สวัสดีค่ะ
เราอายุ 28 ปี ตอนนี้ออกจากงานประจำ
และไม่รับงานฟรีแลนซ์ด้วย
สาเหตุหลักคือ แรงกดดัน สภาพจิตใจย่ำแย่
หนักกว่านั้นคือนั่งรถนาน เดินไกลแล้วปวดหลังค่ะ
ออกจากงานมาทำอาหารขายเป็นหลัก
ขายออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน ทำคนเดียว
ทำตามออเดอร์ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือเพื่อน
งานเสริมคือสอนว่ายน้ำพื้นฐาน ไปถึงขั้นจับสโตรก
งานอดิเรก ฝึกอบขนมและการเล่นครอสฟิต
เราเล่ายาวนะคะ
จะแบ่งเป็นพาร์ทเจ็บป่วย สงสัยว่าเป็น ทำไมถึงตัดสินใจไปตรวจ การรักษา และทัศนคติในการใช้ชีวิต
เพราะเราคิดว่าทุกกิจกรรมของเรามันมีความเกี่ยวโยงของสาเหตุการปวดหลังค่ะ
แต่คนส่วนใหญ่จะมองกันด้านเดียว
คือด้านที่เรานำเสนอโพสลงในโซเชียลบ่อย ๆ
ภูมิใจในตัวเองเรื่องเล่นครอสฟิต ยกหนัก บ้าพลัง
แต่เวลาเราทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง
นั่งรถไกลไปเที่ยวBackpack
เรามักจะไม่ค่อยลง ขอมาเล่าในนี้แทนแล้วกัน
1.1 เราป่วยบ่อย แฟ้ม OPD ที่ รพ.หนาเตอะ
เอาจริงเรื่องปวดหลังก็เป็น ๆ หาย ๆ เป็นบ่อยพอ ๆ กับปวดหัว จนเรามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แต่อาการปวดหลังก็อยู่กับเรามานานเหมือนกัน
หลายปีก่อนตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ ๆ
เราก็ทำงานประจำเหมือนคนทั่วไป
จะมีอาการปวดหลัง คอ ไหล่ จากการนั่งทำงานนาน
จากการเดินทาง นั่งเครื่องบิน นั่งรถในที่แคบนาน ๆ
เพียงทานยาแก้ปวด ทายาร้อน ๆ หรือเจลเย็น
ก็หายไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแหละ และก็ยังวัยรุ่นอยู่
1.2 ช่วงปี 2561 เรากลับมาจริงจังกับการออกกำลังกาย เพราะเราไม่อยากเจ็บป่วยง่าย
(ช่วงปี 2560 เราเคยป่วยเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง รักษาอยู่ 9 เดือน ปัจจุบันหายขาดแล้ว)
แต่ดันมาเจ็บหลังช่วงล่างง่าย บางทีก็ท้อนะ
คิดว่าอยู่เฉย ๆ ดีกว่ามั้ย ท่าออกกำลังกายไปเจ็บไป
เดือนพฤศจิกายนปี 2561 เคยตกจากที่สูง
ในท่า Box Jump สูงเกือบ 2 เมตร แขนซ้ายลง กระแทกพื้นแข็ง เจ็บนานอยู่ 2 เดือน เอื้อมสะพายกระเป๋าเองไม่ได้ ปวดตลอดเวลาต้องทานยา TRAMADOL ทุก 8 ชม. ทานช่วงสั้นๆ
หลังจากนั้นทาน Nsaids แค่ตอนที่ปวด
1.3 ช่วงปี 2562 เราได้เจอการออกกำลังกายที่ชื่อว่า CrossFit เป็นการออกกำลังกายที่พัฒนาจากท่าทางพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ผสมผสานกับคาร์ดิโอ และยิมนาสติก จะต่างจากคลาสทั่วๆไปคือ หนักกว่าเหนื่อยกว่า และมีแต่คนอยากพัฒนาตัวเอง
(ไม่ใช่ว่ารูปแบบการเทรนอย่างอื่นไม่ดีนะ)
แต่บังเอิญเราเจอการออกกำลังกายที่เหมาะและคุ้มค่ากับเรา และเราเองก็ได้พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ
แต่ก็มีอุปสรรค ในวันที่เราเจอ WOD.เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Low Back) เช่นท่า Deadlift
เราจะปวดหลังระบม วันถัดไปก็ไปเล่นกล้ามเนื้อส่วนอื่น แต่มันจะลำบากเพราะร่างกายมันเจ็บบ่อย ฟื้นฟูไม่ทันใช้งาน และออกแรงในท่าอื่นได้ไม่เต็มที่
โค้ชที่สอนเราก็ให้การบ้านเพิ่มความแข็งแรงส่วนหน้าท้อง เช่น Plank, Superman, GHD Workout
เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าหลังอ่อนแอแล้วหน้าท้องมันเกี่ยวอะไรด้วย ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ใส่ใจ ละเลย
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2562
ช่วงนั้นมี Crossfit Open 2020
ทุก WOD เราผ่านไปได้ด้วยดี เพราะช่วงนั้นเราแข็งแรงมาก แล้วมี WOD ที่มี Deadlift 136 ปอนด์หรือราว ๆ 61 กิโลกรัม ซึ่งเรากังวลกับท่าออกกำลังกายนี้มาก.ยกทีไรก็ปวดหลังไปเป็นสัปดาห์ และไม่เคยฝึกฝนพัฒนายกให้ได้หนักมากขึ้น เพราะยกไม่ให้เจ็บหลังยังยากอยู่เลย
วันนั้นเราเสียใจมากที่เราตัดสินใจฝืนยก
ยกไปประมาณ 30 กว่าครั้ง
เห็นคนอื่นทำได้เราก็อยากทำได้บ้าง
การกดดันตัวเองให้ถึงเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี
แต่การที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันไม่ได้
แล้ววันนั้นก็กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเจ็บหลังมากกว่า 1 เดือน
ไม่สามารถลุกขึ้นจากที่นอนได้ นอนพื้นซะด้วย
เวลานั่งพื้น ไม่มีแรงถีบตัวเองขึ้นมาต้องใช้มือค้ำ
เอี้ยวตัวไปด้านขวาไม่ได้ ต้องหมุนรอบตัวเองอย่างเดียว
ก้มพับตัวเก็บของไม่ได้ ปกติเราเป็นคนตัวอ่อน ก้มพับตัวแตะพื้นได้ ฉีกขา 180 องศาแนวข้างและแนวตรงได้
พฤศจิกายน 2562
เราตัดสินใจไปพบหมอเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ
บอกพยาบาลว่าปวดหลังมา 1 เดือน ยกของหนักมา
พี่พยาบาลจัดคิวอาจารย์หมอที่เก่งด้านกระดูกสันหลังที่สุดให้เลย
ก็เล่าให้คุณหมอฟังว่าไปเดทลิฟ 61 กิโลกรัมมา 30 กว่าครั้ง และเจ็บหลังมานานกว่า 1 เดือน
หมอเลยให้ไป X-ray ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน
ผลออกมา แนวกระดูกสันหลังปกติดี
หมอคิดว่าแค่กล้ามเนื้ออักเสบแหละ
ให้ยาไปกินและกลับมาพบกันใหม่อีก 2 สัปดาห์
กลับมาพบตามนัด อาการปวดหลังไม่ได้หายไป
แต่ปวดหลังล่างชัดเจนด้านซ้าย และเจ็บก้นข้างซ้ายด้วยนั่งแทบไม่ได้เลย บอกหมอแบบนี้
หมอพูดกลับมาว่า ไหนบอกปวดหลังไง เจ็บก้นไม่เกี่ยวกันแล้ว และก็ไม่นัดเราอีกเลย
เราจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี ว่าเราปล่อยโฮ ร้องไห้ต่อหน้าอาจารย์หมอที่เก่งๆคนนั้นพร้อมแพทย์ประจำบ้านอีก 3 คน ทั้งเจ็บทั้งอายและเสียใจมาก
(ตอนพิมพ์ก็ร้องไห้55) นึกถึงทีไรก็เสียใจ
ตอนนั้นเราหมดศรัทธากับหมอกระดูกไปเลย
ทั้งๆที่เรารักษาที่นี่มาตั้งแต่เด็กน้อย
ผ่าตัดเยื่อหุ้มเอ็นฝ่ามืออักเสบก็ที่นี่
ปวดหลังคงเป็นเรื่องตลกมากมั๊ง
ไปปรึกษาโค้ช ก็ได้คำแนะนำและสถานที่รักษา
ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ว่าโลกใบนี้มีอาชีพนักกายภาพอยู่ด้วย
เราก็เล่าทั้งหมดแบบฉบับย่อให้นักกายภาพฟังแต่ไม่ร้องไห้แล้วนะ55
นักกายภาพก็ทำการตรวจร่างกาย
เอาสายวัดมาวัดขา พับขาทดสอบทีละข้างทีละมุม
ก็ได้คำตอบว่าที่เราเจ็บหลังเจ็บก้นด้านซ้าย
เป็นที่กล้ามเนื้อสะโพกมัดลึก
ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า Piriformis
ทำการรักษาอีก 45 นาที ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์
เอาอะไรแข็งๆมาเขี่ยจุดกดเจ็บที่ก้น สู้กันพักใหญ่
ใช้แสงเลเซอร์รักษา และปิดท้ายด้วยยิงเครื่องสั่นๆคลายกล้ามเนื้อ
จนความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
นักกายภาพบอกเราว่าเครื่องมือเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดเพียงชั่วคราว เราจะดีขึ้นได้ ถ้าเรามีกล้ามเนื้อสะโพก หน้าท้อง ที่แข็งแรง
ก็สอนออกกำลังกายเสริมสร้าง การยืดกล้ามเนื้อ
รวมไปถึงท่าทางในชีวิตประจำวัน (Posture) ไม่ว่าจะยืนเดินนั่ง ยืนให้อกผายไหล่พึ่ง ยกสะโพก นั่งหลังตรงและให้เต็มก้น เพื่อให้กระดูก 3 แง่งรับน้ำหนักให้สมดุล
ไม่เป็นภาระในการรับน้ำหนักด้านใดด้านหนึ่ง
ก่อนกลับนักกายภาพขอทดสอบการลุกนั่ง
เราสามารถถีบตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้มือยัน และก้มแตะพื้นได้ แต่ยังเอี้ยวตัวด้านขวาได้ไม่ถนัดก็ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องฝืน
จ่ายตังแล้วจะหายทันทีค่ะ
ดีใจมากที่รู้ว่าเป็นอะไรสักที
หลังจากนั้นมีอะไรก็ทักไปปรึกษาช่องทางไลน์ของคลินิก
ออกกำลังกายในท่าท่าเสริมสร้างกล้ามเนื้อสะโพกเป็นหลัก ช่วงนั้นเราเลิกสนใจเรื่องคนอื่น จะได้ไม่ต้องเครียด แล้วไปติดตาม นักกายภาพต่างประเทศ หาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย.ยืดกล้ามเนื้อทุกวัน คีย์เวิร์ดคือ Piriformis Exercises, Piriformis Stretch ติดตามเพจ แฮชแท๊ก Rehab ต่างๆ
และก็ดีขึ้น มาทำกายภาพไม่ต้องถี่มาก
เลยขอให้นักกายภาพออกใบรับรองการรักษาไปให้ที่ รพ. เพื่อที่จะใช้สิทธิ์ประกันสังคมรักษาอย่างต่อเนื่อง
จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย
เราก็ได้กลับไปพบอาจารย์หมอคนเดิม
แล้วเอาใบรับรองนักกายภาพให้ดู
อาจารย์หมอบอก "อ๋อ.. กล้ามเนื้อนี้ต้องยืดแบบนี้"
สอนเราต่อหน้าแพทย์ประจำบ้าน... เราเองก็ยิ้มรับ
ไม่ได้ติดใจอะไรนะ (ไม่ร้องไห้แล้ว55)
เราเลยถามว่าโรงพยาบาลนี้มีการรักษาแบบกายภาพมั้ย หมอตอบว่า "มีสิ แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู เดี๋ยวถือแฟ้มขึ้นไปทำนัดด้านบนเลยนะ"
หลังจากนั้นก็รักษากับแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูทุก 2 สัปดาห์ คุณหมอพูดน้อยแต่น่ารักให้แผ่นพับมาอ่านเป็นความรู้ สอนยืดกล้ามเนื้อ และให้เราเลือกเองว่าจะรักษาแบบไหน ตัวเลือกมากมาย ถ้าฉีดยาไม่เกินปีละ 2-3 ครั้ง, ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า 15 นาที 2 อย่างนี้คุณหมอรักษาเอง หรือไปทำกายภาพบำบัดกับเครื่องมือต่างๆทำโดยนักกายภาพบำบัด
เราลองมาทุกอย่าง ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้าดีสุด
อาการดีขึ้นตามลำดับ การมาพบคุณหมอก็ห่างออกไปเป็นเดือนละครั้ง, 2 เดือน/ครั้ง
จนคุณหมอถามว่าจะให้นัดอีกเมื่อไหร่ดี
เราขอ 3 เดือนครั้งเลย เพราะขึ้เกียจตื่นเช้ามา รพ.
คุณหมอยังนัดอยู่ก็หมายความว่าโรคนี้มันไม่ได้หายง่ายๆสินะ
และแล้ว เราก็ขาดวินัยในการออกกำลังกาย การยืดกล้ามเนื้อ กลับมานั่งทำงานนานหลังขดหลังแข็ง
1.4 ช่วงโควิดเป็นเหตุ
มิถุนายน 2563
เราออกจากงานประจำมาทำอาหารขาย
ไหนใครบอกทำงานอยู่บ้านสบาย ใช่ค่ะสบายใจ
แต่งานครัวสุดจะหนัก ลูกค้าบอกอร่อย
เราก็หายเหนื่อยแต่ก็ไม่หายปวดหลัง
ทำยังไงดีกายภาพก็นัดห่างด้วย
กรกฏาคม 2563
เราเป็นกรดไหลย้อน
เกิดจากกินในปริมาณที่มากแล้วนอน
คือทำงานครัวนาน แล้วรวบยอดกินมื้อเดียว ปวดหลังมากเอนนอน กดคอเล่นมือถือต่ออีก
วันนึงยืนทำอาหารอยู่ชิมอาหารแล้วน้ำลายฟูมปาก
เลยวิ่งไปส่องกระจกว่าหน้าเบี้ยวมั้ย.. ก็ปกตินะ
ถามหมอกูเกิ้ล.. คิดว่าเป็นกรดไหลย้อน
ซื้อยาลดกรดมากินเองขี้เกียจไป รพ. ก็ดีขึ้นค่ะ
แต่ไม่หายขาด
หมดค่ายาไปเยอะเลยไป รพ. ก็ได้
เพราะวันนั้นไปทำกายภาพบำบัดพอดี
เลยขอแฟ้มไปตรวจต่อที่แผนกประกันสังคม
คุณหมอแผนกประกันสังคมก็น่ารักดีค่ะ
เราก็เล่าว่า เรากินแล้วนอน น้ำลายฟูมปาก คลื่นไส้ ขมปากขมคอ ถามหมอกูเกิ้ล คิดเองว่าเป็นกรดไหลย้อน
ซื้อยาลดกรดมาทานเองแล้ว ดีขึ้น แต่ยังขมปากอยู่
คุณหมอก็รับฟังโดยไม่ตัดสิน ให้แลบลิ้นแล้วเจอฝ้าเหลือง เราก็ได้รับคำแนะนำว่า "ตื่นเช้ามาให้ทานข้าวภายใน 2 ชม. หลังจากตื่นนอน กินจืด ๆ ไม่มันไปก่อน แล้วกินบ่อย ๆ หาขนมไว้ใกล้ ๆ ตัว ตั้งนาฬิกาเตือนกินทุก 2 ชม."
เรามีคำถามว่า เราอ่านเจอมา ห้ามกินมะเขือเทศมั้ย
หมอถามว่า "ชอบกินหรอ กินได้แหละอย่ากินเยอะมาก
แค่ทำตามข้างต้นที่หมอบอกก็น่าจะดีขึ้นแล้ว"
หมอจ่ายยาลดกรด และแก้อาเจียรในระยะสั้น
และไม่ได้นัดต่อ
เราเลยลองขอความเห็นใจให้คุณหมอให้ส่งต่อแผนกกระดูกและข้อ โดยการยื่นข้อมือด้านขวาที่มีก้อนซีสใหญ่ๆให้ดู บอกว่าเป็นมาเกินครึ่งปีแล้ว เวลาทำอาหารเคลื่อนไหวข้อมือนานๆเจ็บมากเลย คุณหมอก็ใจดีส่งให้ เราเสียดายที่ไม่ได้ขอใบรับรองแพทย์เอาไว้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ลางานใคร เสียดายที่ไม่ได้รู้จักชื่อคุณหมอ
เราทำตามที่คุณหมอแนะนำ
ก็ไม่มีอาการกรดไหลย้อน นาน ๆ มาที
และมาแต่ช่วงเครียด
ขอจบเรื่องกรดไหลย้อนไว้ก่อนนะคะ
เรื่องเล่าจากคนปวดหลัง
เราอายุ 28 ปี ตอนนี้ออกจากงานประจำ
และไม่รับงานฟรีแลนซ์ด้วย
สาเหตุหลักคือ แรงกดดัน สภาพจิตใจย่ำแย่
หนักกว่านั้นคือนั่งรถนาน เดินไกลแล้วปวดหลังค่ะ
ออกจากงานมาทำอาหารขายเป็นหลัก
ขายออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน ทำคนเดียว
ทำตามออเดอร์ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือเพื่อน
งานเสริมคือสอนว่ายน้ำพื้นฐาน ไปถึงขั้นจับสโตรก
งานอดิเรก ฝึกอบขนมและการเล่นครอสฟิต
เราเล่ายาวนะคะ
จะแบ่งเป็นพาร์ทเจ็บป่วย สงสัยว่าเป็น ทำไมถึงตัดสินใจไปตรวจ การรักษา และทัศนคติในการใช้ชีวิต
เพราะเราคิดว่าทุกกิจกรรมของเรามันมีความเกี่ยวโยงของสาเหตุการปวดหลังค่ะ
แต่คนส่วนใหญ่จะมองกันด้านเดียว
คือด้านที่เรานำเสนอโพสลงในโซเชียลบ่อย ๆ
ภูมิใจในตัวเองเรื่องเล่นครอสฟิต ยกหนัก บ้าพลัง
แต่เวลาเราทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง
นั่งรถไกลไปเที่ยวBackpack
เรามักจะไม่ค่อยลง ขอมาเล่าในนี้แทนแล้วกัน
1.1 เราป่วยบ่อย แฟ้ม OPD ที่ รพ.หนาเตอะ
เอาจริงเรื่องปวดหลังก็เป็น ๆ หาย ๆ เป็นบ่อยพอ ๆ กับปวดหัว จนเรามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แต่อาการปวดหลังก็อยู่กับเรามานานเหมือนกัน
หลายปีก่อนตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ ๆ
เราก็ทำงานประจำเหมือนคนทั่วไป
จะมีอาการปวดหลัง คอ ไหล่ จากการนั่งทำงานนาน
จากการเดินทาง นั่งเครื่องบิน นั่งรถในที่แคบนาน ๆ
เพียงทานยาแก้ปวด ทายาร้อน ๆ หรือเจลเย็น
ก็หายไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแหละ และก็ยังวัยรุ่นอยู่
1.2 ช่วงปี 2561 เรากลับมาจริงจังกับการออกกำลังกาย เพราะเราไม่อยากเจ็บป่วยง่าย
(ช่วงปี 2560 เราเคยป่วยเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง รักษาอยู่ 9 เดือน ปัจจุบันหายขาดแล้ว)
แต่ดันมาเจ็บหลังช่วงล่างง่าย บางทีก็ท้อนะ
คิดว่าอยู่เฉย ๆ ดีกว่ามั้ย ท่าออกกำลังกายไปเจ็บไป
เดือนพฤศจิกายนปี 2561 เคยตกจากที่สูง
ในท่า Box Jump สูงเกือบ 2 เมตร แขนซ้ายลง กระแทกพื้นแข็ง เจ็บนานอยู่ 2 เดือน เอื้อมสะพายกระเป๋าเองไม่ได้ ปวดตลอดเวลาต้องทานยา TRAMADOL ทุก 8 ชม. ทานช่วงสั้นๆ
หลังจากนั้นทาน Nsaids แค่ตอนที่ปวด
1.3 ช่วงปี 2562 เราได้เจอการออกกำลังกายที่ชื่อว่า CrossFit เป็นการออกกำลังกายที่พัฒนาจากท่าทางพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ผสมผสานกับคาร์ดิโอ และยิมนาสติก จะต่างจากคลาสทั่วๆไปคือ หนักกว่าเหนื่อยกว่า และมีแต่คนอยากพัฒนาตัวเอง
(ไม่ใช่ว่ารูปแบบการเทรนอย่างอื่นไม่ดีนะ)
แต่บังเอิญเราเจอการออกกำลังกายที่เหมาะและคุ้มค่ากับเรา และเราเองก็ได้พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ
แต่ก็มีอุปสรรค ในวันที่เราเจอ WOD.เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Low Back) เช่นท่า Deadlift
เราจะปวดหลังระบม วันถัดไปก็ไปเล่นกล้ามเนื้อส่วนอื่น แต่มันจะลำบากเพราะร่างกายมันเจ็บบ่อย ฟื้นฟูไม่ทันใช้งาน และออกแรงในท่าอื่นได้ไม่เต็มที่
โค้ชที่สอนเราก็ให้การบ้านเพิ่มความแข็งแรงส่วนหน้าท้อง เช่น Plank, Superman, GHD Workout
เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าหลังอ่อนแอแล้วหน้าท้องมันเกี่ยวอะไรด้วย ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ใส่ใจ ละเลย
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2562
ช่วงนั้นมี Crossfit Open 2020
ทุก WOD เราผ่านไปได้ด้วยดี เพราะช่วงนั้นเราแข็งแรงมาก แล้วมี WOD ที่มี Deadlift 136 ปอนด์หรือราว ๆ 61 กิโลกรัม ซึ่งเรากังวลกับท่าออกกำลังกายนี้มาก.ยกทีไรก็ปวดหลังไปเป็นสัปดาห์ และไม่เคยฝึกฝนพัฒนายกให้ได้หนักมากขึ้น เพราะยกไม่ให้เจ็บหลังยังยากอยู่เลย
วันนั้นเราเสียใจมากที่เราตัดสินใจฝืนยก
ยกไปประมาณ 30 กว่าครั้ง
เห็นคนอื่นทำได้เราก็อยากทำได้บ้าง
การกดดันตัวเองให้ถึงเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี
แต่การที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันไม่ได้
แล้ววันนั้นก็กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเจ็บหลังมากกว่า 1 เดือน
ไม่สามารถลุกขึ้นจากที่นอนได้ นอนพื้นซะด้วย
เวลานั่งพื้น ไม่มีแรงถีบตัวเองขึ้นมาต้องใช้มือค้ำ
เอี้ยวตัวไปด้านขวาไม่ได้ ต้องหมุนรอบตัวเองอย่างเดียว
ก้มพับตัวเก็บของไม่ได้ ปกติเราเป็นคนตัวอ่อน ก้มพับตัวแตะพื้นได้ ฉีกขา 180 องศาแนวข้างและแนวตรงได้
พฤศจิกายน 2562
เราตัดสินใจไปพบหมอเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ
บอกพยาบาลว่าปวดหลังมา 1 เดือน ยกของหนักมา
พี่พยาบาลจัดคิวอาจารย์หมอที่เก่งด้านกระดูกสันหลังที่สุดให้เลย
ก็เล่าให้คุณหมอฟังว่าไปเดทลิฟ 61 กิโลกรัมมา 30 กว่าครั้ง และเจ็บหลังมานานกว่า 1 เดือน
หมอเลยให้ไป X-ray ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน
ผลออกมา แนวกระดูกสันหลังปกติดี
หมอคิดว่าแค่กล้ามเนื้ออักเสบแหละ
ให้ยาไปกินและกลับมาพบกันใหม่อีก 2 สัปดาห์
กลับมาพบตามนัด อาการปวดหลังไม่ได้หายไป
แต่ปวดหลังล่างชัดเจนด้านซ้าย และเจ็บก้นข้างซ้ายด้วยนั่งแทบไม่ได้เลย บอกหมอแบบนี้
หมอพูดกลับมาว่า ไหนบอกปวดหลังไง เจ็บก้นไม่เกี่ยวกันแล้ว และก็ไม่นัดเราอีกเลย
เราจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี ว่าเราปล่อยโฮ ร้องไห้ต่อหน้าอาจารย์หมอที่เก่งๆคนนั้นพร้อมแพทย์ประจำบ้านอีก 3 คน ทั้งเจ็บทั้งอายและเสียใจมาก
(ตอนพิมพ์ก็ร้องไห้55) นึกถึงทีไรก็เสียใจ
ตอนนั้นเราหมดศรัทธากับหมอกระดูกไปเลย
ทั้งๆที่เรารักษาที่นี่มาตั้งแต่เด็กน้อย
ผ่าตัดเยื่อหุ้มเอ็นฝ่ามืออักเสบก็ที่นี่
ปวดหลังคงเป็นเรื่องตลกมากมั๊ง
ไปปรึกษาโค้ช ก็ได้คำแนะนำและสถานที่รักษา
ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ว่าโลกใบนี้มีอาชีพนักกายภาพอยู่ด้วย
เราก็เล่าทั้งหมดแบบฉบับย่อให้นักกายภาพฟังแต่ไม่ร้องไห้แล้วนะ55
นักกายภาพก็ทำการตรวจร่างกาย
เอาสายวัดมาวัดขา พับขาทดสอบทีละข้างทีละมุม
ก็ได้คำตอบว่าที่เราเจ็บหลังเจ็บก้นด้านซ้าย
เป็นที่กล้ามเนื้อสะโพกมัดลึก
ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า Piriformis
ทำการรักษาอีก 45 นาที ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์
เอาอะไรแข็งๆมาเขี่ยจุดกดเจ็บที่ก้น สู้กันพักใหญ่
ใช้แสงเลเซอร์รักษา และปิดท้ายด้วยยิงเครื่องสั่นๆคลายกล้ามเนื้อ
จนความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
นักกายภาพบอกเราว่าเครื่องมือเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดเพียงชั่วคราว เราจะดีขึ้นได้ ถ้าเรามีกล้ามเนื้อสะโพก หน้าท้อง ที่แข็งแรง
ก็สอนออกกำลังกายเสริมสร้าง การยืดกล้ามเนื้อ
รวมไปถึงท่าทางในชีวิตประจำวัน (Posture) ไม่ว่าจะยืนเดินนั่ง ยืนให้อกผายไหล่พึ่ง ยกสะโพก นั่งหลังตรงและให้เต็มก้น เพื่อให้กระดูก 3 แง่งรับน้ำหนักให้สมดุล
ไม่เป็นภาระในการรับน้ำหนักด้านใดด้านหนึ่ง
ก่อนกลับนักกายภาพขอทดสอบการลุกนั่ง
เราสามารถถีบตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้มือยัน และก้มแตะพื้นได้ แต่ยังเอี้ยวตัวด้านขวาได้ไม่ถนัดก็ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องฝืน
จ่ายตังแล้วจะหายทันทีค่ะ
ดีใจมากที่รู้ว่าเป็นอะไรสักที
หลังจากนั้นมีอะไรก็ทักไปปรึกษาช่องทางไลน์ของคลินิก
ออกกำลังกายในท่าท่าเสริมสร้างกล้ามเนื้อสะโพกเป็นหลัก ช่วงนั้นเราเลิกสนใจเรื่องคนอื่น จะได้ไม่ต้องเครียด แล้วไปติดตาม นักกายภาพต่างประเทศ หาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย.ยืดกล้ามเนื้อทุกวัน คีย์เวิร์ดคือ Piriformis Exercises, Piriformis Stretch ติดตามเพจ แฮชแท๊ก Rehab ต่างๆ
และก็ดีขึ้น มาทำกายภาพไม่ต้องถี่มาก
เลยขอให้นักกายภาพออกใบรับรองการรักษาไปให้ที่ รพ. เพื่อที่จะใช้สิทธิ์ประกันสังคมรักษาอย่างต่อเนื่อง
จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย
เราก็ได้กลับไปพบอาจารย์หมอคนเดิม
แล้วเอาใบรับรองนักกายภาพให้ดู
อาจารย์หมอบอก "อ๋อ.. กล้ามเนื้อนี้ต้องยืดแบบนี้"
สอนเราต่อหน้าแพทย์ประจำบ้าน... เราเองก็ยิ้มรับ
ไม่ได้ติดใจอะไรนะ (ไม่ร้องไห้แล้ว55)
เราเลยถามว่าโรงพยาบาลนี้มีการรักษาแบบกายภาพมั้ย หมอตอบว่า "มีสิ แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู เดี๋ยวถือแฟ้มขึ้นไปทำนัดด้านบนเลยนะ"
หลังจากนั้นก็รักษากับแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูทุก 2 สัปดาห์ คุณหมอพูดน้อยแต่น่ารักให้แผ่นพับมาอ่านเป็นความรู้ สอนยืดกล้ามเนื้อ และให้เราเลือกเองว่าจะรักษาแบบไหน ตัวเลือกมากมาย ถ้าฉีดยาไม่เกินปีละ 2-3 ครั้ง, ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า 15 นาที 2 อย่างนี้คุณหมอรักษาเอง หรือไปทำกายภาพบำบัดกับเครื่องมือต่างๆทำโดยนักกายภาพบำบัด
เราลองมาทุกอย่าง ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้าดีสุด
อาการดีขึ้นตามลำดับ การมาพบคุณหมอก็ห่างออกไปเป็นเดือนละครั้ง, 2 เดือน/ครั้ง
จนคุณหมอถามว่าจะให้นัดอีกเมื่อไหร่ดี
เราขอ 3 เดือนครั้งเลย เพราะขึ้เกียจตื่นเช้ามา รพ.
คุณหมอยังนัดอยู่ก็หมายความว่าโรคนี้มันไม่ได้หายง่ายๆสินะ