจะอันตธานหายไปทันทีเมื่อท่านออกจากงาน
ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชีวิตนี้มีเงินเก็บอยู่ 5 ล้านมั้ง จบปริญญาโทเมืองนอก แต่เข้ากับใครไม่ได้ เลยไม่ทำงาน ทุกวันนี้นั่งกอดเงินเก็บดอกเบี้ยกินอย่างเดียว แสดงว่า เค้ามีดอกเบี้ยเสมือนกับเงินเดือนๆละ 12,500.- เค้าเลยไม่กล้าถอนเงินต้นที่ฝากเอามาใช้แม้แต่บาทเดียว เห็นมั้ยครับ คนมีเงินห้าล้านในธนาคารมีเงินเดือนเสมือนแค่ 12,500.- เท่านั้นเอง
ขอบอกก่อนว่าผมไม่ได้ดูถูกเงินฝาก หรือ เงินเก็บที่บางคนเก็บมาทั้งชีวิตนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า เงินเดือนของท่านที่ทำงานประจำรับเงินเดือนนั้น ที่ได้มาในแต่ละเดือนนั้นมีมูลค่าสูงแค่ไหน?
ดังนั้นขอจงภูมิใจเถอะ ที่ท่านเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มี ผลประโยชน์ (ดอกเบี้ยเสมือน) ที่ตอบแทนท่าน เท่ากับมูลค่าเงินฝากที่สูงมากๆ
ผมเองเป็นมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพครับ พ่อแม่จบ ม.3 รับเหมารับจ้างถมที่ดินเรื่อยเปื่อย ตัวผมไม่มีหัวด้านการค้าเลย ไม่กล้าค้าขายอะไร เลยต้องมาเอาดีทางการเป็นมนุษย์เงินเดือน ดังนั้นเนื่องในวันศุกร์แห่งชาติ ผมอยากจะบอกท่านว่า เงินเดือนท่านนั้นมีมูลค่าสูงแค่ไหน และท่านควรจะรักงานของท่าน และทำมันให้ดีที่สุด หากจะเลิกเป็นมนุษย์เงินเดือน ต้องคิดให้หนักนะครับ เพราะเงินฝากเสมือนของท่านจะอันตธานหายไปในทันที
ความคิดเห็นที่ 38
ความเห็นส่วนตัวนะครับ...เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว หลงเพ้อไปกับคำว่า "อิสระทางการเงิน" หรือ "เจ้านายตัวเอง" จนมองคำว่า "มนุษย์เงินเดือน" ในแง่ร้ายเกินไป เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ ก็เลยไม่อยากทำงานกินเงินเดือน พอไม่อยากทำมันก็ไม่ชอบงานที่ทำ พอไม่ชอบงานที่ต้องทำ มันก็ทำงานออกมาได้ไม่ดี พองานออกมาไม่ดี การพิจารณาอะไรต่าง ๆ มันก็เป็นไปตามผลงาน พอไม่ได้รับการพิจารณา เงินเดือนมันก็ขึ้นน้อย (หรือไม่ขึ้น) มันก็วนลูปกลายเป็นวัฏจักรแห่งความตกต่ำ

ผมเป็นคนนึงที่ตั้งตัวได้จาก "เงินเดือน" โชคดีตรงที่เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานก็ไม่แย่ แต่ที่มันไม่ดีคือตัวเราเองที่ไม่อยากทำงานนี้ ตอนนั้นก็หลงไปตามเพื่อน อยากออกไปเปิดธุรกิจเอง งานก็ลาบ้างขาดบ้าง เจ้านายก็ทั้งเตือนทั้งด่าก็ไม่ฟัง สุดท้ายพอรู้สึกตัว ถามตัวเองจริง ๆ ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราก็ตอบตัวเองได้ว่า ไม่ได้ชอบงานก็จริง แต่เรารักความสบายมากกว่า ไม่ได้เดือดร้อนกับการอยู่ในกับดักมนุษย์เงินเดือน และมีความสุขอยู่แล้วในเซพโซนของตัวเอง

นึกได้ก็หันมาตั้งใจทำงาน เริ่มจากการไปเรียนต่อเพื่อเพิ่มวิทยฐานะ ตอนนั้นวุฒิที่จบมากับงานที่ทำมันไม่ตรงกันก็ไปเรียนให้ได้วุฒิตรงกับงาน เรียนจบเค้าก็ปรับวุฒิให้ นายก็มอบหมายงานสำคัญให้ พอตั้งใจทำงานมันก็ออกมาดี พอมีผลงานให้นายเห็นนายก็ดันเลื่อนเป็นหัวหน้า จากหัวหน้าก็ได้เป็นผู้จัดการ เงินเดือนก็ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่รายได้มากกว่ารายจ่าย

...แนวคิดดี ๆ หรือแรงบันดาลใจอะไร ขอจากใครไม่ได้หรอกครับ มันต้องมาจากการเปลี่ยนมายด์เซ็ตของตัวเอง ต้องมองเห็นค่าของตัวเอง ต้องมองเห็นค่าของงานที่ทำ ถ้ามองไม่เห็นก็ต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ สร้างคุณค่าของงานที่ทำ สร้างคุณค่าของตัวเองขึ้นมาให้ได้

ง่ายที่สุดก็คือ ทำงานที่ไม่มีใครทำได้นั่นแหละครับ อย่างสมัยผม นายมีงานพรีเซนต์แล้วนายอยากจะฝึกคนขึ้นมาใหม่ โยนให้ใครก็ไม่มีใครทำ ผมนี่ยกมือขอทำเลย นายก็ให้ฝึกพูด ฝึกเขียนสคริปต์ ตอบคำถาม ลีลาท่าทางการพูด งานแรก ๆ แน่นอนว่าพังไม่เป็นท่า พูดไม่รู้เรื่อง ตะกุกตะกัก มือไม้เกะกะ นายก็นั่งอมยิ้ม ตอนหลังพอดีขึ้นนายก็ปล่อยเลย ทีนี้พอเริ่มมั่นใจเราก็กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ เริ่มใส่มุกแทรก นั่งทำสไลด์พรีเซนต์เอง ตอนหลังมาก็พูดสบายเลย ขนาดพูดให้นายกประยุทธ์ฟังมาแล้ว (ตอนนั้นนายกฯ ยังไม่ได้เป็น ผบทบ. เลย เป็นแค่แม่ทัพภาคเล็ก ๆ ไม่ได้นั่งหัวโต๊ะด้วยซ้ำ)

พอมีผลงาน นายก็เห็น พอมีงานไปไหนนายก็มักจะหนีบไปด้วย ไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ ไปไหนต่อไหนนายก็จะเรียกใช้งานก่อนเพราะรู้ว่าเราทำได้ เรียกใช้งานได้ สั่งอะไรมักจะ "ครับ" ไว้ก่อนแล้วค่อยหาทางทำงานอีกที ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไปถามนายว่าทำยังไง นายก็ชี้ช่องให้ หาคอนเนคชั่นให้ มันก็มีทางเดินของงานไป

เงินเดือนมันก็ขึ้นตามตำแหน่ง ตำแหน่งมันก็ขึ้นตามผลงาน ผลงานมันก็เกิดขึ้นตามความสามารถของเรา แน่นอนว่าความสามารถของเรามันจะเกิดขึ้นได้ เราต้องมองเห็นความสามารถของเราก่อน ไม่มีก็สร้าง ศึกษา เรียนรู้ ฝึกฝน จนกลายเป็น "ทักษะส่วนตัว" ที่ไม่มีใครทำได้

อยากให้ จขกท. เปลี่ยนมายด์เซ็ตมุมมองตัวเองใหม่ด่วนเลยครับ อย่าไปคิดว่า "ทำได้แต่ในสิ่งที่เล่าเรียนมา" แต่ให้คิดเลยว่า "เราทำได้" ทำอะไรก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีคำว่า "ทำไม่ได้" มีแต่คำว่า "ไม่รู้" ถ้าไม่รู้ก็ไปศึกษาเพื่อให้รู้ พอรู้แล้วเราก็ทำได้เอง ไม่ต้องไปหาไลฟ์โค๊ชที่ไหนด้วย เราเองนี่แหละที่สอนตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่