คนในสมัยก่อนมักเปรียบเปรยคำพูดที่ว่า “ชีวิตเป็นดั่งละคร” หรือ “ดูละคร ให้ย้อนมองชีวิต” ไม่เชิงว่าเป็นประโยคคำพูดที่ใช้สอนลูก ๆ หลาน ๆ ให้ย้อนมองทบทวนเรียนรู้ชีวิตของตัวเอง เพราะทุก ๆ บทของตัวละคร มีโอกาสที่เราจะได้เจอมันในชีวิตจริงเสมอ และมีความเป็นไปได้ที่ว่า ผู้สร้างละครแต่ละเรื่อง มักผูกโยงบทของตัวละครให้สอดคล้องกับบางช่วงเวลาในชีวิตของคนดู ก็จะมีบางฉากที่มุ่งสะท้องแง่มุมคิดที่ผู้สร้างมีต่อกระแสสังคมในขณะนั้น ซึ่งมันก็เปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมที่แปรเปลี่ยนไป
ลองย้อนกลับมาดูฉากบางช่วงชีวิตของเรากันดูบ้าง เรามักพบว่าเรามีชีวิตในบางช่วงคล้ายกับบางตอนในละครที่เราได้ชมจริง ๆ
ในช่วงวัยเด็ก เราก็เปรียบได้เสมือนนักแสดงตัวจิ๋ว ที่ได้รับบทบาทการแสดงจากผู้กำกับ ที่ได้กำหนดบทเอาไว้ให้เราได้เล่น ซึ่งผู้กำกับก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือ พ่อและแม่ของเรานั่นเอง พวกเราสวมบทของลูกกตัญญูรู้คุณของพ่อแม่ ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกท่าน เราไปโรงเรียนที่พ่อแม่เรากำหนดให้เราไปเรียน เรากินอาหารที่พวกท่านเตรียมเอาไว้ให้ บางสัปดาห์พวกท่านยังเขียนบทให้เราได้ไปเที่ยวเล่นที่สวนสนุก พวกเราก็ไปและเล่นไปตามบทต่าง ๆ ที่พวกท่านกำกับให้เล่นอย่างเป็นมืออาชีพ
แน่นอนว่า นักแสดงแต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่าเทียมกัน มันจึงมีทั้งคนที่แสดงได้ดี และแสดงได้แย่ผสมปนเปรวมกันอยู่ในทุก ๆ เรื่อง เด็กบางคนตีบทแตกจนเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่พี่น้องในครอบครัว แต่เด็กบางคนก็แสดงไม่ค่อยเก่ง และถูกสั่ง Cut อยู่บ่อย ๆ ดู ๆ แล้วเหมือนจะไม่มีแววเป็นนักแสดงที่ดีในอนาคตได้ เด็กเหล่านั้นจึงอาจไม่เป็นที่พอใจของคนในครอบครัวสักเท่าไหร่
ฉากในการแสดงของพวกเรา เปลี่ยนไปตามช่วงวัยที่เจริญเติบโตขึ้น จากเด็กน้อยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ฉากใหม่ ๆ ก็ผ่านมาให้เราได้แสดงกันต่อ ไม่ว่าจะเป็น ฉากของการซื้อใจเพื่อนสนิท ฉากกุ๊กกิ๊กจีบสาว ฉากการมุ่งมั่นตั้งใจเรียนให้จบ ฉากของความต้องการโลกส่วนตัวสูง ฉากอารมณ์หุนหันพลันแล่น และอีกหลาย ๆ ฉาก ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นฉากที่เราต่างต้องแสดงให้จบด้วยกันทั้งสิ้น
เหมือนเช่นเคย มันก็จะมีบางฉากที่เราแสดงได้ไม่ดีนัก แม้ว่าจะพยายามซ้อมบทท่องจำบทมาแล้วอย่างดี แต่เวลาเข้าฉาก อารมณ์และท่าทางการแสดงอาจจะยังไม่ได้ เราจึงอาจไม่เป็นที่ถูกใจของเพื่อนฝูง หรือไม่ประทับใจของสาวที่เราเฝ้าตามจีบ บางครั้งก็รวมถึงครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเราเองอีกด้วย สิ่งที่ตามมาหลังการแสดงของเราก็คือ ความไม่ลงรอยกันระหว่างฝูงเพื่อน การจากลาของคนที่เราใฝ่ฝันจะได้ครองคู่ กระทั่งความไม่เข้าใจกันในหมู่พี่น้อง
แต่ฉากที่ผ่านเข้ามาแล้วในช่วงวัยรุ่น ก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันเวลาเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง มันเปลี่ยนฉากใหม่ให้เราได้แสดงบทต่อไปเสมอ นั่นคือ ฉากของการเดินทางเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่ ที่ต้องออกไปแสดงบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวอันเป็นที่รัก แต่ฉากอันใหม่นี้เราอาจจะยังไม่คุ้นชินกับมันมากนัก เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ คนที่ไม่เคยพบเจอมากมาย
เราจึงพยายามอย่างหนักอีกครั้ง ทุ่มเทความสามารถที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น เพื่อที่จะสามารถแสดงในฉากของการแข่งขันในที่ทำงาน ที่มีทั้งความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ บางทีก็แฝงมาด้วยความประทับใจอยู่ลึก ๆ จากเพื่อนบางคนที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
บางฉากเราก็ไม่ค่อยอยากจะเล่น แต่อาจถูกบังคับให้เล่นเพื่อการเอาตัวให้รอดในสังคมมายาแห่งนี้ เช่น ฉากของการแย่งกันเอาอกเอาใจหัวหน้าผู้บังคับบัญชา ฉากแห่งการสร้างภาพพจน์ในตัวเองดูดีกว่าผู้อื่น เป็นต้น แต่ในช่วงวัยทำงานนี้ เราจะได้พบกับฉาก ๆ หนึ่ง ซึ่งสำคัญสำหรับชีวิตของพวกเราเป็นอย่างมาก นั่นคือ ฉากแห่งการสร้างครอบครัวที่ดีในความหมายของตัวเราเอง รวมถึงฉากแห่งการแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวในหน้าที่การงาน ที่อาจมีผลต่อชีวิตของเราในช่วงวัยหลังเกษียณอีกด้วย
ถึงแม้ว่าเราจะมีช่วงชีวิตร่วงเลยเข้าสู่วัยหลังเกษียณแล้วก็ตาม แต่ฉากแห่งชีวิตของเราก็ไม่เคยหยุดเปลี่ยน มันยังเปลี่ยนฉากให้เราแสดงบทบาทไปเรื่อย ๆ ตามเข็มนาฬิกาบอกวันเวลาที่ผ่านไป มีเพียงบางสิ่งที่อาจดูไม่เหมือนฉากเก่า ๆ ที่ผ่าน ๆ มา เพราะช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแต่ละฉากในช่วงนี้ มันยาวนานขึ้นมากกว่าตอนสมัยที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว
ทว่า ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละฉากที่ช้าลงนี้ มันแอบแฝงมาด้วยฉากบางฉากที่เราอาจเฝ้าตามหา เพื่อที่จะแสดงบทบาทนี้ให้ดีที่สุดในท้ายของชีวิต นั่นคือ ฉากของคนที่มีแต่ความสงบสุขภายในจิตใจ มันอาจเป็นฉากแห่งบทสรุปของทุก ๆ ฉากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราตั้งแต่เราเป็นเด็ก จวบจนเราเดินทางไกลเข้าสู่ช่วงวัยชราภาพ
แต่ก็อย่าพึ่งคาดหวังว่า ฉากจบสุดท้ายของชีวิตเราทุกคน จะจบลงด้วยความสุขเสมอไปเหมือนอย่างที่ละครชอบสร้างให้เป็นเช่นนั้น จริงอยู่ที่ละครมักสร้างจากชีวิตของคน แต่ในชีวิตจริงคงไม่สามารถเป็นเหมือนดั่งละครได้ไปเสียทุกอย่างที่ใจหวัง เนื่องเพราะบางฉากของชีวิตในแต่ละช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะแสดงบทบาทได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มันจึงมีผลต่อฉากจบของชีวิตเราแต่ละคนที่ไม่อาจเหมือนกันได้
สาเหตุอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงผู้กำกับในบางช่วงของชีวิต เพราะภายหลังจากที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว พ่อแม่ที่เคยกำกับให้ชีวิตเราเล่นบทบาทตามที่พวกท่านเขียนไว้นั้น เริ่มเปลี่ยนไป อีกส่วนหนึ่งเพราะตัวเราเองเป็นคนขอเปลี่ยนตัวผู้กำกับเสียเอง เราต่างอยากกำกับชีวิตตัวเองเมื่อเราเติบโตขึ้น ซึ่งพ่อแม่ของเราก็เข้าใจในจุดนี้ดี พวกท่านก็ลดบทบาทจากการเป็นผู้กำกับ มาเป็นเพียงผู้ชมละครชีวิตเรื่องหนึ่ง โดยมีเราเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองแทน
ฉากชีวิตในช่วงตั้งแต่วัยทำงาน จนถึงวัยเกษียณ จึงมักเป็นไปตามที่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดหรือจัดฉาก แต่ละฉากในการแสดงให้ตัวเองทั้งสิ้น จะดีหรือร้ายคงไม่สามารถไปโทษผู้กำกับคนอื่นได้ มันจึงขึ้นอยู่กับว่า เราอยากให้ชีวิตมีฉากจบสุดท้ายเป็นอย่างไร ก็ให้เราเขียนบทไปตามนั้น เราอาจแสดงบางบทได้ดี หรือบางบทก็เล่นได้ไม่ดีบ้าง ก็คงไม่เป็นไร
เพราะเราสามารถแสดงใหม่แก้ไขการแสดงอันเดิมที่เล่นไว้ไม่ดีได้เสมอ อีกทั้งเราในฐานะผู้กำกับฉากแต่ละฉากของตัวเราเอง เราจึงได้กำกับฉากจบของเรื่องราวชีวิตของเราไว้แล้ว เพียงแต่เราใช้ความพยายามในการปรับปรุงการแสดงให้ดีขึ้น ดีขึ้น
เชื่อว่าเมื่อถึงฉากจบสุดท้ายจริง ๆ แล้ว มันจะเป็นฉากจบอย่างที่เราคาดหวังว่ามันจะจบได้ดี และเป็นฉากจบที่มีแต่ความสงบสุขภายในจิตใจอย่างที่เราคาดหวัง
ถ้าพร้อมแล้วก็ Action! กันต่อเลย
Cr. เปลือกชีวิต The Series (Series ที่จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น) By ดช.จุ่น
ติดตามบทความอื่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เปลือกชีวิต The Series 18 (ซ่อม..ความสุข!) https://pantip.com/topic/40172492
เปลือกชีวิต The Series 19 (จากมายา..สู่ปัญญา) https://pantip.com/topic/40188234
เปลือกชีวิต The Series 20 (ด้วยความเคารพ..อย่างสูง!) https://pantip.com/topic/40205009
เปลือกชีวิต The Series 21 (ความล้มเหลว..ของใคร?) https://pantip.com/topic/40215659
เปลือกชีวิต The Series 22 (ปลายทางความผูกพัน) https://pantip.com/topic/40232223
เปลือกชีวิต The Series 23 (จุดต่ำสุดในชีวิตของคุณ มาถึงหรือยัง?) https://pantip.com/topic/40243097
เปลือกชีวิต The Series 24 (ฉาก..ชีวิต)
ลองย้อนกลับมาดูฉากบางช่วงชีวิตของเรากันดูบ้าง เรามักพบว่าเรามีชีวิตในบางช่วงคล้ายกับบางตอนในละครที่เราได้ชมจริง ๆ
ในช่วงวัยเด็ก เราก็เปรียบได้เสมือนนักแสดงตัวจิ๋ว ที่ได้รับบทบาทการแสดงจากผู้กำกับ ที่ได้กำหนดบทเอาไว้ให้เราได้เล่น ซึ่งผู้กำกับก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือ พ่อและแม่ของเรานั่นเอง พวกเราสวมบทของลูกกตัญญูรู้คุณของพ่อแม่ ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกท่าน เราไปโรงเรียนที่พ่อแม่เรากำหนดให้เราไปเรียน เรากินอาหารที่พวกท่านเตรียมเอาไว้ให้ บางสัปดาห์พวกท่านยังเขียนบทให้เราได้ไปเที่ยวเล่นที่สวนสนุก พวกเราก็ไปและเล่นไปตามบทต่าง ๆ ที่พวกท่านกำกับให้เล่นอย่างเป็นมืออาชีพ
แน่นอนว่า นักแสดงแต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่าเทียมกัน มันจึงมีทั้งคนที่แสดงได้ดี และแสดงได้แย่ผสมปนเปรวมกันอยู่ในทุก ๆ เรื่อง เด็กบางคนตีบทแตกจนเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่พี่น้องในครอบครัว แต่เด็กบางคนก็แสดงไม่ค่อยเก่ง และถูกสั่ง Cut อยู่บ่อย ๆ ดู ๆ แล้วเหมือนจะไม่มีแววเป็นนักแสดงที่ดีในอนาคตได้ เด็กเหล่านั้นจึงอาจไม่เป็นที่พอใจของคนในครอบครัวสักเท่าไหร่
ฉากในการแสดงของพวกเรา เปลี่ยนไปตามช่วงวัยที่เจริญเติบโตขึ้น จากเด็กน้อยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ฉากใหม่ ๆ ก็ผ่านมาให้เราได้แสดงกันต่อ ไม่ว่าจะเป็น ฉากของการซื้อใจเพื่อนสนิท ฉากกุ๊กกิ๊กจีบสาว ฉากการมุ่งมั่นตั้งใจเรียนให้จบ ฉากของความต้องการโลกส่วนตัวสูง ฉากอารมณ์หุนหันพลันแล่น และอีกหลาย ๆ ฉาก ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นฉากที่เราต่างต้องแสดงให้จบด้วยกันทั้งสิ้น
เหมือนเช่นเคย มันก็จะมีบางฉากที่เราแสดงได้ไม่ดีนัก แม้ว่าจะพยายามซ้อมบทท่องจำบทมาแล้วอย่างดี แต่เวลาเข้าฉาก อารมณ์และท่าทางการแสดงอาจจะยังไม่ได้ เราจึงอาจไม่เป็นที่ถูกใจของเพื่อนฝูง หรือไม่ประทับใจของสาวที่เราเฝ้าตามจีบ บางครั้งก็รวมถึงครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเราเองอีกด้วย สิ่งที่ตามมาหลังการแสดงของเราก็คือ ความไม่ลงรอยกันระหว่างฝูงเพื่อน การจากลาของคนที่เราใฝ่ฝันจะได้ครองคู่ กระทั่งความไม่เข้าใจกันในหมู่พี่น้อง
แต่ฉากที่ผ่านเข้ามาแล้วในช่วงวัยรุ่น ก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันเวลาเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง มันเปลี่ยนฉากใหม่ให้เราได้แสดงบทต่อไปเสมอ นั่นคือ ฉากของการเดินทางเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่ ที่ต้องออกไปแสดงบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวอันเป็นที่รัก แต่ฉากอันใหม่นี้เราอาจจะยังไม่คุ้นชินกับมันมากนัก เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ คนที่ไม่เคยพบเจอมากมาย
เราจึงพยายามอย่างหนักอีกครั้ง ทุ่มเทความสามารถที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น เพื่อที่จะสามารถแสดงในฉากของการแข่งขันในที่ทำงาน ที่มีทั้งความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ บางทีก็แฝงมาด้วยความประทับใจอยู่ลึก ๆ จากเพื่อนบางคนที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
บางฉากเราก็ไม่ค่อยอยากจะเล่น แต่อาจถูกบังคับให้เล่นเพื่อการเอาตัวให้รอดในสังคมมายาแห่งนี้ เช่น ฉากของการแย่งกันเอาอกเอาใจหัวหน้าผู้บังคับบัญชา ฉากแห่งการสร้างภาพพจน์ในตัวเองดูดีกว่าผู้อื่น เป็นต้น แต่ในช่วงวัยทำงานนี้ เราจะได้พบกับฉาก ๆ หนึ่ง ซึ่งสำคัญสำหรับชีวิตของพวกเราเป็นอย่างมาก นั่นคือ ฉากแห่งการสร้างครอบครัวที่ดีในความหมายของตัวเราเอง รวมถึงฉากแห่งการแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวในหน้าที่การงาน ที่อาจมีผลต่อชีวิตของเราในช่วงวัยหลังเกษียณอีกด้วย
ถึงแม้ว่าเราจะมีช่วงชีวิตร่วงเลยเข้าสู่วัยหลังเกษียณแล้วก็ตาม แต่ฉากแห่งชีวิตของเราก็ไม่เคยหยุดเปลี่ยน มันยังเปลี่ยนฉากให้เราแสดงบทบาทไปเรื่อย ๆ ตามเข็มนาฬิกาบอกวันเวลาที่ผ่านไป มีเพียงบางสิ่งที่อาจดูไม่เหมือนฉากเก่า ๆ ที่ผ่าน ๆ มา เพราะช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแต่ละฉากในช่วงนี้ มันยาวนานขึ้นมากกว่าตอนสมัยที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว
ทว่า ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละฉากที่ช้าลงนี้ มันแอบแฝงมาด้วยฉากบางฉากที่เราอาจเฝ้าตามหา เพื่อที่จะแสดงบทบาทนี้ให้ดีที่สุดในท้ายของชีวิต นั่นคือ ฉากของคนที่มีแต่ความสงบสุขภายในจิตใจ มันอาจเป็นฉากแห่งบทสรุปของทุก ๆ ฉากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราตั้งแต่เราเป็นเด็ก จวบจนเราเดินทางไกลเข้าสู่ช่วงวัยชราภาพ
แต่ก็อย่าพึ่งคาดหวังว่า ฉากจบสุดท้ายของชีวิตเราทุกคน จะจบลงด้วยความสุขเสมอไปเหมือนอย่างที่ละครชอบสร้างให้เป็นเช่นนั้น จริงอยู่ที่ละครมักสร้างจากชีวิตของคน แต่ในชีวิตจริงคงไม่สามารถเป็นเหมือนดั่งละครได้ไปเสียทุกอย่างที่ใจหวัง เนื่องเพราะบางฉากของชีวิตในแต่ละช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะแสดงบทบาทได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มันจึงมีผลต่อฉากจบของชีวิตเราแต่ละคนที่ไม่อาจเหมือนกันได้
สาเหตุอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงผู้กำกับในบางช่วงของชีวิต เพราะภายหลังจากที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว พ่อแม่ที่เคยกำกับให้ชีวิตเราเล่นบทบาทตามที่พวกท่านเขียนไว้นั้น เริ่มเปลี่ยนไป อีกส่วนหนึ่งเพราะตัวเราเองเป็นคนขอเปลี่ยนตัวผู้กำกับเสียเอง เราต่างอยากกำกับชีวิตตัวเองเมื่อเราเติบโตขึ้น ซึ่งพ่อแม่ของเราก็เข้าใจในจุดนี้ดี พวกท่านก็ลดบทบาทจากการเป็นผู้กำกับ มาเป็นเพียงผู้ชมละครชีวิตเรื่องหนึ่ง โดยมีเราเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองแทน
ฉากชีวิตในช่วงตั้งแต่วัยทำงาน จนถึงวัยเกษียณ จึงมักเป็นไปตามที่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดหรือจัดฉาก แต่ละฉากในการแสดงให้ตัวเองทั้งสิ้น จะดีหรือร้ายคงไม่สามารถไปโทษผู้กำกับคนอื่นได้ มันจึงขึ้นอยู่กับว่า เราอยากให้ชีวิตมีฉากจบสุดท้ายเป็นอย่างไร ก็ให้เราเขียนบทไปตามนั้น เราอาจแสดงบางบทได้ดี หรือบางบทก็เล่นได้ไม่ดีบ้าง ก็คงไม่เป็นไร
เพราะเราสามารถแสดงใหม่แก้ไขการแสดงอันเดิมที่เล่นไว้ไม่ดีได้เสมอ อีกทั้งเราในฐานะผู้กำกับฉากแต่ละฉากของตัวเราเอง เราจึงได้กำกับฉากจบของเรื่องราวชีวิตของเราไว้แล้ว เพียงแต่เราใช้ความพยายามในการปรับปรุงการแสดงให้ดีขึ้น ดีขึ้น
เชื่อว่าเมื่อถึงฉากจบสุดท้ายจริง ๆ แล้ว มันจะเป็นฉากจบอย่างที่เราคาดหวังว่ามันจะจบได้ดี และเป็นฉากจบที่มีแต่ความสงบสุขภายในจิตใจอย่างที่เราคาดหวัง
ถ้าพร้อมแล้วก็ Action! กันต่อเลย
Cr. เปลือกชีวิต The Series (Series ที่จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น) By ดช.จุ่น
ติดตามบทความอื่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้