เมื่อคืนลืมมาแปะ แหะๆ ^^'
ว่าแต่ ไอดินจะรอดมั้ย ไปดูกันค่ะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๙
https://pantip.com/topic/40161258
###
บทที่ ๑๐
“บู้ๆ บี้ๆ บู้บี้ๆ” เสียงอะไรน่ะ
“บู้บี้ๆ บู้บี้ๆ” เสียงเหมือนคนคุยกัน แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลย
“ให้ข้าพาเขากลับมิติหรือไม่” นั่นเสียงมุสนี่
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ วูบแรกทุกอย่างล้วนเป็นสีขาว จากนั้นผมจึงเห็นเงาเลือนรางของใครคนหนึ่ง เงานั้นชัดเจนขึ้นผมจึงรู้ว่าตัวเองฟังไม่ผิด เสียงนั้นคือมุสจริงๆ
“ตื่นจนได้” เขาบอก ผมก็ค่อยๆ กลอกตามองไปรอบๆ ที่นั่นยังมีคนอีกสองคน แต่สองคนนั้นตัวเล็กนิดเดียว ใบหน้าป้าน คนหนึ่งใบหน้าป้าน ผมดำ มีหนวดเคราหรอมแหรม อีกคนหนึ่งผมขาว หนวดเคราสีขาวยาว คิ้วดกหนาสีขาวก็ยาวจนมองไม่เห็นลูกตา พวกเขาเห็นผมตื่นแล้วก็พยายามพูดคุยกับผมกันใหญ่ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำเดียว
“ดูเหมือนเครื่องแปลภาษาจะหายไป” มุสบอกคนกระปุ๊กลุกสองคนนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจ มองมาที่ผมอย่างสงสาร จากนั้นก็หันไปคุยกันเอง แล้วคนหน้าป้านก็วิ่งตื้อออกจากห้องไป
ตอนนั้นเองผมจึงค่อยรู้ตัวว่าตนเองยังอยู่ในต่างมิติ เป็นมิติที่มีสัตว์แต่สัตว์ดุร้ายน่ากลัว และมีมนุษย์ร่างเล็กเพียงหนึ่งในสามของคนในมิติผม
แต่ก่อนหน้านี้ผมถูกคนชุดดำ...นาร์คูล...จับไปไว้ในถ้ำไม่ใช่หรือ แล้วผมก็พยายามหนีออกมา เจอน้ำตก เจอฝูงไดโนเสาร์ที่พยายามจะกินผม แล้วก็ปลาดุร้ายนั่น
แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
ผมมองไปคนกระปุ๊กลุกชรา... ท่านบาบาอยู่ที่นี่ด้วย อย่างนั้นที่นี่ก็คงเป็นเรือนรักษาน่ะสิ
ผมก้มมองดูตัวเอง เห็นแขนขวามีผ้าสีขาวพันไว้ และรู้สึกปวดตุบๆ ส่วนตรงข้อพับแขนซ้ายก็รู้สึกตึงนิดหน่อย บนข้อพับมีผ้าชิ้นเล็กๆ ปิดไว้ แล้วก็มีสายยางโยงจากตรงข้อพับขึ้นไปยังถุงน้ำที่แขวนอยู่ด้านข้าง น้ำใสๆ ค่อยๆ หยดจากถุงน้ำนั้นลงมาในสายยาง แต่ผมไม่ได้อยู่ในชุดกันเชื้อ...
“เกิดอะไรขึ้น” ผมเบือนหน้าไปถามมุส เสียงผมแห้งผาก
หมอนั่นก็ยักไหล่ “เจ้าสลบไป”
“แล้ว...นายไปเจอฉันได้ยังไง”
“พวกซาเห็นเจ้า พวกนั้นขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้ามาตามหาเจ้าพร้อมกับข้า เขาเห็นเจ้าล้มลงในลำธาร พวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยวก็จดจ้องๆ รอเขมือบเจ้าอยู่”
ผมพยักหน้ารับ แต่ยังตามเรื่องไม่ค่อยทัน เข้าใจแต่ว่าพวกเขาช่วยผมได้ทันเวลา
“แล้วชุดกันเชื้อของฉันล่ะ”
“พังแล้ว” เขาบอกเรียบๆ “ท่านบาบาก็เลยฉีดยาให้เจ้าแทน” เขาพยักเพยิดไปทางถุงน้ำที่แขวนอยู่ข้างตัวผม ตอนนั้นผมจึงได้ยินท่านบาบาส่งเสียง เหมือนพยายามจะอธิบายอะไร แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
จริงสิ ผมให้เครื่องแปลภาษากับนาร์คูลไปนี่นา
“เขาบอกว่าเจ้าไม่ต้องใช้ชุดนั้นแล้ว แต่ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่ ก็ต้องฉีดยาสัปดาห์ละครั้ง” เพื่อนผมอธิบาย จากนั้นจึงรับหลอดทรงกระบอกสามสี่หลอดมาจากท่านบาบา ตรงปลายแต่ละหลอดมีเข็มคลายเข็มสำหรับเจาะเลือด แต่เล็กและสั้นกว่า “นี่คือยาที่ต้องฉีด”
ผมนึกถึงตอนที่ถูกท่านบาบาเจาะเลือดแล้วก็สยิวกายขึ้นมาทีหนึ่ง “ไม่มีแบบที่เอาไว้แปะเหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม หมอนั่นก็หันไปถามท่านบาบาให้
“อันนั้นเอาไว้สำหรับอาการแพ้เฉพาะที่” เขาบอกหลังจากได้คำตอบจากท่านบาบา “นายแพ้ทั้งตัวแบบนี้ แผ่นยาเอาไม่อยู่หรอก”
ได้ยินแบบนั้นแล้วผมจึงเงียบไป ครู่ต่อมาจึงชำเลืองมองถุงน้ำที่ห้อยอยู่ข้างตัวอีก “นี่ถุงอะไร”
“น้ำเกลือ” เพื่อนผมช่วยแปลคำตอบของท่านบาบาให้ “นายอ่อนเพลียมากก็เลยต้องให้น้ำเกลือ”
จริงสิ ผมไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ไม่แน่ใจว่าทำไมตอนที่หนีออกจากถ้ำจึงไม่รู้สึกหิวกระหายเลย บางทีผมอาจจะจดจ่ออยู่กับการหนีเอาชีวิตรอดก็เลยไม่รู้สึกหิวก็ได้
หมอนั่นรีรออีกครู่หนึ่ง พอไม่เห็นผมพูดอะไรเขาจึงถอนหายใจเบาๆ “พอน้ำเกลือหมดแล้วข้าจะพาเจ้ากลับมิติ” เขาว่าในขณะที่ก้มหน้าลง ไม่สบสายตาผม “กลับไปนายจะได้ปลอดภัย ส่วนคนชุดดำนั่น ข้าจะตามหาเอง”
“คนชุดดำ” ผมทวนคำอย่างครุ่นคิด
“คนชุดดำที่เจ้าเคยพบในมิติข้าอย่างไรเล่า” หมอนั่นเงยหน้าขึ้นจ้องผม “สมองเจ้าถูกกระทบกระเทือนรึเปล่า จำคนผู้นั้นไม่ได้แล้วรึ”
“ฉันจำได้” ผมตอบออกไป “แต่...นายไม่รู้หรือว่าคนที่ลักพาตัวฉันไปเป็นใคร”
“จะไปรู้เรอะ อยู่ๆ เจ้าก็หายไป”
“ฉันไม่ได้หายไป คนชุดดำนั่นจับฉันไปต่างหาก”
“ฮ้า!” หมอนั่นอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเขาต้องจับนาย เขาไม่ได้ต้องการจะฆ่านายหรือ”
ผมส่ายหน้าช้าๆ “เปล่า เขาต้องการให้ฉันปลดปล่อยเขาจากใครก็ไม่รู้ เขาว่าฉันปลดปล่อยเจ้าอิมได้ ก็ต้องปล่อยเขาได้”
มุสงุนงงจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นซาก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับชูเครื่องแปลภาษาในมือให้พวกเราเห็นกันชัดๆ
ผมรับเครื่องแปลภาษามาจากเขาแล้วเสียบไว้ที่หูขวา ก่อนจะกล่าวขอบคุณซากับท่านบาบาด้วยตัวเอง พวกเขาก็ดีใจกันยกใหญ่เหมือนได้รับถ้วยรางวัลบุคคลมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศแห่งจักรวาล
“ฉันจะอยู่ต่อ” ผมเอ่ยกับมุส “ฉันบอกคนชุดดำไปว่าช่วยปลดปล่อยเขาไม่ได้ก็จริง แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เขาต้องกลับมาลักพาตัวฉันไปอีกแน่ๆ ถึงตอนนั้นนายก็จับเขามาสอบสวนเอาก็แล้วกัน” ผมบอกไปอย่างนั้นแทนที่จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคุยกับนาร์คูลให้เขาฟัง ผมต้องการให้นาร์คูลบอกมุสเอง แล้วให้เพื่อนผมตัดสินใจเอาเองว่าจะเชื่อเขาหรือไม่
“นายแน่ใจหรือ” มุสถาม ผมก็ผงกศีรษะ
---
ท่านบาบาให้ผมอยู่ที่เรือนรักษาแทนที่จะกลับไปอยู่บ้านของซา เขาว่าเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือได้ทัน มุสกับซาจึงกลับไปเอาเป้มาให้ผม
แต่วันนั้นผมไม่ได้กินน้ำและอาหารเม็ดที่อยู่ในเป้ ท่านบาบาให้ผมลองอาหารและน้ำที่เรือนรักษาผลิตเอง
ตอนแรกท่านบาบาให้ลองดื่มน้ำเกลือแร่ก่อน ผมดื่มไปอึกหนึ่งก็รู้สึกว่ารสชาติดี รอไปสักพักก็ไม่เห็นมีอาการผิดปกติอะไรจึงดื่มอีกสองสามอึก หลังจากนั้นก็ลองชิม...ผัก...หรือหญ้า...หรือเฟิร์นก็ไม่รู้ แต่เขาว่าล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แถมยังเอาไปทำสุกจนเปื่อย ผมลองชิมดูแล้วก็รู้สึกแหยะหยึ๋ยยังไงพิกล
อย่างไรก็ดี ผมกินอาหารได้ ไม่มีอาการแพ้ ท่านบาบาบอกว่ายาแก้แพ้ที่ฉีดให้ก่อนหน้านั้นน่าจะมีส่วนช่วยด้วยเหมือนกัน ส่วนซาพอเห็นว่าผมกินอาหารในมิติของเขาได้ ก็ชักชวนคนกระปุ๊กลุกคนอื่นๆ ให้เอาอาหารหลากหลายชนิดมาถมใส่ผมตั้งมากมาย
หนึ่งในคนที่มาเยี่ยมผมนั้นมีท่านทีทาด้วย ซาเคยบอกว่าเธอเป็นผู้รอบรู้ด้านสิ่งประดิษฐ์ ท่านทีทาไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุยเหมือนคนกระปุ๊กลุกอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถามถึงสิ่งต่างๆ ในมิติของผม และดูจะสนใจสายรัดข้อมือของผมเป็นพิเศษ
“มันให้เป็นอุปกรณ์สื่อสาร บันทึกภาพก็ได้” ผมบอกท่านทีทา ซึ่งรับเอาสายรัดข้อมือสีชมพูหวานแหววจากมือผมไปพิจารณา
“เราไม่เห็นปุ่มควบคุมอะไรสักนิด” เธอถาม สายตายังไม่ละไปจากสายรัดข้อมือ
“มันควบคุมด้วยเสียงน่ะ ลองถือมันไว้เฉยๆ สิ” ผมบอก เธอก็ทำตาม วางมันไว้ในมือ แล้วยื่นออกมาข้างหน้าเล็กน้อย “ฉายภาพเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา” ผมออกคำสั่ง สายรัดข้อมือก็ฉายภาพโฮโลแกรมในตอนที่ผมกำลังไต่ลงมาจากน้ำตก
คนกระปุ๊กลุกคนอื่นๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในห้องพักของผมพากันส่งเสียงแสดงความตื่นเต้นออกมา ท่านทีทาก็ดูด้วยความสนใจ
“อืม...มิติเราไม่เคยมีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวลักษณะนี้เลยนะเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงหันมาทางผม “แต่ที่นี่ก็มีการบันทึกภาพเหมือนกัน” แล้วเธอก็หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาจากตู้เก็บของภายในห้อง (ผมไม่เคยเปิดตู้พวกนั้นดูเลยสักที ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง) มันเป็นหนังสือจริงๆ แบบที่ผมหยิบอ่านได้ตอนที่สวมชุดจับความเคลื่อนไหวเข้าไปในเว็บไซต์ห้องสมุดนั่นละ เธอเอามันมาวางไว้ตรงหน้าผม แล้วชี้ปกให้ผมดู “ภาพแบบนี้อย่างไรเล่า”
มันเป็นภาพสองมิติ เป็นรูปโครงกระดูกอะไรสักอย่าง ส่วนตัวหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนรูปนั้น ผมอ่านไม่ออกสักตัวเดียว
”นี่ภาพอะไรเหรอ”
ท่านทีทาขยับหนังสือพลางเอียงคอมองดูภาพ หรือไม่ก็อ่านตัวหนังสือเหล่านั้น “มันคือโครงกระดูกไดโนเสาร์โบราณที่ขุดพบเมื่อปีที่แล้ว”
ผมกะพริบตาปริบ “ทำไมถึงเป็นไดโนเสาร์โบราณล่ะ ที่นี่มีไดโนเสาร์อยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ”
“ใช่ แต่ตัวนี้อายุกว่าหกสิบล้านปีมาแล้ว” ท่านทีทาว่าพร้อมกับผงกศีรษะ จากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นพลิก จากนั้นจึงอ่านบทความในนั้น ”คนเขียนบอกว่ามันเป็นสายพันธุ์เดียวกับจ้าวโหดหินทมิฬชาติ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า ไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างน้อยหลายสิบล้านปีแล้ว”
ผมเบิกตาโต “ถ้าอย่างนั้น...แล้วมนุษย์ล่ะ สายพันธุ์พวกคุณปรากฏขึ้นบนโลกตั้งแต่เมื่อไหร่”
ท่านทีทาทำท่านึก “ถ้าจำไม่ผิด เราเคยอ่านมาว่ามนุษย์เพิ่งแบบเรานี้มีมาร่วมล้านปีแล้ว แต่เพิ่งมีวัฒนธรรมเมื่อไม่กี่หมื่นปีนี้เอง”
ผมเอียงคออย่างสงสัย จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าระยะเวลาที่มนุษย์ปรากฏขึ้นในมิติของผมก็ใกล้เคียงกับในมิตินี้เหมือนกัน ...แปลว่าวิวัฒนาการในมิตินี้ต่างจากมิติของผมอย่างนั้นหรือ ไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ มนุษย์ในมิตินี้ก็กลายเป็นตัวเล็กๆ กันหมด
“จริงสิ ถ้าอย่างนั้นนอกจากหมู่บ้านนี้แล้ว ในมิตินี้ยังมีมนุษย์อยู่ที่อื่นอีกรึเปล่า”
“เยอะแยะ” ท่านทีทาบอก “เราติดต่อกับคนนอกหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ หมู่บ้านที่อยู่ถัดจากป่าทึบออกไปเป็นหมู่บ้านใหญ่กว่านี้มาก เรายังเคยขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าไปเยี่ยมคนที่นั่นเลย”
“แล้ว...ฉันไปได้รึเปล่า”
“ได้” ท่านทีทาบอกพร้อมกับผงกศีรษะ “ถ้าอยากไป เราจะบอกให้ซาพาเพื่อนใหม่ไป ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าบรรทุกคนได้สองคน”
“เดี๋ยวนะ ต้องขี่นกยักษ์นั่นเหรอ ขี่อย่างอื่นไปได้รึเปล่า”
คราวนี้ท่านทีทาส่ายหน้า “เราต้องข้ามป่าทึบ อาจเจอจ้าวโหดหินทมิฬชาติหรือไม่ก็พวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยวจับกินก็ได้ ขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าปลอดภัยที่สุดแล้ว”
เอ่อ...ผมจะบอกพวกเขายังไงดี ผมไม่กล้าขี่สัตว์บินได้ ขนาดโคชานผมยังไม่กล้าขี่มันเลย มันชอบเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนไปมา ไม่เหมือนยานร่อนซึ่งมั่นคงกว่าเยอะ
ขณะที่กำลังหาทางอธิบายกับเธออยู่นั้น มุสก็โผล่พรวดเข้ามา แล้วเดินหน้าเครียดตรงมาทางผม
“ซาบอกว่าเห็นคนชุดดำผลุบๆ โผล่ๆ ที่นอกหมู่บ้าน แต่ยังหาทางจับมันไม่ได้” หมอนั่นโพล่งออกมาโดยไม่สนใจสายตานับสิบคู่ที่กะพริบมองปริบอยู่รอบด้าน “ข้าเลยคิดว่าคืนนี้จะไปเฝ้าสังเกตการณ์ดูสักหน่อย”
“จะให้ช่วยอะไรรึเปล่า”
“เฮอะ อ่อนแออย่างเจ้านอนอยู่ในห้องอย่างนี้น่ะดีแล้ว” เขาว่าพลางกอดอก
“คนชุดดำ...คนที่ซาเล่าว่าจับเพื่อนใหม่ไปน่ะหรือ” ท่านทีทาหันไปถามมุส หมอนั่นก็ผงกศีรษะตอบ ท่านทีทานิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีก “เขาอาจจะมาดูลาดเลาและหาโอกาสจับเพื่อนใหม่ไปอีกก็ได้”
“นั่นละที่ข้าคิดอยู่ ถึงได้บอกให้ไอ้อ่อนนี่นอนอยู่แต่ในห้องอย่างไรเล่า”
“แต่เราไม่เห็นด้วย” ท่านทีทาเอ่ยเรียบๆ แต่ทำเอาผมตวัดหันไปมองเธออย่างตื่นตระหนก ...อย่าไปเถียงมุสอย่างนั้นสิเฮ้ย!
มุสเลิกคิ้วนิดหนึ่ง “ไม่เห็นด้วยอย่างไร” หมอนั่นถาม ไม่ได้มีท่าทางหงุดหงิดอะไร (แต่ทำไมเวลาผมเถียงมันถึงสะบัดขนใส่ผมล่ะ)
“ถ้าเขาไม่เห็นเพื่อนใหม่ เขาก็จะรีรออยู่นอกหมู่บ้าน ไม่ยอมเข้ามาให้เราจับ”
“ข้าก็ออกไปจับมันสิ” มุสเริ่มชักสีหน้า
“ออกไปไล่จับจนป่าระเนระนาดเหมือนคราวที่แล้วน่ะหรือ” ท่านทีทาเอ่ย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ ดังนั้นมุสจึงไม่ตอบ แต่หันเชิดหน้าไปทางหนึ่ง
“ป่าที่ไหนระเนระนาดหรือ” ผมอ้อมแอ้มถามออกไปท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด
“ป่าด้านหลังโน่น” ท่านทีทาบอก “ท่านมุสเคยพบกับคนชุดดำแล้ว คราวก่อนไล่จับกันจนต้นไม้ล้ม ป่าไหม้เป็นหย่อมๆ แต่สุดท้ายก็หลุดไปต่างมิติด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่ท่านมุสจะกลับมาพร้อมกับเพื่อนใหม่นั่นละ”
อ๋อ คงเป็นตอนที่มุสกับคนชุดดำข้ามไปไล่จับกันต่อในมิติของผมนั่นเอง
“เอาเป็นว่าคราวนี้เราควรวางแผนให้รัดกุม” ท่านทีทาเอ่ย พลางครุ่นคิดจนคิ้วขมวดมุ่น แล้วจึงถามขึ้นอีก “ซาบอกว่าเพื่อนใหม่เห็นเขาใช้พลังจากกำไลข้อมือหรือ”
“ใช่ สวมไว้ที่ข้อมือขวา”
แววตาของท่านทีทามีประกายที่ทำให้ผมขนลุกอย่างไรพิกล “เรามีวิธีแล้ว” เธอบอกพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
###
ติดตามต่อในอีกสองสัปดาห์นะคะ
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๑๐
ว่าแต่ ไอดินจะรอดมั้ย ไปดูกันค่ะ
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๙ https://pantip.com/topic/40161258
###
บทที่ ๑๐
“บู้ๆ บี้ๆ บู้บี้ๆ” เสียงอะไรน่ะ
“บู้บี้ๆ บู้บี้ๆ” เสียงเหมือนคนคุยกัน แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลย
“ให้ข้าพาเขากลับมิติหรือไม่” นั่นเสียงมุสนี่
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ วูบแรกทุกอย่างล้วนเป็นสีขาว จากนั้นผมจึงเห็นเงาเลือนรางของใครคนหนึ่ง เงานั้นชัดเจนขึ้นผมจึงรู้ว่าตัวเองฟังไม่ผิด เสียงนั้นคือมุสจริงๆ
“ตื่นจนได้” เขาบอก ผมก็ค่อยๆ กลอกตามองไปรอบๆ ที่นั่นยังมีคนอีกสองคน แต่สองคนนั้นตัวเล็กนิดเดียว ใบหน้าป้าน คนหนึ่งใบหน้าป้าน ผมดำ มีหนวดเคราหรอมแหรม อีกคนหนึ่งผมขาว หนวดเคราสีขาวยาว คิ้วดกหนาสีขาวก็ยาวจนมองไม่เห็นลูกตา พวกเขาเห็นผมตื่นแล้วก็พยายามพูดคุยกับผมกันใหญ่ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำเดียว
“ดูเหมือนเครื่องแปลภาษาจะหายไป” มุสบอกคนกระปุ๊กลุกสองคนนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจ มองมาที่ผมอย่างสงสาร จากนั้นก็หันไปคุยกันเอง แล้วคนหน้าป้านก็วิ่งตื้อออกจากห้องไป
ตอนนั้นเองผมจึงค่อยรู้ตัวว่าตนเองยังอยู่ในต่างมิติ เป็นมิติที่มีสัตว์แต่สัตว์ดุร้ายน่ากลัว และมีมนุษย์ร่างเล็กเพียงหนึ่งในสามของคนในมิติผม
แต่ก่อนหน้านี้ผมถูกคนชุดดำ...นาร์คูล...จับไปไว้ในถ้ำไม่ใช่หรือ แล้วผมก็พยายามหนีออกมา เจอน้ำตก เจอฝูงไดโนเสาร์ที่พยายามจะกินผม แล้วก็ปลาดุร้ายนั่น
แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
ผมมองไปคนกระปุ๊กลุกชรา... ท่านบาบาอยู่ที่นี่ด้วย อย่างนั้นที่นี่ก็คงเป็นเรือนรักษาน่ะสิ
ผมก้มมองดูตัวเอง เห็นแขนขวามีผ้าสีขาวพันไว้ และรู้สึกปวดตุบๆ ส่วนตรงข้อพับแขนซ้ายก็รู้สึกตึงนิดหน่อย บนข้อพับมีผ้าชิ้นเล็กๆ ปิดไว้ แล้วก็มีสายยางโยงจากตรงข้อพับขึ้นไปยังถุงน้ำที่แขวนอยู่ด้านข้าง น้ำใสๆ ค่อยๆ หยดจากถุงน้ำนั้นลงมาในสายยาง แต่ผมไม่ได้อยู่ในชุดกันเชื้อ...
“เกิดอะไรขึ้น” ผมเบือนหน้าไปถามมุส เสียงผมแห้งผาก
หมอนั่นก็ยักไหล่ “เจ้าสลบไป”
“แล้ว...นายไปเจอฉันได้ยังไง”
“พวกซาเห็นเจ้า พวกนั้นขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้ามาตามหาเจ้าพร้อมกับข้า เขาเห็นเจ้าล้มลงในลำธาร พวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยวก็จดจ้องๆ รอเขมือบเจ้าอยู่”
ผมพยักหน้ารับ แต่ยังตามเรื่องไม่ค่อยทัน เข้าใจแต่ว่าพวกเขาช่วยผมได้ทันเวลา
“แล้วชุดกันเชื้อของฉันล่ะ”
“พังแล้ว” เขาบอกเรียบๆ “ท่านบาบาก็เลยฉีดยาให้เจ้าแทน” เขาพยักเพยิดไปทางถุงน้ำที่แขวนอยู่ข้างตัวผม ตอนนั้นผมจึงได้ยินท่านบาบาส่งเสียง เหมือนพยายามจะอธิบายอะไร แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
จริงสิ ผมให้เครื่องแปลภาษากับนาร์คูลไปนี่นา
“เขาบอกว่าเจ้าไม่ต้องใช้ชุดนั้นแล้ว แต่ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่ ก็ต้องฉีดยาสัปดาห์ละครั้ง” เพื่อนผมอธิบาย จากนั้นจึงรับหลอดทรงกระบอกสามสี่หลอดมาจากท่านบาบา ตรงปลายแต่ละหลอดมีเข็มคลายเข็มสำหรับเจาะเลือด แต่เล็กและสั้นกว่า “นี่คือยาที่ต้องฉีด”
ผมนึกถึงตอนที่ถูกท่านบาบาเจาะเลือดแล้วก็สยิวกายขึ้นมาทีหนึ่ง “ไม่มีแบบที่เอาไว้แปะเหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม หมอนั่นก็หันไปถามท่านบาบาให้
“อันนั้นเอาไว้สำหรับอาการแพ้เฉพาะที่” เขาบอกหลังจากได้คำตอบจากท่านบาบา “นายแพ้ทั้งตัวแบบนี้ แผ่นยาเอาไม่อยู่หรอก”
ได้ยินแบบนั้นแล้วผมจึงเงียบไป ครู่ต่อมาจึงชำเลืองมองถุงน้ำที่ห้อยอยู่ข้างตัวอีก “นี่ถุงอะไร”
“น้ำเกลือ” เพื่อนผมช่วยแปลคำตอบของท่านบาบาให้ “นายอ่อนเพลียมากก็เลยต้องให้น้ำเกลือ”
จริงสิ ผมไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ไม่แน่ใจว่าทำไมตอนที่หนีออกจากถ้ำจึงไม่รู้สึกหิวกระหายเลย บางทีผมอาจจะจดจ่ออยู่กับการหนีเอาชีวิตรอดก็เลยไม่รู้สึกหิวก็ได้
หมอนั่นรีรออีกครู่หนึ่ง พอไม่เห็นผมพูดอะไรเขาจึงถอนหายใจเบาๆ “พอน้ำเกลือหมดแล้วข้าจะพาเจ้ากลับมิติ” เขาว่าในขณะที่ก้มหน้าลง ไม่สบสายตาผม “กลับไปนายจะได้ปลอดภัย ส่วนคนชุดดำนั่น ข้าจะตามหาเอง”
“คนชุดดำ” ผมทวนคำอย่างครุ่นคิด
“คนชุดดำที่เจ้าเคยพบในมิติข้าอย่างไรเล่า” หมอนั่นเงยหน้าขึ้นจ้องผม “สมองเจ้าถูกกระทบกระเทือนรึเปล่า จำคนผู้นั้นไม่ได้แล้วรึ”
“ฉันจำได้” ผมตอบออกไป “แต่...นายไม่รู้หรือว่าคนที่ลักพาตัวฉันไปเป็นใคร”
“จะไปรู้เรอะ อยู่ๆ เจ้าก็หายไป”
“ฉันไม่ได้หายไป คนชุดดำนั่นจับฉันไปต่างหาก”
“ฮ้า!” หมอนั่นอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเขาต้องจับนาย เขาไม่ได้ต้องการจะฆ่านายหรือ”
ผมส่ายหน้าช้าๆ “เปล่า เขาต้องการให้ฉันปลดปล่อยเขาจากใครก็ไม่รู้ เขาว่าฉันปลดปล่อยเจ้าอิมได้ ก็ต้องปล่อยเขาได้”
มุสงุนงงจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นซาก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับชูเครื่องแปลภาษาในมือให้พวกเราเห็นกันชัดๆ
ผมรับเครื่องแปลภาษามาจากเขาแล้วเสียบไว้ที่หูขวา ก่อนจะกล่าวขอบคุณซากับท่านบาบาด้วยตัวเอง พวกเขาก็ดีใจกันยกใหญ่เหมือนได้รับถ้วยรางวัลบุคคลมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศแห่งจักรวาล
“ฉันจะอยู่ต่อ” ผมเอ่ยกับมุส “ฉันบอกคนชุดดำไปว่าช่วยปลดปล่อยเขาไม่ได้ก็จริง แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เขาต้องกลับมาลักพาตัวฉันไปอีกแน่ๆ ถึงตอนนั้นนายก็จับเขามาสอบสวนเอาก็แล้วกัน” ผมบอกไปอย่างนั้นแทนที่จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคุยกับนาร์คูลให้เขาฟัง ผมต้องการให้นาร์คูลบอกมุสเอง แล้วให้เพื่อนผมตัดสินใจเอาเองว่าจะเชื่อเขาหรือไม่
“นายแน่ใจหรือ” มุสถาม ผมก็ผงกศีรษะ
---
ท่านบาบาให้ผมอยู่ที่เรือนรักษาแทนที่จะกลับไปอยู่บ้านของซา เขาว่าเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือได้ทัน มุสกับซาจึงกลับไปเอาเป้มาให้ผม
แต่วันนั้นผมไม่ได้กินน้ำและอาหารเม็ดที่อยู่ในเป้ ท่านบาบาให้ผมลองอาหารและน้ำที่เรือนรักษาผลิตเอง
ตอนแรกท่านบาบาให้ลองดื่มน้ำเกลือแร่ก่อน ผมดื่มไปอึกหนึ่งก็รู้สึกว่ารสชาติดี รอไปสักพักก็ไม่เห็นมีอาการผิดปกติอะไรจึงดื่มอีกสองสามอึก หลังจากนั้นก็ลองชิม...ผัก...หรือหญ้า...หรือเฟิร์นก็ไม่รู้ แต่เขาว่าล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แถมยังเอาไปทำสุกจนเปื่อย ผมลองชิมดูแล้วก็รู้สึกแหยะหยึ๋ยยังไงพิกล
อย่างไรก็ดี ผมกินอาหารได้ ไม่มีอาการแพ้ ท่านบาบาบอกว่ายาแก้แพ้ที่ฉีดให้ก่อนหน้านั้นน่าจะมีส่วนช่วยด้วยเหมือนกัน ส่วนซาพอเห็นว่าผมกินอาหารในมิติของเขาได้ ก็ชักชวนคนกระปุ๊กลุกคนอื่นๆ ให้เอาอาหารหลากหลายชนิดมาถมใส่ผมตั้งมากมาย
หนึ่งในคนที่มาเยี่ยมผมนั้นมีท่านทีทาด้วย ซาเคยบอกว่าเธอเป็นผู้รอบรู้ด้านสิ่งประดิษฐ์ ท่านทีทาไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุยเหมือนคนกระปุ๊กลุกอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถามถึงสิ่งต่างๆ ในมิติของผม และดูจะสนใจสายรัดข้อมือของผมเป็นพิเศษ
“มันให้เป็นอุปกรณ์สื่อสาร บันทึกภาพก็ได้” ผมบอกท่านทีทา ซึ่งรับเอาสายรัดข้อมือสีชมพูหวานแหววจากมือผมไปพิจารณา
“เราไม่เห็นปุ่มควบคุมอะไรสักนิด” เธอถาม สายตายังไม่ละไปจากสายรัดข้อมือ
“มันควบคุมด้วยเสียงน่ะ ลองถือมันไว้เฉยๆ สิ” ผมบอก เธอก็ทำตาม วางมันไว้ในมือ แล้วยื่นออกมาข้างหน้าเล็กน้อย “ฉายภาพเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา” ผมออกคำสั่ง สายรัดข้อมือก็ฉายภาพโฮโลแกรมในตอนที่ผมกำลังไต่ลงมาจากน้ำตก
คนกระปุ๊กลุกคนอื่นๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในห้องพักของผมพากันส่งเสียงแสดงความตื่นเต้นออกมา ท่านทีทาก็ดูด้วยความสนใจ
“อืม...มิติเราไม่เคยมีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวลักษณะนี้เลยนะเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงหันมาทางผม “แต่ที่นี่ก็มีการบันทึกภาพเหมือนกัน” แล้วเธอก็หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาจากตู้เก็บของภายในห้อง (ผมไม่เคยเปิดตู้พวกนั้นดูเลยสักที ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง) มันเป็นหนังสือจริงๆ แบบที่ผมหยิบอ่านได้ตอนที่สวมชุดจับความเคลื่อนไหวเข้าไปในเว็บไซต์ห้องสมุดนั่นละ เธอเอามันมาวางไว้ตรงหน้าผม แล้วชี้ปกให้ผมดู “ภาพแบบนี้อย่างไรเล่า”
มันเป็นภาพสองมิติ เป็นรูปโครงกระดูกอะไรสักอย่าง ส่วนตัวหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนรูปนั้น ผมอ่านไม่ออกสักตัวเดียว
”นี่ภาพอะไรเหรอ”
ท่านทีทาขยับหนังสือพลางเอียงคอมองดูภาพ หรือไม่ก็อ่านตัวหนังสือเหล่านั้น “มันคือโครงกระดูกไดโนเสาร์โบราณที่ขุดพบเมื่อปีที่แล้ว”
ผมกะพริบตาปริบ “ทำไมถึงเป็นไดโนเสาร์โบราณล่ะ ที่นี่มีไดโนเสาร์อยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ”
“ใช่ แต่ตัวนี้อายุกว่าหกสิบล้านปีมาแล้ว” ท่านทีทาว่าพร้อมกับผงกศีรษะ จากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นพลิก จากนั้นจึงอ่านบทความในนั้น ”คนเขียนบอกว่ามันเป็นสายพันธุ์เดียวกับจ้าวโหดหินทมิฬชาติ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า ไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างน้อยหลายสิบล้านปีแล้ว”
ผมเบิกตาโต “ถ้าอย่างนั้น...แล้วมนุษย์ล่ะ สายพันธุ์พวกคุณปรากฏขึ้นบนโลกตั้งแต่เมื่อไหร่”
ท่านทีทาทำท่านึก “ถ้าจำไม่ผิด เราเคยอ่านมาว่ามนุษย์เพิ่งแบบเรานี้มีมาร่วมล้านปีแล้ว แต่เพิ่งมีวัฒนธรรมเมื่อไม่กี่หมื่นปีนี้เอง”
ผมเอียงคออย่างสงสัย จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าระยะเวลาที่มนุษย์ปรากฏขึ้นในมิติของผมก็ใกล้เคียงกับในมิตินี้เหมือนกัน ...แปลว่าวิวัฒนาการในมิตินี้ต่างจากมิติของผมอย่างนั้นหรือ ไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ มนุษย์ในมิตินี้ก็กลายเป็นตัวเล็กๆ กันหมด
“จริงสิ ถ้าอย่างนั้นนอกจากหมู่บ้านนี้แล้ว ในมิตินี้ยังมีมนุษย์อยู่ที่อื่นอีกรึเปล่า”
“เยอะแยะ” ท่านทีทาบอก “เราติดต่อกับคนนอกหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ หมู่บ้านที่อยู่ถัดจากป่าทึบออกไปเป็นหมู่บ้านใหญ่กว่านี้มาก เรายังเคยขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าไปเยี่ยมคนที่นั่นเลย”
“แล้ว...ฉันไปได้รึเปล่า”
“ได้” ท่านทีทาบอกพร้อมกับผงกศีรษะ “ถ้าอยากไป เราจะบอกให้ซาพาเพื่อนใหม่ไป ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าบรรทุกคนได้สองคน”
“เดี๋ยวนะ ต้องขี่นกยักษ์นั่นเหรอ ขี่อย่างอื่นไปได้รึเปล่า”
คราวนี้ท่านทีทาส่ายหน้า “เราต้องข้ามป่าทึบ อาจเจอจ้าวโหดหินทมิฬชาติหรือไม่ก็พวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยวจับกินก็ได้ ขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าปลอดภัยที่สุดแล้ว”
เอ่อ...ผมจะบอกพวกเขายังไงดี ผมไม่กล้าขี่สัตว์บินได้ ขนาดโคชานผมยังไม่กล้าขี่มันเลย มันชอบเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนไปมา ไม่เหมือนยานร่อนซึ่งมั่นคงกว่าเยอะ
ขณะที่กำลังหาทางอธิบายกับเธออยู่นั้น มุสก็โผล่พรวดเข้ามา แล้วเดินหน้าเครียดตรงมาทางผม
“ซาบอกว่าเห็นคนชุดดำผลุบๆ โผล่ๆ ที่นอกหมู่บ้าน แต่ยังหาทางจับมันไม่ได้” หมอนั่นโพล่งออกมาโดยไม่สนใจสายตานับสิบคู่ที่กะพริบมองปริบอยู่รอบด้าน “ข้าเลยคิดว่าคืนนี้จะไปเฝ้าสังเกตการณ์ดูสักหน่อย”
“จะให้ช่วยอะไรรึเปล่า”
“เฮอะ อ่อนแออย่างเจ้านอนอยู่ในห้องอย่างนี้น่ะดีแล้ว” เขาว่าพลางกอดอก
“คนชุดดำ...คนที่ซาเล่าว่าจับเพื่อนใหม่ไปน่ะหรือ” ท่านทีทาหันไปถามมุส หมอนั่นก็ผงกศีรษะตอบ ท่านทีทานิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีก “เขาอาจจะมาดูลาดเลาและหาโอกาสจับเพื่อนใหม่ไปอีกก็ได้”
“นั่นละที่ข้าคิดอยู่ ถึงได้บอกให้ไอ้อ่อนนี่นอนอยู่แต่ในห้องอย่างไรเล่า”
“แต่เราไม่เห็นด้วย” ท่านทีทาเอ่ยเรียบๆ แต่ทำเอาผมตวัดหันไปมองเธออย่างตื่นตระหนก ...อย่าไปเถียงมุสอย่างนั้นสิเฮ้ย!
มุสเลิกคิ้วนิดหนึ่ง “ไม่เห็นด้วยอย่างไร” หมอนั่นถาม ไม่ได้มีท่าทางหงุดหงิดอะไร (แต่ทำไมเวลาผมเถียงมันถึงสะบัดขนใส่ผมล่ะ)
“ถ้าเขาไม่เห็นเพื่อนใหม่ เขาก็จะรีรออยู่นอกหมู่บ้าน ไม่ยอมเข้ามาให้เราจับ”
“ข้าก็ออกไปจับมันสิ” มุสเริ่มชักสีหน้า
“ออกไปไล่จับจนป่าระเนระนาดเหมือนคราวที่แล้วน่ะหรือ” ท่านทีทาเอ่ย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ ดังนั้นมุสจึงไม่ตอบ แต่หันเชิดหน้าไปทางหนึ่ง
“ป่าที่ไหนระเนระนาดหรือ” ผมอ้อมแอ้มถามออกไปท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด
“ป่าด้านหลังโน่น” ท่านทีทาบอก “ท่านมุสเคยพบกับคนชุดดำแล้ว คราวก่อนไล่จับกันจนต้นไม้ล้ม ป่าไหม้เป็นหย่อมๆ แต่สุดท้ายก็หลุดไปต่างมิติด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่ท่านมุสจะกลับมาพร้อมกับเพื่อนใหม่นั่นละ”
อ๋อ คงเป็นตอนที่มุสกับคนชุดดำข้ามไปไล่จับกันต่อในมิติของผมนั่นเอง
“เอาเป็นว่าคราวนี้เราควรวางแผนให้รัดกุม” ท่านทีทาเอ่ย พลางครุ่นคิดจนคิ้วขมวดมุ่น แล้วจึงถามขึ้นอีก “ซาบอกว่าเพื่อนใหม่เห็นเขาใช้พลังจากกำไลข้อมือหรือ”
“ใช่ สวมไว้ที่ข้อมือขวา”
แววตาของท่านทีทามีประกายที่ทำให้ผมขนลุกอย่างไรพิกล “เรามีวิธีแล้ว” เธอบอกพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
###
ติดตามต่อในอีกสองสัปดาห์นะคะ