“ เป็นธรรมชาติ,เป็นตัวของตัวเอง,ทำลายหัวโขนทิ้งไป ”
ผมสังเกตเห็นในการปฏิบัติธรรม หรือการค้นหาความสุขในสังคมเราก็มักจะเป็นที่ “วัด” เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันจะมีกรอบวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติกันมา ทำให้พอเราเข้าไปที่นั่นพบ “พระสงฆ์และวัด” มันจึงทำให้เราต้อง สงบเสงี่ยมหรือถูกชุดความคิดกดทับให้เราต้องไม่เป็นตัวของเราเอง ทั้งๆที่เราต้องพบความสุขหรือความเป็นมนุษย์ของตนเอง
ซึ่งจะดีอย่างยิ่งถ้าจะมีสถานที่แบบใหม่ในการให้มนุษย์ค้นหาความสุข หรือสัจจธรรมเป็นเรื่องของ “มนุษย์แท้จริง” โดยให้เป็นที่ที่ทุกคน “เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น” ไม่มีกฏเกณฑ์หรือหลักการที่คอยแทรกแซงคนให้ทำนู้นถูกนี่ผิดอยู่ตลอดเวลา...ทั้งๆที่เรื่องหลักใหญ่ใจความมีสิ่งเดียว คือ “ให้คนแต่ละคนค้นพบสัจจะของตัวเองในจิตใจที่หลับอยู่”
ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าการที่เราจะค้นพบสัจจะ หรือนิพพาน ไม่จำเป็นต้องเป็นหนทางที่เขร่งเครียดทางเดียว แต่ทำได้อีกหนทางหนึ่งคือ “การเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องพยายามมากนัก” ซึ่งดูจะขัดกับหลักการของยุคสมัยนี้ที่เน้นวัตถุนิยม ชุดความเชื่อหลักให้คนต้องสู้ชีวิต ต้องมีระเบียบ ต้องก้าวหน้าหรือทะเยอทะยาน...ผมท้าได้เลยว่าหลังจากที่คุณต้องต่อสู้ในชีวิตไม่ว่าจะกับครอบครัว กับงานที่ทำ หรือแม้กระทั่งกับความว้าวุ่นของตัวเราเอง คุณต้องการพักผ่อน คุณต้องการที่ไม่ต้องพยายามอะไร คุณต้องการหยุดพักใต้ต้นไม้แล้วหลับตาลงบ้าง ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไป คุณเพียงรู้สึกด้วยหัวใจในสายลมแลแสงแดดอันอบอุ่นเท่านั้น
โดยเฉพาะตัวผมในทุกๆวันที่ตื่น เมื่อได้มองดูข่าวหรือในระบบสังคมที่ดำเนินอยู่ ผมจะหัวเราะเสมอ! ผมตั้งคำถามว่าทำไมหนอมนุษย์ท่านเกิดมายอมเป็นเพียงเครื่องจักร ที่ถูกระบบของสังคมหล่อหลอมแล้วทำให้ท่านต้องพุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา มันช่างเหนื่อยช่างทุกข์ยาก...“เมื่อไหร่ท่านจะกลับมาแสวงหาความเป็นมนุษย์ของท่านที่ธรรมชาติเดิมแท้ให้มาสักที ทำไมท่านดำเนินชีวิตด้วยความทุกข์ระทมขมขื่นแล้วต้องวิ่งแข่งอยู่ตลอดเวลาด้วยเล่า? นี่เป็นสิ่งที่ผมนั้นหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของผมเบื้องหลังคือความเศร้า ที่เพื่อนมนุษย์ไม่อาจจะหลุดจากมายาภาพและกลับมาตามหาความมนุษย์ที่แท้ได้”
สถานที่ค้นหาสัจจะควรเป็นอย่างไร?...สายชล