เรื่องเล่าจากคนปวดหลัง

สวัสดีค่ะ​ 
เราอายุ​ 28​ ปี​ ตอนนี้ออกจากงานประจำ
และไม่รับงานฟรีแลนซ์​ด้วย
สาเหตุหลักคือ​ แรงกดดัน​ สภาพจิตใจย่ำแย่
หนักกว่านั้นคือนั่งรถนาน​ เดินไกลแล้วปวดหลังค่ะ

ออกจากงานมาทำอาหารขายเป็นหลัก​ 
ขายออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน​ ทำคนเดียว
ทำตามออเดอร์​ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือเพื่อน

งานเสริมคือสอนว่ายน้ำพื้นฐาน​ ไปถึงขั้นจับสโตรก

งานอดิเรก​ ฝึกอบขนม​และการเล่นครอสฟิต

เราเล่ายาวนะคะ​ 
จะแบ่งเป็นพาร์ทเจ็บป่วย​ สงสัยว่าเป็น​ ทำไมถึงตัดสินใจไปตรวจ​ ​การรักษา​ และทัศนคติ​ในการใช้ชีวิต

เพราะเราคิดว่าทุกกิจกรรมของเรามันมีความเกี่ยวโยงของสาเหตุการปวดหลังค่ะ
แต่คนส่วนใหญ่จะมองกันด้านเดียว​  
คือด้านที่เรานำเสนอโพสลงในโซเชียลบ่อย​ ๆ
ภูมิใจในตัวเองเรื่องเล่น​ครอสฟิต​ ยกหนัก​ บ้าพลัง​
แต่เวลาเราทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง​ 
นั่งรถไกล​ไปเที่ยวBackpack
เรามักจะไม่ค่อยลง​ ขอมาเล่าในนี้แทนแล้วกัน

1.1 เราป่วยบ่อย​ แฟ้ม​ OPD​ ที่​ รพ.หนาเตอะ
เอาจริงเรื่องปวดหลังก็เป็น​ ๆ​ หาย​ ๆ​ เป็นบ่อยพอ​ ๆ​ กับปวดหัว​ จนเรามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แต่อาการปวดหลังก็อยู่กับเรามานานเหมือนกัน
หลายปีก่อนตั้งแต่เรียนจบมาใหม่​ ๆ
เราก็ทำงานประจำเหมือนคนทั่วไป
จะมีอาการปวดหลัง​ คอ​ ไหล่​ จากการนั่งทำงานนาน
จากการเดินทาง​ นั่งเครื่องบิน​ นั่งรถในที่แคบนาน​ ๆ​ 
เพียงทานยาแก้ปวด​ ทายาร้อน​ ๆ​ หรือเจลเย็น​ 
ก็หายไป​ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแหละ​ และก็ยังวัยรุ่นอยู่

1.2 ช่วงปี​ 2561 เรากลับมาจริงจังกับการออกกำลังกาย​ เพราะเราไม่อยากเจ็บป่วยง่าย​ 
(ช่วงปี​ 2560 เราเคยป่วยเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง​ รักษาอยู่​ 9​ เดือน​ ปัจจุบันหายขาดแล้ว)​
แต่ดันมาเจ็บหลังช่วงล่างง่าย​ บางทีก็ท้อนะ​ 
คิดว่าอยู่เฉย​ ๆ​ ดีกว่ามั้ย​ ท่าออกกำลังกายไปเจ็บไป
เดือนพฤศจิกายน​ปี​ 2561​ เคยตกจากที่สูง​
ในท่า​ Box​ Jump​ สูงเกือบ​ 2​ เมตร​ แขนซ้ายลง​ กระแทกพื้นแข็ง​ เจ็บนานอยู่​ 2​ เดือน​ เอื้อมสะพายกระเป๋าเองไม่ได้​ ปวดตลอดเวลาต้องทานยา​ TRAMADOL​  ทุก​ 8​ ชม.​ ทานช่วงสั้นๆ
หลังจากนั้นทาน​ Nsaids​ แค่ตอนที่ปวด

1.3 ช่วงปี​ 2562​ เราได้เจอการออกกำลังกายที่ชื่อว่า​ CrossFit​ เป็นการออกกำลังกายที่พัฒนาจากท่าทางพื้นฐานในชีวิตประจำวัน​ ผสมผสานกับคาร์ดิโอ​ และยิมนาสติก​ จะต่างจากคลาสทั่วๆไปคือ​ หนักกว่าเหนื่อยกว่า​ และมีแต่คนอยากพัฒนา​ตัวเอง​
(ไม่ใช่ว่ารูปแบบการเทรนอย่างอื่นไม่ดีนะ)​ 
แต่บังเอิญเราเจอการออกกำลังกายที่เหมาะและคุ้มค่ากับเรา​ และเราเองก็ได้พัฒนาตัวเองเรื่อย​ ๆ
แต่ก็มีอุปสรรค​ ในวันที่เราเจอ​ WOD.เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง​ (Low​ Back) เช่นท่า​ Deadlift​ 
เราจะปวดหลังระบม​ วันถัดไปก็ไปเล่นกล้ามเนื้อส่วนอื่น​ แต่มันจะลำบากเพราะร่างกายมันเจ็บบ่อย​ ฟื้นฟูไม่ทันใช้งาน​ และออกแรงในท่าอื่นได้ไม่เต็มที่
โค้ชที่สอนเราก็ให้การบ้านเพิ่มความแข็งแรงส่วนหน้าท้อง​ เช่น​ Plank, Superman, GHD Workout 
เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ​ ว่าหลังอ่อนแอแล้วหน้าท้องมันเกี่ยวอะไรด้วย​ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง​ ไม่ใส่ใจ​ ละเลย

จนกระทั่งเดือน​ตุลาคม​ 2562​ 
ช่วงนั้นมี​ Crossfit​ Open​ 2020​ 
ทุก​ WOD เราผ่านไปได้ด้วยดี​ เพราะช่วงนั้นเราแข็งแรงมาก​ แล้วมี​ WOD​ ที่มี​ Deadlift​ 136 ปอนด์​หรือราว​ ๆ​ 61​ กิโลกรัม​ ซึ่งเรากังวลกับท่าออกกำลังกายนี้มาก.ยกทีไรก็ปวดหลังไปเป็นสัปดาห์​ และไม่เคยฝึกฝนพัฒนายกให้ได้หนักมากขึ้น​ เพราะยกไม่ให้เจ็บหลังยังยากอยู่เลย
วันนั้นเราเสียใจมากที่เราตัดสินใจฝืนยก​
ยกไปประมาณ​ 30​ กว่าครั้ง​
เห็นคนอื่นทำได้เราก็อยากทำได้บ้าง
การกดดันตัวเองให้ถึงเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี
แต่การที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันไม่ได้
แล้ววันนั้นก็กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเจ็บหลังมากกว่า​ 1​ เดือน
ไม่สามารถ​ลุกขึ้นจากที่นอนได้​ นอนพื้นซะด้วย
เวลานั่งพื้น​ ไม่มีแรงถีบตัวเองขึ้นมาต้องใช้มือค้ำ
เอี้ยวตัวไปด้านขวาไม่ได้​ ต้องหมุนรอบตัวเองอย่างเดียว
ก้มพับตัวเก็บของไม่ได้​ ปกติเราเป็นคนตัวอ่อน​ ก้มพับตัวแตะพื้นได้​ ฉีกขา​ 180​ องศาแนวข้างและแนวตรงได้

พฤศจิกายน​ 2562
เราตัดสินใจไปพบหมอเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ
บอกพยาบาลว่าปวดหลังมา​ 1​ เดือน​ ยกของหนักมา
พี่พยาบาลจัดคิวอาจารย์​หมอที่เก่งด้านกระดูกสันหลังที่สุดให้เลย
ก็เล่าให้คุณหมอฟังว่าไปเดทลิฟ​ 61​ กิโลกรัมมา​ 30​ กว่าครั้ง และเจ็บหลังมานานกว่า​ 1​ เดือน
หมอเลยให้ไป​ X-ray​ ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน
ผล​ออกมา​ แนวกระดูกสันหลังปกติดี
หมอคิดว่าแค่กล้ามเนื้ออักเสบแหละ
ให้ยาไปกินและกลับมาพบกันใหม่​อีก​ 2​ สัปดาห์
กลับมาพบตามนัด อาการปวดหลังไม่ได้หายไป​ 
แต่ปวดหลังล่างชัดเจน​ด้านซ้าย และเจ็บก้นข้างซ้ายด้วย​นั่งแทบไม่ได้เลย​ บอกหมอแบบนี้​ 
หมอพูดกลับมา​ว่า​ ไหนบอกปวดหลังไง  เจ็บก้นไม่เกี่ยวกันแล้ว​ และก็ไม่นัดเราอีกเลย
เราจำเหตุการณ์​วันนั้นได้ดี​ ว่าเราปล่อยโฮ​ ร้องไห้ต่อหน้าอาจารย์​หมอที่เก่งๆคนนั้นพร้อมแพทย์​ประจำบ้านอีก​ 3​ คน​ ทั้งเจ็บทั้งอายและเสียใจ​มาก​ 
(ตอนพิมพ์ก็ร้องไห้55)​ นึกถึงทีไรก็เสียใจ
ตอนนั้นเราหมดศรัทธากับหมอกระดูกไปเลย
ทั้งๆที่เรารักษาที่นี่มาตั้งแต่เด็กน้อย​ 
ผ่าตัดเยื่อหุ้มเอ็นฝ่ามืออักเสบก็ที่นี่
ปวดหลังคงเป็นเรื่องตลกมากมั๊ง

ไปปรึกษาโค้ช​ ก็ได้คำแนะนำและสถานที่รักษา
ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์​ว่าโลกใบนี้​มีอาชีพนักกายภาพอยู่ด้วย
เราก็เล่าทั้งหมดแบบฉบับย่อให้นักกายภาพฟังแต่ไม่ร้องไห้แล้วนะ55
นักกายภาพก็ทำการตรวจร่างกาย​ 
เอาสายวัดมาวัดขา​ พับขาทดสอบทีละข้างทีละมุม
ก็ได้คำตอบว่าที่เราเจ็บหลังเจ็บก้นด้านซ้าย
เป็นที่กล้ามเนื้อสะโพก​มัดลึก​ 
ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า​ Piriformis​ 
ทำการรักษาอีก​ 45​ นาที​ ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์​
เอาอะไรแข็งๆมาเขี่ยจุดกดเจ็บที่ก้น​ สู้กันพักใหญ่
ใช้แสงเลเซอร์​รักษา​ และปิดท้ายด้วยยิงเครื่องสั่นๆคลายกล้ามเนื้อ​ 
จนความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
นักกายภาพบอกเราว่าเครื่องมือเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดเพียงชั่วคราว​ เราจะดีขึ้นได้​ ถ้าเรามีกล้ามเนื้อสะโพก​ หน้าท้อง​ ที่แข็งแรง
ก็สอนออกกำลังกายเสริมสร้าง​ การยืดกล้ามเนื้อ
รวมไปถึงท่าทางในชีวิตประจำวัน​ (Posture)​ ไม่ว่าจะยืนเดินนั่ง​ ยืนให้อกผายไหล่พึ่ง​ ยกสะโพก​ นั่งหลังตรง​และให้เต็มก้น​ เพื่อให้กระดูก​ 3​ แง่งรับน้ำหนักให้สมดุล
ไม่เป็นภาระในการรับน้ำหนักด้านใดด้านหนึ่ง 
ก่อนกลับนักกายภาพขอทดสอบการลุกนั่ง
เราสามารถ​ถีบตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้มือยัน​ และก้มแตะพื้นได้​ แต่ยังเอี้ยวตัวด้านขวาได้ไม่ถนัด​ก็ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องฝืน
จ่ายตังแล้วจะหายทันทีค่ะ
ดีใจมากที่รู้ว่าเป็นอะไรสักที
หลังจากนั้นมีอะไรก็ทักไปปรึกษาช่องทางไลน์ของคลินิก​
ออกกำลังกายในท่าท่าเสริมสร้างกล้ามเนื้อสะโพกเป็นหลัก​ ช่วงนั้นเราเลิกสนใจเรื่องคนอื่น​ จะได้ไม่ต้องเครียด​ แล้วไปติดตาม​ นักกายภาพต่างประเทศ​ หาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย.ยืดกล้ามเนื้อทุกวัน​ คีย์​เวิร์ด​คือ​ Piriformis​ Exercises, Piriformis​ Stretch ติดตามเพจ​ แฮชแท๊ก​ Rehab​ ต่างๆ
และก็ดีขึ้น​ มาทำกายภาพไม่ต้องถี่มาก​ 
เลยขอให้นักกายภาพออกใบรับรองการรักษาไปให้ที่​ รพ.​ เพื่อที่จะใช้สิทธิ์ประกันสังคมรักษาอย่างต่อเนื่อง
จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย
เราก็ได้กลับไปพบอาจารย์​หมอคนเดิม​ 
แล้วเอาใบรับรองนักกายภาพให้ดู​ 
อาจารย์​หมอบอก​ "อ๋อ.. กล้ามเนื้อนี้ต้องยืดแบบนี้" 
สอนเราต่อหน้าแพทย์​ประจำบ้าน...  เราเองก็ยิ้มรับ​ 
ไม่ได้ติดใจอะไรนะ​ (ไม่ร้องไห้แล้ว55)​
เราเลยถามว่าโรงพยาบาล​นี้มีการรักษาแบบกายภาพมั้ย​ หมอตอบว่า​ "มีสิ​ แผนกเวชศาสตร์​ฟื้นฟู​ เดี๋ยวถือแฟ้มขึ้นไปทำนัดด้านบนเลยนะ" 
หลังจากนั้นก็รักษากับแผนกเวชศาสตร์​ฟื้นฟูทุก​ 2​ สัปดาห์​ คุณหมอพูดน้อยแต่น่ารักให้แผ่นพับมาอ่าน​เป็นความรู้​ สอนยืดกล้ามเนื้อ และให้เราเลือกเองว่าจะรักษาแบบไหน​ ตัวเลือกมากมาย ถ้าฉีดยาไม่เกินปี​ละ​ 2-3​ ครั้ง, ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า​ 15​ นาที​  2​ อย่างนี้คุณหมอรักษาเอง​ หรือไปทำกายภาพบำบัดกับเครื่องมือต่างๆทำโดยนักกายภาพบำบัด
เราลองมาทุกอย่าง ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้าดีสุด
อาการดีขึ้นตามลำดับ​ การมาพบคุณหมอก็ห่างออกไปเป็นเดือนละครั้ง, 2​ เดือน/ครั้ง​ 
จนคุณหมอถามว่าจะให้นัดอีกเมื่อไหร่ดี​ 
เราขอ​ 3​ เดือนครั้งเลย​ เพราะขึ้เกียจตื่นเช้ามา​ รพ.​
คุณหมอยังนัดอยู่ก็หมายความว่าโรคนี้มันไม่ได้หายง่ายๆสินะ
และแล้ว​ เราก็ขาดวินัยในการออกกำลังกาย​ การยืดกล้ามเนื้อ​ กลับมานั่งทำงานนานหลังขดหลังแข็ง

1.4 ช่วงโควิดเป็นเหตุ​ 
มิถุนายน​ 2563
เราออกจากงานประจำมาทำอาหารขาย
ไหนใครบอกทำงานอยู่บ้านสบาย​ ใช่ค่ะสบายใจ
แต่งานครัวสุดจะหนัก​ ลูกค้าบอกอร่อย​
เราก็หายเหนื่อยแต่ก็ไม่หายปวดหลัง

ทำยังไงดีกายภาพก็นัดห่าง​ด้วย

กรกฏา​คม​ 2563
เราเป็นกรดไหลย้อน
เกิดจากกินในปริมาณที่มากแล้วนอน​ 
คือทำงานครัวนาน​ แล้วรวบยอดกินมื้อเดียว​ ปวดหลังมากเอนนอน​ กดคอเล่นมือถือต่ออีก

วันนึงยืนทำอาหารอยู่ชิม​อาหารแล้วน้ำลายฟูมปาก
เลยวิ่งไปส่องกระจกว่าหน้าเบี้ยวมั้ย.. ก็ปกตินะ

ถามหมอกูเกิ้ล.. คิดว่าเป็นกรดไหลย้อน​ 
ซื้อยาลดกรดมากินเองขี้เกียจไป​ รพ.​ ก็ดีขึ้นค่ะ​ 
แต่ไม่หายขาด

หมดค่ายาไปเยอะเลยไป  รพ.​ ก็ได้
เพราะวันนั้นไปทำกายภาพบำบัดพอดี
เลยขอแฟ้มไปตรวจต่อที่แผนกประกันสังคม
คุณหมอแผนกประกันสังคม​ก็น่ารักดีค่ะ
เราก็เล่าว่า​ เรากินแล้วนอน​ น้ำลายฟูมปาก​ คลื่นไส้​ ขมปากขมคอ​ ถามหมอกูเกิ้ล​ คิดเองว่าเป็นกรดไหลย้อน
ซื้อยาลดกรดมาทานเองแล้ว​ ดีขึ้น​ แต่ยังขมปากอยู่
คุณหมอก็รับฟังโดยไม่ตัดสิน​ ให้แลบลิ้นแล้วเจอฝ้าเหลือง​ เราก็ได้รับคำแนะนำว่า​ "ตื่นเช้ามาให้ทานข้าวภายใน​ 2​ ชม.​ หลังจากตื่นนอน กินจืด​ ๆ​ ไม่มันไปก่อน​ แล้วกินบ่อย​ ๆ​ หาขนมไว้ใกล้​ ๆ​ ตัว​ ตั้งนาฬิกาเตือนกินทุก​ 2​ ชม." 
เรามีคำถามว่า​ เราอ่านเจอมา​ ห้ามกินมะเขือเทศมั้ย
หมอถามว่า​ "ชอบกินหรอ​ กินได้แหละอย่ากินเยอะมาก
แค่ทำตามข้างต้นที่หมอบอกก็น่าจะดีขึ้นแล้ว"
หมอจ่ายยาลดกรด​ และแก้อาเจียรในระยะสั้น​ 
และไม่ได้นัดต่อ
เราเลยลองขอความเห็นใจให้คุณหมอให้ส่งต่อแผนกกระดูกและข้อ​ โดยการยื่นข้อมือด้านขวาที่มีก้อนซีสใหญ่ๆให้ดู​ บอกว่าเป็นมาเกินครึ่งปีแล้ว​ เวลาทำอาหารเคลื่อนไหวข้อมือนานๆเจ็บมากเลย​ คุณหมอก็ใจดีส่งให้​ เราเสียดายที่ไม่ได้ขอใบรับรองแพทย์​เอาไว้​ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ลางานใคร​ เสียดายที่ไม่ได้รู้จักชื่อคุณหมอ

เราทำตามที่คุณหมอแนะนำ​
ก็ไม่มีอาการกรดไหลย้อน​ นาน​ ๆ​ มาที​
และมาแต่ช่วงเครียด

ขอจบเรื่องกรดไหลย้อนไว้ก่อนนะคะ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่