JJNY : 4in1 เสวนาเดือด เยาวชน 2 ขั้ว/กกต.งานงอก!พท.บี้รับผิดชอบ/ผจก.iLawเขย่า“ชวน”/ยื่นป.ป.ช.สอบ​ตู่ปมตั้งผู้พิพากษา

เสวนาเดือด เยาวชน 2 ขั้วอุดมการณ์ ถกนิยาม 'ชาติ' สะท้อนอนาคต 'ถ้าการเมืองดี'
https://www.matichon.co.th/politics/news_2372181

 

เสวนาเดือด เยาวชน 2 ขั้วอุดมการณ์ ถกนิยาม ‘ชาติ’ สะท้อนอนาคต ‘ถ้าการเมืองดี’
 
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 29 กันยายน ที่ ห้องประชุมคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดโครงการเสวนา #ถ้าการเมืองดี ในหัวข้อ “#ถ้าการเมืองดี นักเรียน-นักศึกษาจะ ‘รักชาติ’ กันอย่างไร” โดยมี ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการ
 
น.ส.ธนาภรณ์ พรหมภัทร์ หรือ ขิม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า ชาติเป็นประดิษฐกรรมทางการเมือง เกิดขึ้นจากการสถาปนาของชนชั้นนำที่มีสิทธิกำหนด ถูกต้องและเหมาะสมในบริบทแรกเริ่ม เพราะในอดีตเรายังไม่มีแนวคิดเรื่องพลเมือง แต่ความหมายคำว่าชาติของชนชั้นนำในอดีตไม่สามารถใช้ได้แล้วในบริบทปัจจุบัน ที่ประชาชนควรร่วมกำหนดความหมายของคำว่าชาติได้
 
“ในมุมมองส่วนตัว คำว่า ชาติ คือคนในกลุ่มเดียวกัน แต่ปัจจุบัน ความหมายของชาติในกระแสหลักที่กำลังครอบงำ เหมือนงานกลุ่ม ที่ทำด้วยคนๆ เดียว ผ่านการสร้างความหมายและวิธีคิดจากคนๆ เดียว ดังนั้น ความหมายจึงไม่เหมาะกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม แต่หากเป็นโปรเจ็กต์เรื่องชาติในมุมประชาธิปไตย จะคืองานกลุ่มที่ืทุกคนต้องร่วมกัน อาจใช้เวลานาน แต่ยั่งยืนแน่นอน
 
การเมืองและชาติเป็นเรื่องเดียวกัน ความฝันและความหวังสำหรับตัวเอง แค่ฝันว่าจะมีเสรีภาพในการกำหนดเนื้อตัว ร่างกาย ด้วยสิทธิของตัวเอง และฝันถึงสังคมที่ดี ที่ทุกคนร่วมกันสร้างและพัฒนาได้ ที่กล่าวมานี้คือสังคมประชาธิปไตยที่คนมีสิทธิ และมีความเท่าเทียมกัน” น.ส.ธนาภรณ์กล่าว และว่า
 
ถ้าการเมืองดี ก็อยากเป็นแค่คนธรรมดาที่มีสถานที่สาธารณะให้ชื่นชมความงามได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่เสียเงิน เอื้อให้คนรักกันได้มากขึ้น ส่งเสริมให้คนได้เป็นคน ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร หากสังคมไม่ส่งเสริมให้คนมีจิตสำนึก ดังนั้น ควรจะเอื้อให้คนเป็นคนก่อน คือเรื่องพื้นฐานที่สังคมต้องสร้างให้เกิดเพื่อเปิดรับความหลากหลาย ซึ่งธรรมดามาก แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเลย
 
“การเมืองดี การเมืองน่ารัก สิ่งที่เกิดคือประชาชนรู้สึกปลอดภัย วางใจ ทำให้หวงแหนสิ่งต่างๆ ในประเทศไปโดยปริยาย” น.ส.ธนาภรณ์กล่าว
 
ด้าน ด.ญ.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือ พลอย จากกลุ่มนักเรียนเลว กล่าวว่า ชาติสำหรับบางคนอาจหมายถึงประชาชนผู้ทรงสิทธิ บางคนอาจหมายถึงความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ไม่ได้เกิดบนแผ่นดินนี้
 
ความฝัน” เราเฝ้าฝันสังคมแบบไหน ระบบการเมืองแบบไหน พลเมืองในประเทศเป็นคนแบบไหน ก็ต้องผลักดันให้การศึกษาสนับสนุนการสร้างพลเมืองให้เป็นแบบนั้น ถ้าการเมืองดี จะมีพลเมืองที่ดีมาพัฒนาชาติ ญี่ปุ่นหลายคนมองว่าเจริญ ประชากรมีความอดทนต่อการต่อแถวรอคิว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดได้จากการศึกษาที่ดี การฝึกวินัยที่ดี และความเชื่อมั่นในรัฐบาล แม้ญี่ปุ่นจะเกิดภัยพิบัติเยอะ แต่เพียงแค่ 2 วันถนนของเขาก็กลับมาเป็นปกติ สิ่งนี้เกิดจากการบริหารงานของรัฐที่ดี
 
ผิดจากไทยเน้นให้ท่องจำ จงภูมิใจสิ่งที่เรามีมาก่อน เป็นเมืองพุทธ คนมีน้ำใจ ค่านิยม 12 ประการที่ดี แต่อัตราการเกิดอาชญากรรมสูงมาก นอกจากสอนให้ท่องชื่อว่าคนนั้นเคยวีรกรรมทำอะไรมาบ้าง ผิดจากญี่ปุ่นที่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
 
“ถ้าการเมืองดีเราจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชาติ เป็นเจ้าของชาติ จะรัก ห่วง ภูมิใจ และพัฒนาต่อไปให้ดีโดยไม่ต้องปลูกฝังอะไรในแบบเรียนให้เด็กท่องจำเลย” ด.ญ.เบญจมาภรณ์กล่าว
 
นายเกียรติวงศ์ สงบ หรือ ลี ตัวแทนจากกลุ่มไทยภักดี ประเทศไทย กล่าวว่า คำว่าชังชาติ หรือรักชาติ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะให้คำตอบ ขณะเดียวกันคนอีกกลุ่มอาจมองว่า ตนชังชาติก็ได้ เหมือนเลข 6 ที่มองอีกมุมก็เป็นเลข 9 แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ผู้ที่ร่วมเสวนาวันนี้รักชาติ เพราะให้ความเห็นที่จะเกิดประโยชน์ต่อชาติในอนาคต
 
“ผมเป็นเด็กชนบท ไม่มีโอกาสเหมือนคนอื่นๆ แต่ได้สัมผัสชีวิตชนบทจากการทำงานอาสา คนชนบทเรามีกลิ่นอาย มีการให้ คือสิ่งที่ประทับใจและรักในตรงนี้เพราะเห็นว่าการอยากจะได้อะไร ก็ต้องให้เขาก่อน เหมือนเรื่องประชาธิปไตยในความหมายที่หลายคนพยายามพูดถึง คือ สิทธิ เสรีภาพ ประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ ส่วนตัวมองและคิดว่า อะไรจะให้ประโยชน์กับคนส่วนใหญ่มากกว่า”
 
“ประชาธิปไตยแบบไทยๆ โดยไม่ต้องอิงตะวันตก มันคือการให้แล้วได้มา คือวิถีชีวิตที่ยังมีอยู่แต่เลื่อนลางหายไป ในอนาคตก็อยากเห็นความเสียสละก่อนที่จะได้ คือสิ่งที่มอง”
 
นายเกียรติวงศ์กล่าวว่า ต้องแยกการเมืองกับนักการเมือง ระบบกับตัวบุคคล เป็นคนละเรื่อง เช่น ถ้าพูดถึงทหาร เราจะนึกถึงรัฐประหาร ซึ่งต้องแยกกัน ถ้าการเมืองดีทุกอย่างจะดีไปด้วย แต่ทุกอย่างต้องพัฒนาจากคนไปก่อน
 
“ความสุขอยู่ที่ใจ และผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำและเป็นอยู่ ถามว่าอนาคตคาดหวังอะไร คาดหวังสิ่งเดิมๆ ที่ดีให้ยังมีอยู่ต่อไป และรับอนาคตใหม่ๆ ที่จะเข้ามาอยากพัฒนาคน เพื่อให้คนพัฒนาระบบให้ดีต่อไป” นายเกียรติวงศ์กล่าว
 
นายจักรธร ดาวแย้ม หรือ มะฮ์ดี นักศึกษาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กลุ่มมาร์กซิสต์ศึกษาฯ กล่าวว่า ความหมายของคำว่าชาติถูกแปรเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ตีความความหมายกว้างขึ้น รับต่อความหลากหลายภายในชาติมากขึ้น อย่างไรก็ดีแน่นอนว่าความคิดใหม่กับเก่าต้องขัดแย้งพอสมควร ชาติแบบใหม่กับแบบเก่าทำให้เกิดการต่อสู้ทางความคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการก้าวไปข้างหน้าได้ ชาติก็เช่นกัน
 
“ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าการชังยถึงอะไร ต้องถามคนพูด ทุกคนก็รักชาติ แต่เมื่อวาทกรรมชุดนี้ถูกยกขึ้นมาเพื่อกีดกัน มีการตีความอีกอย่าง ถ้าจะเล่นกันอย่างนี้ แค่คิดต่างหากว่าชังชาติ ถ้าเรียกเราว่า ‘ชังชาติ’ ก็ขอเรียกพวกคุณว่า ‘ฉุดชาติ’ เหมือนกัน เพราะเราอยากให้ชาติไปข้างหน้า แต่เขาฉุดไว้”
 
“ชาติที่ดีจะนำมาซึ่งการเมืองที่ดี การเมืองที่ดีมาจากระบบที่ดี ไม่อยากผลักภาระไปที่ปัจเจก ว่าระบบดี คนดีแล้ว ทุกอย่างจะดี เพราะทั้งคนและระบบเชื่อมโยงกันอย่างตัดไม่ขาด แต่การที่เรามองว่าคนดีระบบจะดี กลายเป็นการผลักภาระให้ปัจเจก ทำให้เรามองข้ามปัญหาเชิงโครงสร้าง
 
การสร้างชาติแบบใหม่ต้องไม่ผลักภาระให้ปัจเจก ที่ว่าไม่มีรัฐแบบไหนดูแลประชาชนได้ทั้งหมด ผมว่ามีรัฐหนึ่ง คือ รัฐสวัสดิการ” นายจักรธรกล่าว
 
ด้าน น.ส.อัครสร โอปิลันธน์ หรือ อั่งอั๊ง นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ และ คอลัมนิสต์เว็บไซต์ Disrupt กล่าวว่า เราอยู่ในระบบที่คนไทยไม่เป็นไท สังคมที่อยากเห็น คือสังคมที่คนเท่าเทียมกันในศักดิ์ ในศรี
 
“ถ้าการเมืองดี คุณภาพชีวิตของชนชั้นกลางและล่างจะดีกว่านี้ แต่ก่อนจะมองการเมืองที่ดีต้องมองปัญหาโครงสร้าง ถ้าการเมืองดี เราทุกคนจะมีความเท่าเทียมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ทั้งหมดเริ่มได้จากระบบการศึกษา ที่จะฝังค่านิยม ซึ่งเด็กจะยึดถือค่านิยมนั้นไปตลอดชีวิต แต่ปัญหาที่เห็นคือการศึกษาที่ยึดติดกับอำนาจนิยม นักเรียนไม่เท่ากัน ยึดค่านิยมที่ล้าลัง ทำให้ชินกับการยอม นักเรียนที่เกรด 4.00 มีค่ามากกว่า คือระบบที่กดค่าความเป็นคน ทั้งที่เราอาจไม่รู้”
 
“ทั้งที่ควรส่งเสริมเด็กกลับกดขี่ ผลิตคนในสังคมที่เงียบ ไม่กล้าแย้ง ไม่กล้าตั้งคำถาม ถ้าการเมืองดีเราสามารถเปลี่ยนค่านิยมมีได้เราจะยึดค่านิยมประการเดียวคือคนทุกคนเท่าเทียมกัน และในวันที่ทุกคนในสังคมหันมาเข้าใจได้ ประเทศไทยจะพัฒนาได้จริง เขาจะมองข้ามความแตกต่าง จะสามารถคุยกับคนที่นั่งในสภา คนที่นั่งด้านบนได้อย่างไม่มีความกลัว ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะฟังเรา และทำตามสิ่งที่ปฏิญาณตนในวันนั้น”
 
“ไม่ว่าจะยืนจุดไหนทุกคนอยากให้ประเทศดีขึ้น” น.ส.อัครสรกล่าว
 

  
กกต.งานงอก! พท.โต้ หลังศาลชี้ขาด อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พ้นมลทิน บี้รับผิดชอบ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_5010569
  
เพื่อไทย ชี้คดีใบส้ม “สุรพล” ชี้ให้เห็นว่า รธน.ให้อำนาจ กกต.ผิดพลาดอย่างร้ายแรง จ่อถาม กกต.ให้ความเป็นธรรมหลังจากนี้อย่างไร บี้รับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหาย
 
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานฝ่ายกฎหมายพรรค พท. กล่าวว่า จากกรณีที่ศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิพากษายกคำร้องกรณีมีการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของนายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัครรับเลือกตั้งเขต 8 จ.เชียงใหม่ ของพรรค พท.
 
โดยเห็นว่า การบริจาคเงินทำบุญ โดยมิได้ แนะนำตัว หรือหาเสียง ไม่เป็นความผิด ตามพรป.พรรคการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จึงไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายสุรพล และยกคำร้องที่ให้นายสุรพลเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งซ่อม
 
เรื่องนี้พรรค พท.ได้เคยแสดงความเห็นไว้หลายครั้งแล้ว ว่า การให้อำนาจ กกต.ในการออกใบส้ม คือการเอาผู้สมัครออกจากเวทีการเลือกตั้ง ทั้งยังไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งว่าคำสั่งออกใบส้มของ กกต.นั้นให้เป็นที่สุด
 
เท่ากับเป็นการย้อนอำนาจให้กับ กกต.ใช้อำนาจกึ่งตุลาการเพิกถอนสิทธิผู้สมัครได้ ในอดีตอำนาจเหล่านี้รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งยกให้ศาล โดยเห็นว่า กกต.ไม่ควรจะใช้อำนาจทั้งการสืบสวน สอบสวน วินิจฉัยชี้ขาดได้ในตัวเอง เรื่องนี้ที่ตอบได้ในขณะนี้คือ นายสุรพลไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งซ่อม พรรค พท. คงจะได้คืนสิทธิกรณีที่ กกต.อายัดเงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่พรรคเพื่อไทยได้รับโดยเหตุดังกล่าว
 
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า กรณีเช่นนี้ปรากฏว่าได้มีการเลือกตั้งซ่อมและมีผู้ได้รับเลือกตั้งโดย กกต.ได้ประกาศรับรองไปแล้ว จึงมีปัญหาว่า กกต.จะมีทางออกเรื่องนี้อย่างไร เป็นปัญหาใหญ่ในทางกฎหมาย โดยต้องถือว่า นายสุรพลได้รับความเสียหายเป็นอย่างยิ่ง
 
ต้องเสียสิทธิในการเป็น ส.ส.ทั้งที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง เราคงจะต้องสอบถามไปยัง กกต.ว่าจะปฏิบัติและให้ความเป็นธรรมต่อนายสุรพลอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่า กกต.ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะต้องถือว่า กกต.ใช้ดุลพินิจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่