JJNY : ศิริกัญญาชี้คลังเสี่ยงถังแตก/กก.-กบฏปชป.ยื่นแก้ม.272/คปท.จี้เลือกตั้งท้องถิ่นปีนี้/“สภาพัฒน์”รื้อทางคู่-สนามบิน

ศิริกัญญา ชี้คลัง เสี่ยงถังแตก ระเบิดเวลารอปะทุ จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า  
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_4865460

 
ศิริกัญญา ชี้คลัง เสี่ยงถังแตก ระเบิดเวลารอปะทุ จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า
 
วันที่ 8 ก.ย. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุถึงปัญหาเศรษฐกิจ ความว่า 
 
คลังเสี่ยงถังแตกอีกรอบในปีงบ 64 วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิดกำลังส่งผลต่อสถานการณ์คลังของประเทศ จากเอกสารมติคณะรัฐมนตรี เปิดเผยเอกสารจากกระทรวงการคลังว่า ปีนี้จะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเกือบ 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ เหลืออยู่เพียงไม่ถึง 1.4 แสนล้านบาท
 
ถ้าไม่ขยายวงเงินกู้ใดๆ จะกระทบต่อการเบิกจ่ายของหน่วยงานในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ที่จะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ จึงจำเป็นต้องขยายวงเงินกู้ออกไปจนเต็มเพดานที่จะกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณได้ เป็นวงเงิน 214,093 ล้านบาท
 
น่าตั้งข้อสังเกตว่า ถึงจะกู้เต็มพิกัด ใช้เงินคงคลังจนหมดเกลี้ยงก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่หายไป ก็คงต้องไปลุ้นให้หน่วยราชการเบิกจ่ายไม่ทัน และรอกู้เงินจากวงเงินของปีงบประมาณถัดไป หรือไม่ก็ใช้วงเงินบริหารสภาพคล่องเงินคงคลังที่ให้ไว้ 3% ของงบประมาณรายจ่ายตามกฎหมาย ราว 90,000 ล้านบาท มาแก้ขัด
 
ถึงมีวงเงินก็ใช่ว่าจะกู้ได้ตามใจ หลังจากที่มีการออกพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท กระทรวงการคลังต้องหันมากู้จากสถาบันการเงินบ้าง กู้จากประชาชนผ่านพันธบัตรออมทรัพย์บ้าง กู้เป็นเงินตราต่างประเทศผ่านธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือเอดีบีบ้าง
 
ทั้งๆ ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนตลาดก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ไปแย่งชิงสภาพคล่องจากตลาดการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ทั้งรัฐและเอกชนสูงขึ้น
 
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับทางรัฐบาลก็ต้องบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยที่พอเข้าใจได้ว่าประเทศกำลังตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ถดถอยจากผลการแพร่ระบาดย่อมทำให้รัฐเก็บภาษี และรายได้รัฐวิสาหกิจได้น้อยลง
 
แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะรับได้ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีงบ 64! 
 
ประมาณการรายได้ที่ปรากฏในเอกสารงบประมาณนั้นทำขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 เป็นช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยู่บนพื้นฐานของสมมุติฐานว่าเศรษฐกิจปี 63 จะติดลบเพียง -5.5% และเศรษฐกิจปี 64 จะโต 5% เรียกได้ว่าสภาพัฒน์คาดว่าเศรษฐกิจจะทำรีบาวนด์กลับมาได้ภายใน 1 ปี จึงตั้งเป้าไว้ว่าจะจัดเก็บรายได้ได้ 2.67 ล้านล้านบาท และตั้งงบประมาณขาดดุล โดยกู้เพื่อชดเชย 623,000 ล้านบาท และไม่มีปรับเป้ารายได้ลงอีกเลยตั้งแต่เดือนมีนาคม
  
แต่จากตัวเลขการคาดการณ์ล่าสุดของสภาพัฒน์ เศรษฐกิจปี 63 จะติดลบถึง -7.5% ส่วนปี 64 ยังคาดการณ์ไว้ที่เติบโต 5% เท่าเดิม นั่นคือขนาดเศรษฐกิจจะยังกลับมาเท่ากับปี 62 ในอีก 2 ปีข้างหน้า จึงมีแนวโน้มสูงว่าการจัดเก็บรายได้ปี 64 จะต่ำกว่าเป้า และประมาณการเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลก็จะสูงกว่า 623,000 ล้านบาท
  
ในขณะที่เพดานการก่อหนี้เพื่อชดเชยขาดดุล อยู่ที่ 739,000 ล้านบาท เท่ากับว่าหากจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายเพียง 4% ก็จะกู้ทะลุเพดานทันที เราก็จะวนกลับไปเจอปัญหาเหมือนปี 63 อีกครั้งที่เก็บภาษีหลุดเป้า กู้ชนเพดานก็ไม่รู้ว่าจะเพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่
  
ปี 63 เกิดโควิดกลางปีงบประมาณยังพอให้อภัยได้ แต่ปี 64 รัฐบาลมีโอกาสที่จะแก้ไขปรับเป้าหมายรายได้หลายครั้งแต่ก็ไม่ทำ ปล่อยให้เป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุในปีงบประมาณหน้า
  
ในเมื่อรัฐบาลไม่ยอมปรับเป้ารายได้ ก็มีอีกทางคือการปรับลดรายจ่าย คณะกรรมาธิการงบปี 64 จึงมีมติปรับลดวงเงินงบประมาณลงจากเดิม 3.3 ล้านล้านบาท เป็น 3.28 ล้านล้านบาทเศษ กล่าวคืองบประมาณที่ปรับลดได้ในปีนี้เกือบ 32,000 ล้านบาท เมื่อแปรเพิ่มให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ให้เป็นเงินชดเชยภาษีที่ดินที่หายไปกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่งบรรจุแต่ไม่ได้ตั้งงบไว้ เป็นงบก่อสร้างสถานที่นั่งพักสำหรับประชาชนให้กับศาลยุติธรรม งบที่เหลือก็ถือว่าพับไป
  
นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่กรรมาธิการงบประมาณปรับลดวงเงินรวมของงบประมาณรายจ่าย แม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่าได้ช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง
  
แน่นอนว่าเราเข้าใจดีถึงความจำเป็นของบทบาทการใช้จ่ายภาครัฐในยามวิกฤต แต่ในเมื่อรัฐบาลวางแผนงบประมาณไว้ไม่ดีพอ ไม่ได้คำนึงถึงการจัดเก็บรายได้ที่อาจพลาดเป้า ประกอบกับโครงการต่างๆ ที่มาขอแปรเพิ่มก็ยังเป็นโครงการที่ไม่ได้ตอบโจทย์วิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากพิษโควิด จึงเป็นที่มาของการปรับลดวงเงินงบประมาณภาพรวมในครั้งนี้ค่ะ
 
https://www.facebook.com/SirikanyaOfficial/posts/642848566363043
 

 
“ก้าวไกล-กบฏปชป.”แท็กทีม ยื่น 99 ชื่อ แก้ ม.272 ปิดสวิตช์ส.ว. ไร้ชื่อพปชร.-เพื่อไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2339592
 
ฮือฮา ‘ก้าวไกล-กบฏ ปชป.’ แทคทีม 13 พรรค 99 ชื่อ ยื่นร่างแก้ ม.272 ปิดสวิตช์ ส.ว. ตามคาด ไร้ชื่อ พปชร.-พท. มั่นใจเข้าสภาทัน 23-24 ก.ย.
 
เมื่อเวลา 13.40 น.วันที่ 8 กันยายน ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันนำรายชื่อ ส.ส. 99 คน มายื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 272 ว่าด้วยการยกเลิกการให้ ส.ว.ร่วมลงมติในที่ประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
 
นายชวนกล่าวว่า ตามขั้นตอนจะต้องมีการตรวจสอบองค์ประกอบของญัตติเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมาย หากไม่มีปัญหาจะสามารถบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาได้ใน 15 วัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านไปก่อนหน้านี้ โดยจะมีการพิจารณาในระหว่างวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ คิดว่าหากไม่มีปัญหาใดๆ จะสามารถพิจารณาได้พร้อมกัน
 
ด้านนายพิธากล่าวว่า ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อมีจำนวน 99 คน จาก 13 พรรคการเมือง โดยไม่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐร่วมลงชื่อ แต่มี ส.ส.พรรคภูมิใจไทยรวมลงชื่อด้วย เชื่อว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้รับการพิจารณาในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ นอกจากนี้ มั่นใจว่าจะไม่มี ส.ว.คนใดขัดขวาง เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการแก้ไขมาตรานี้จะเป็นทางออกให้กับประเทศ
 
ขณะที่นายสาทิตย์กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากความเห็นพ้องร่วมกัน ที่จะให้มีการแก้ไขในเรื่องการให้ ส.ว.เลือกนายกฯเพียงประเด็นเดียว ซึ่งการดำเนินการของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นเอกสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แม้ว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ได้ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลไปก่อนหน้านี้ โดยการแก้ไขมาตรานี้จะเป็นการยกเลิกการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม พวกเราจะเข้าไปชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป และคิดว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าใจการดำเนินการในครั้งนี้เนื่องจากหัวหน้าพรรคเคยแสดงความคิดเห็นสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 272
 
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากมีการยกเลิกมาตรา 272 จะทำให้กระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแบบเดิม คือให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอชื่อและเลือกนายกฯ จากบัญชีรายชื่อผู้เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯของพรรคการเมืองที่เสนอต่อคณะกรรมาการเลือกตั้ง และหากสภาผู้แทนราษฎรเลือกไม่ได้ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สภาเลือกนายกฯคนนอกต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่