เริ่มต้นที่ฉันเกิดและโตมากับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นเรามีกัน 5 คน เรามีกันครบทั้งพ่อแม่ พี่ชาย ป้าที่ฉันมักจะเรียกเขาว่าแม่อีกคน และตัวฉันเองที่กำลังจะเข้าวัย 20 แล้วในตอนนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ฉันจำได้ลางๆว่าฉันได้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านในตอนประถม สมัยนั้นฉันยังไม่รู้จักคำว่าโทรศัพท์ด้วยซ้ำ เราอยู่ในเขตชนบทที่ห่างไกลกับตัวเมืองมากโขจริงทำให้ยากสักหน่อยหากจะเดินทางไปไหนมาไหน ในช่วงตอนเด็กฉันค่อนข้างทีจะเกลียดนิสัยของตัวเองอยู่อย่างหนึ่งคือความเอาแต่ใจ ฉันมักจะงอนพ่อกับแม่และป้าอยู่เสมอเพราะไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้เลยว่าเงินแต่ละบาทมันมาได้ยังไงและสิ่งที่ต้องการนั้นมันแพงแค่ไหนสำหรับครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังขอบคุณตัวเองที่ยังคงเป็นเด็กดีมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ฉันชอบการอ่านและวาดภาพมากฉันได้ทักษะมากมายมาจากคนทีบ้านฉันแต่งกลอนง่ายๆเป็นเพราะแม่ของฉัน ฉันชอบการวาดภาพเพราะพ่อของฉันสอน ฉันได้รับความอบอุ่นอ่อนโยนจากแม่คนที่สองของฉันและความสุภาพใจดีจากพี่ชายของฉัน
ในวันที่ฉันเข้าโณงเรียนประถมวันแรกๆ ฉันร้องไห้เพราะคิดว่าถูกทิ้งแล้ว ในสมัยอนุบาลฉันเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นักจึงทำให้ชอบที่จะอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่าแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมีครูอนุบาลอยู่เป็นเพื่อน
เมื่อฉันอยู่ประถมฉันมักจะโดนแกล้งจากผู้ชายทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง และนั่นทำให้ฉันมักจะร้องไห้อยู่บ่อยครั้งนั่นทำให้ฉันเกลียดการบูลลี่ในโรงเรียนเป็นที่สุดเพราะฉันเข้าใจว่ามันเป็นยังไงเมื่อไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเรา ฉันคิดว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บความรู้สึกของฉัน เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นฉันไม่ได้บอกพ่อแม่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและมันเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งจนเมื่อฉันกลับบ้านฉันร้องไห้ เมื่อคนในครอบครัวถามฉันจึงเริ่มต้นที่จะโกหก
น่าแปลกใจที่ฉันเริ่มต้นที่จะปกป้องพวกเขาแทนที่จะปกป้องตัวเองด้วยการโกหกว่าฉันล้มหรือเดินชนประตูบ้างจนเมื่อฉันเริ่มมีเพื่อนการถูกแกล้งก็น้อยลงไปบ้าง แต่ถึงการนั้นฉันก็เคยที่จะต่อยกับผู้ชายพวกนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง
เหตุการณ์เดิมก็กลับมาอีกครั้งในสมัยที่ฉันอยู่มัธยมต้น ฉันอยู่กลุ่มเดียวกันกับหนึ่งในเพื่อนของฉันสมัยประถมทุกอย่างจนกระทั่งเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อฉันเดินไปไหนมาไหนกับเพื่อนในห้องอีกคน เพราะว่าเราชอบที่จะอ่านหนังสือด้วยกัน นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง ฉันโดนพวกเขาทิ้ง และไม่สนใจอีกต่อไป พวกเขาทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนใดๆในสายตานั้น เมื่อมีงานกลุ่มฉันเองก็มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำมากที่สุดด้วยเหตุผลเพราะว่าเรียนเก่ง ฉันไม่ได้โกรธพวกเขาหรอกเพียงแค่อยากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนทิ้งเหรอ นั่นเองก็เป็นที่มาของคำว่าไม่เป็นไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันเริ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีกคนเพราะเราชอบสิ่งที่คล้ายกันเช่นการอ่านหนังสือ หรือวาดภาพ จนกระทั่งเรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันมีเพื่อนสนิทแค่คนเดียวและฉันดีใจมากที่ฉันรู้ว่าเขาเขียนชื่อของฉันลงในช่องเพื่อนสนิท เราอยู่ด้วยกันมาตลอดสามปีช่วงม.ต้นและอีกสามปีในช่วงม.ปลายจนกระทั่งเราแยกกันเมื่อจบมัธยม
อันที่จริงฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างกับเพื่อนคนนี้ เขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองและกล้าแสดงออกเขาเก่งแทบจะทุกอย่างจนทำให้ฉันชอบที่จะเป็นแบบเขา ฉันรักที่จะทำให้เพื่อนของฉันเป็นจุดเด่นและมีฉันเป็นคนสนับสนุน หากเปรียบเทียบกับการแสดงเพื่อนคนนั้นของฉันคงจะเป็นนักแสดงที่สนจะโด่งดังกับตัวฉันที่เป็นตากล้องหรือทีมงาน แต่นั่นมันก็ทำให้ฉันมีความสุข
ฉันเริ่มต้นที่จะตามหาเส้นทางของชีวิตเมื่อเราจบมัธยม ฉันไม่ได้เข้ามหาลัยเหมือนกับเพื่อนๆของฉันเพราะที่บ้านมีปัญหา ฉันเลือกที่จะเข้าศูนย์ศึกษาที่หนึ่งที่และเรียนด้วยตัวเองผ่านหนังสือของมสธ. ฉันเข้ามาที่ด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลยและนักเรียนส่วนมากของฉันก็เป็นเด็กที่มาจากเผ่าต่างๆตามบนดอย ฉันไม่ปฏิเสธที่จะเรียนกับพวกเขาหรอกและฉันรักในความแตกต่างของคนแต่ละคน พวกเขาแต่ละคนมีความงดงามของจิตใจแต่ละแบบ ในตอนแรกฉันหวังว่าจะมีเพื่อนสนิทสักคนในที่แห่งนี้ ฉันเริ่มต้นที่จะเข้าหาผู้คนเพื่อที่จะทักทายและเข้าหาพวกเขาก่อนและไปไหนมาไหนกับพวกเขาในตอนแรกจนกระทั่งฉันเริ่มที่จะถอยออกมาเมื่อฉันรู้สึกว่าฉันเข้ากับพวกเขาไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่า ฉันไม่สามารถพูดภาษาของเขาได้และนั่นทำให้ฉันมักจะถูกลืมอยู่เสมอ พวกเขาจะพูดภาษาของตัวเองด้วยกันและนั่นทำให้ฉันกำลังมองเห็นสิ่งที่ฉันก้าวข้ามไปไม่ได้นั่นคือกำแพงทางด้านภาษา ฉันอยากจะหัวเราะไปด้วยกันกับเขาและอยากที่จะรู้เรื่องราวของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร พวกเขาสุขในเรื่องอะไรและทุกข์เรื่องอะไร มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยพวกเขาได้ไหม บางทีอาจจะเพราะเขาอาจจะอายที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแต่ว่าบางครั้งฉันก็อยากที่จะพูดคุยกับพวกเขาบ้าง และเมื่อฉันถอยออกมาฉันเริ่มเดินกับเพื่อนคนหนึ่งที่เขาเป็นคนไทยเราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งสนิทกัน เขาเหมือนแม่คนที่สองของฉันเลย เรามักจะร้องไห้ด้วยกันเมื่อดูซีรีย์หรือไปทานข้าวด้วยกันเรียกได้ว่าใช้กระเป๋าเงินใบเดียวกันเลยล่ะ ฉันดีใจอีกครั้งที่เขาเขียนชื่อฉันลงในชองเพื่อนสนิทเป็นคนที่สองในชีวิตจนกระทั่งเขาย้ายออกไปเพื่อเรียนบัญชีในมหาลัย
จากวันนั้นถึงวันนี้ฉันก็กลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง ฉันมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไรในแต่ละวัน ราวกับเป็นคาถาในการใช้ชีวิตของฉันไปแล้วล่ะ ฉันพยายามที่จะเข้าหาเพื่อนกลุ่มใหม่อีกครั้งแต่ผลที่ได้ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป ฉันอิจฉาเพื่อนคนนึงที่มีแต่คนเข้าหาเขามากมายทำให้เขามีเพื่อนสนิทเยอะแยะ
ในทุกครั้งที่ฉันพยายามปล่อยมันไป แต่มันกลับมีบางอย่างที่ทำให้ฉันต้องตัดพ้ออยู่เสมอ พวกเขามักจะลืมและมองข้ามฉันไปราวกับไม่มีตัวตน แม้กระทั่งครูบางครั้งยังมองข้ามฉันไป ฉันมักจะแพ้กำแพงภาษาของพวกเขาทุกครั้งจนบางทีฉันก็แอบคิดว่าพูดภาษาอังกฤษยังง่ายกว่าซะอีก แต่ไม่เป็นไรฉันคิดว่าฉันอยู่คนเดียวได้อีกสี่ปี แม้ว่าฉันจะอยู่มาแล้วปีหนึ่งอีกสามปีฉันก็คงจะอยู่แบบนี้ได้ ที่จริงฉันเองก็อยากจะพูดอยากจะบอกกับพวกเขานะว่าเปิดใจให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากมีเพื่อนนะ มันเหนื่อยนะที่ต้องทำว่าเข้มแข็งแต่ว่าข้างในร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว บางครั้งฉันก็อยากที่จะระบายปัญหากับใครซักคนที่ไม่ใช่พ่อแม่หรือคนในครอบครัว แต่ฉันได้แต่เก็บมันไว้จนถึงตอนนี้ เขามักจะมองฉันเป็นคนที่ราเริงอยู่เสมอใช่เพราะฉันแสดงออกไปเป็นแบบนั้นและคนที่มองเห็นแบบนั้น ที่จริงหากพวกเขามองเห็นแววตาของฉันมันอาจจะไม่หลงเหลือซึ่งความสุขก็ได้ ฉันเริ่มต้นที่จะเขียนบรรยายความรู้สึกเหล่านี้ผ่านตัวอักษรเพราะฉันไม่กล้าที่จะพูดออกมาหรอกเพราะการพูดออกมามันทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่กล่าวถึง
ฉันไม่ชอบที่จะร้องไห้ต่อหน้าผู้คนอาจจะเพราะเหตุการณ์ในตอนประถมเพราะมันทำให้ฉันโดนล้อและไม่กล้าที่จะพูดถึงปัญหาของตัวเอง บางครั้งฉันมักจะออกไปร้องไห้คนเดียวเงียบๆในตอนดึกที่เพื่อนๆในห้องต่างเข้านอนกันหมดแล้ว บ่อยครั้งที่ฉันเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเพราะไม่มีเพื่อนสนิท ในทุกวันฉันมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไร เราจะผ่านมันไปได้ ในบางครั้งพวกเขามาหาฉันในเรื่องที่พวกเขาไม่ถนัดนั่นก็ทำให้ฉันใจชื้นได้บ้างว่ายังมีคนสนใจฉันอยู่ แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม บางทีฉันแอบคิดเหมือนกันว่าฉันมีอะไรที่ไม่ได้บ้างหรือเปล่า ฉันพยายามเรียนให้หนักเพื่อครอบครัว ฉันพยายามเรียนรู้ทักษะอื่นๆ ทั้งตัดต่อวีดีโอ ทั้งกราฟิก ทั้งภาษา แต่งนิยาย วาดภาพ งานฝีมือ แต่งเพลง และอีกมากมายเผื่อจะมีใครสนใจฉันบ้าง เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งได้เขียนเอาไว้ว่า ชื่อของเราเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด ฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริง จนถึงทุกวันนี้ฉันยังคงพูดกับตัวเองอยู่เสมอว่าช่างมันเถอะเดี๋ยวเราก็ผ่านมันไปได้ ถึงแม้มันจะแลกด้วยความโดดเดี่ยวไปซักหน่อยก็ตาม
บางทีฉันควรที่จะรักตัวเองหรือเปล่า
บางทีฉันอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า
บางทีฉันอาจจะรู้ความจริงของโลกนี้ช้าไปหรือเปล่า
บางทีฉันผิดหรือเปล่าที่เก็บความรู้สึกเก่งเกินไป
ฉันควรทำยังไงกับชีวิตในตอนนี้ดี?
เคยเป็นไหมทีบางครั้งเราจะอิจฉาคนอื่น
ในวันที่ฉันเข้าโณงเรียนประถมวันแรกๆ ฉันร้องไห้เพราะคิดว่าถูกทิ้งแล้ว ในสมัยอนุบาลฉันเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นักจึงทำให้ชอบที่จะอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่าแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมีครูอนุบาลอยู่เป็นเพื่อน
เมื่อฉันอยู่ประถมฉันมักจะโดนแกล้งจากผู้ชายทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง และนั่นทำให้ฉันมักจะร้องไห้อยู่บ่อยครั้งนั่นทำให้ฉันเกลียดการบูลลี่ในโรงเรียนเป็นที่สุดเพราะฉันเข้าใจว่ามันเป็นยังไงเมื่อไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเรา ฉันคิดว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บความรู้สึกของฉัน เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นฉันไม่ได้บอกพ่อแม่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและมันเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งจนเมื่อฉันกลับบ้านฉันร้องไห้ เมื่อคนในครอบครัวถามฉันจึงเริ่มต้นที่จะโกหก
น่าแปลกใจที่ฉันเริ่มต้นที่จะปกป้องพวกเขาแทนที่จะปกป้องตัวเองด้วยการโกหกว่าฉันล้มหรือเดินชนประตูบ้างจนเมื่อฉันเริ่มมีเพื่อนการถูกแกล้งก็น้อยลงไปบ้าง แต่ถึงการนั้นฉันก็เคยที่จะต่อยกับผู้ชายพวกนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง
เหตุการณ์เดิมก็กลับมาอีกครั้งในสมัยที่ฉันอยู่มัธยมต้น ฉันอยู่กลุ่มเดียวกันกับหนึ่งในเพื่อนของฉันสมัยประถมทุกอย่างจนกระทั่งเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อฉันเดินไปไหนมาไหนกับเพื่อนในห้องอีกคน เพราะว่าเราชอบที่จะอ่านหนังสือด้วยกัน นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง ฉันโดนพวกเขาทิ้ง และไม่สนใจอีกต่อไป พวกเขาทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนใดๆในสายตานั้น เมื่อมีงานกลุ่มฉันเองก็มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำมากที่สุดด้วยเหตุผลเพราะว่าเรียนเก่ง ฉันไม่ได้โกรธพวกเขาหรอกเพียงแค่อยากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนทิ้งเหรอ นั่นเองก็เป็นที่มาของคำว่าไม่เป็นไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันเริ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีกคนเพราะเราชอบสิ่งที่คล้ายกันเช่นการอ่านหนังสือ หรือวาดภาพ จนกระทั่งเรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันมีเพื่อนสนิทแค่คนเดียวและฉันดีใจมากที่ฉันรู้ว่าเขาเขียนชื่อของฉันลงในช่องเพื่อนสนิท เราอยู่ด้วยกันมาตลอดสามปีช่วงม.ต้นและอีกสามปีในช่วงม.ปลายจนกระทั่งเราแยกกันเมื่อจบมัธยม
อันที่จริงฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างกับเพื่อนคนนี้ เขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองและกล้าแสดงออกเขาเก่งแทบจะทุกอย่างจนทำให้ฉันชอบที่จะเป็นแบบเขา ฉันรักที่จะทำให้เพื่อนของฉันเป็นจุดเด่นและมีฉันเป็นคนสนับสนุน หากเปรียบเทียบกับการแสดงเพื่อนคนนั้นของฉันคงจะเป็นนักแสดงที่สนจะโด่งดังกับตัวฉันที่เป็นตากล้องหรือทีมงาน แต่นั่นมันก็ทำให้ฉันมีความสุข
ฉันเริ่มต้นที่จะตามหาเส้นทางของชีวิตเมื่อเราจบมัธยม ฉันไม่ได้เข้ามหาลัยเหมือนกับเพื่อนๆของฉันเพราะที่บ้านมีปัญหา ฉันเลือกที่จะเข้าศูนย์ศึกษาที่หนึ่งที่และเรียนด้วยตัวเองผ่านหนังสือของมสธ. ฉันเข้ามาที่ด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลยและนักเรียนส่วนมากของฉันก็เป็นเด็กที่มาจากเผ่าต่างๆตามบนดอย ฉันไม่ปฏิเสธที่จะเรียนกับพวกเขาหรอกและฉันรักในความแตกต่างของคนแต่ละคน พวกเขาแต่ละคนมีความงดงามของจิตใจแต่ละแบบ ในตอนแรกฉันหวังว่าจะมีเพื่อนสนิทสักคนในที่แห่งนี้ ฉันเริ่มต้นที่จะเข้าหาผู้คนเพื่อที่จะทักทายและเข้าหาพวกเขาก่อนและไปไหนมาไหนกับพวกเขาในตอนแรกจนกระทั่งฉันเริ่มที่จะถอยออกมาเมื่อฉันรู้สึกว่าฉันเข้ากับพวกเขาไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่า ฉันไม่สามารถพูดภาษาของเขาได้และนั่นทำให้ฉันมักจะถูกลืมอยู่เสมอ พวกเขาจะพูดภาษาของตัวเองด้วยกันและนั่นทำให้ฉันกำลังมองเห็นสิ่งที่ฉันก้าวข้ามไปไม่ได้นั่นคือกำแพงทางด้านภาษา ฉันอยากจะหัวเราะไปด้วยกันกับเขาและอยากที่จะรู้เรื่องราวของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร พวกเขาสุขในเรื่องอะไรและทุกข์เรื่องอะไร มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยพวกเขาได้ไหม บางทีอาจจะเพราะเขาอาจจะอายที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแต่ว่าบางครั้งฉันก็อยากที่จะพูดคุยกับพวกเขาบ้าง และเมื่อฉันถอยออกมาฉันเริ่มเดินกับเพื่อนคนหนึ่งที่เขาเป็นคนไทยเราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งสนิทกัน เขาเหมือนแม่คนที่สองของฉันเลย เรามักจะร้องไห้ด้วยกันเมื่อดูซีรีย์หรือไปทานข้าวด้วยกันเรียกได้ว่าใช้กระเป๋าเงินใบเดียวกันเลยล่ะ ฉันดีใจอีกครั้งที่เขาเขียนชื่อฉันลงในชองเพื่อนสนิทเป็นคนที่สองในชีวิตจนกระทั่งเขาย้ายออกไปเพื่อเรียนบัญชีในมหาลัย
จากวันนั้นถึงวันนี้ฉันก็กลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง ฉันมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไรในแต่ละวัน ราวกับเป็นคาถาในการใช้ชีวิตของฉันไปแล้วล่ะ ฉันพยายามที่จะเข้าหาเพื่อนกลุ่มใหม่อีกครั้งแต่ผลที่ได้ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป ฉันอิจฉาเพื่อนคนนึงที่มีแต่คนเข้าหาเขามากมายทำให้เขามีเพื่อนสนิทเยอะแยะ
ในทุกครั้งที่ฉันพยายามปล่อยมันไป แต่มันกลับมีบางอย่างที่ทำให้ฉันต้องตัดพ้ออยู่เสมอ พวกเขามักจะลืมและมองข้ามฉันไปราวกับไม่มีตัวตน แม้กระทั่งครูบางครั้งยังมองข้ามฉันไป ฉันมักจะแพ้กำแพงภาษาของพวกเขาทุกครั้งจนบางทีฉันก็แอบคิดว่าพูดภาษาอังกฤษยังง่ายกว่าซะอีก แต่ไม่เป็นไรฉันคิดว่าฉันอยู่คนเดียวได้อีกสี่ปี แม้ว่าฉันจะอยู่มาแล้วปีหนึ่งอีกสามปีฉันก็คงจะอยู่แบบนี้ได้ ที่จริงฉันเองก็อยากจะพูดอยากจะบอกกับพวกเขานะว่าเปิดใจให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากมีเพื่อนนะ มันเหนื่อยนะที่ต้องทำว่าเข้มแข็งแต่ว่าข้างในร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว บางครั้งฉันก็อยากที่จะระบายปัญหากับใครซักคนที่ไม่ใช่พ่อแม่หรือคนในครอบครัว แต่ฉันได้แต่เก็บมันไว้จนถึงตอนนี้ เขามักจะมองฉันเป็นคนที่ราเริงอยู่เสมอใช่เพราะฉันแสดงออกไปเป็นแบบนั้นและคนที่มองเห็นแบบนั้น ที่จริงหากพวกเขามองเห็นแววตาของฉันมันอาจจะไม่หลงเหลือซึ่งความสุขก็ได้ ฉันเริ่มต้นที่จะเขียนบรรยายความรู้สึกเหล่านี้ผ่านตัวอักษรเพราะฉันไม่กล้าที่จะพูดออกมาหรอกเพราะการพูดออกมามันทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่กล่าวถึง
ฉันไม่ชอบที่จะร้องไห้ต่อหน้าผู้คนอาจจะเพราะเหตุการณ์ในตอนประถมเพราะมันทำให้ฉันโดนล้อและไม่กล้าที่จะพูดถึงปัญหาของตัวเอง บางครั้งฉันมักจะออกไปร้องไห้คนเดียวเงียบๆในตอนดึกที่เพื่อนๆในห้องต่างเข้านอนกันหมดแล้ว บ่อยครั้งที่ฉันเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเพราะไม่มีเพื่อนสนิท ในทุกวันฉันมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไร เราจะผ่านมันไปได้ ในบางครั้งพวกเขามาหาฉันในเรื่องที่พวกเขาไม่ถนัดนั่นก็ทำให้ฉันใจชื้นได้บ้างว่ายังมีคนสนใจฉันอยู่ แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม บางทีฉันแอบคิดเหมือนกันว่าฉันมีอะไรที่ไม่ได้บ้างหรือเปล่า ฉันพยายามเรียนให้หนักเพื่อครอบครัว ฉันพยายามเรียนรู้ทักษะอื่นๆ ทั้งตัดต่อวีดีโอ ทั้งกราฟิก ทั้งภาษา แต่งนิยาย วาดภาพ งานฝีมือ แต่งเพลง และอีกมากมายเผื่อจะมีใครสนใจฉันบ้าง เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งได้เขียนเอาไว้ว่า ชื่อของเราเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด ฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องจริง จนถึงทุกวันนี้ฉันยังคงพูดกับตัวเองอยู่เสมอว่าช่างมันเถอะเดี๋ยวเราก็ผ่านมันไปได้ ถึงแม้มันจะแลกด้วยความโดดเดี่ยวไปซักหน่อยก็ตาม
บางทีฉันควรที่จะรักตัวเองหรือเปล่า
บางทีฉันอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า
บางทีฉันอาจจะรู้ความจริงของโลกนี้ช้าไปหรือเปล่า
บางทีฉันผิดหรือเปล่าที่เก็บความรู้สึกเก่งเกินไป
ฉันควรทำยังไงกับชีวิตในตอนนี้ดี?