สวัสดีค่ะ ชาวพันทิปทุกท่านที่เข้ามาอ่านเหตุการณ์ที่เราคิดว่าภายในช่วงชีวิตของเราคงไม่มีโอกาสพบเจอกับประสบการณ์ที่เลวร้าย และเราไม่เคยคิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลยสักนิด แต่เนื่องด้วยแฟน(เก่า) ที่แปลงกายมาในรูปแบบของคนไม่ดีและน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางจิต เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเจอสิ่งที่เขาพึงกระทำกับเรา
เราขอเล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนนะคะ เพื่อให้เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เราและเขาคบหาดูใจกันมา 2 ปีกว่าได้ (ยังไม่ได้แต่งงานกันค่ะ) ผิวเผินดูเป็นคนปกติทั่วไป แต่มีความแปลกนิดๆ และไม่คิดว่าเขาจะเข้าข่ายความผิดปกติ
NPD (Narcissistic Personality Disorder) ซึ่งตอนนั้นยังไม่เอะใจเท่าไรนัก และตลอดเวลาที่เราคบกันนั้น ยอมรับค่ะว่าเขาทำให้เราเสียน้ำตา ทุกข์ เครียด มากกว่าทำให้เรามีความสุขเสียอีก เขาไม่มีความไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ หงุดหงิดง่าย มองว่าเราด้อยกว่าเขาทุกเรื่อง และชอบใช้คำหยาบว่าลอยๆ ซึ่งมันทำให้เราหัวร้อนตามไปด้วย เขาชอบ
Judging คนอื่นที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงเราในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนเอย หาว่าเราหุ่นไม่ดีเหมือนคนอื่น ความเป็นจริงเราผอมและสูง (ถ้าผอมมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วค่ะ) พูดเชิงแบบให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรามีอาการผิดปกติทางจิตหรือเปล่า
(Gaslighting) การแต่งตัวที่เราคิดว่าเหมาะกับบุคลิกเราและช่วยเสริมความมั่นใจเรา แต่เขากลับวิจารณ์จนทำให้เราเสียความมั่นใจ ไปต่อขนตามาก็บอกให้ไปเอาออกทั้งๆที่เพิ่งต่อมาได้แค่ 1 วัน (แต่เราไม่ทำตามค่ะ) สำหรับเราไม่ว่าเขาจะทำอะไรเราให้อิสระเขาทุกเรื่อง อยากจะทำอะไร แต่งตัวแบบไหน ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวนานเป็นอาทิตย์ถึงเดือน เราไม่เคยไปก้าวก่ายแม้แต่น้อย เคารพสิทธิของเขามาก
ตลอดช่วงเวลาที่คบกันมีปัญหากันบ่อย ซึ่งพอเวลาทะเลาะกันเขาก็ชอบใช้คำพูดแทงใจดำ ใช้คำหยาบคายต่อว่าเรา แถมยังหยิบยกครอบครัวเรามาพูดถึงในทางไม่ดีอีก เราได้ยินเรายังกระอักเลยว่าเขาว่าเราและครอบครัวแรงเกินไปไหม แต่พอเขาอารมณ์เย็นขึ้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งไม่ขอโทษเลยสักนิด เหตุการณ์แบบนี้วนอยู่รูปแบบเดิมซ้ำๆ จนเราตัดสินใจบอกเลิกเขา เขาก็ส่งข้อความบอกว่าอยากเจอ โทรมาร้องไห้ว่าอยากให้เราให้โอกาสเขา สิ่งที่เขาว่าเราเขาไม่คิดว่าเราจะเก็บไปคิด เขาสำนึกผิดแล้ว อยากให้เราให้อภัยและเริ่มต้นใหม่ พร้อมทั้งสัญญากับเราว่าจะปรับปรุงตัวเอง จะไม่ทำร้ายจิตใจเราและทำให้เราเสียใจอีก เขาให้คำมั่นสัญญากับเราแบบนั้น ด้วยความที่เราก็ใจไม่แข็งพอ สุดท้ายก็ให้โอกาสเขาอีก (อารมณ์แบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวเลิก)
จนในที่สุดสิ่งเราไม่คาดคิดนั่นก็คือเขาลงมือใช้ความรุนแรงกับเรา คืนนั้นเราไปค้างที่คอนโดเขา เรามีปากเสียงกันก่อนนอน ตอนนั้นเราและเขาอยู่บนเตียงนอนแล้วนะคะ มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งที่
เขาได้ใช้ขาทั้งสองข้างยันเราอย่างแรงจนตัวเราไปชนกับพัดลมตั้งพื้นอย่างจัง และตัวเราไปนอนกองอยู่บนพื้น เราเองไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทำกับเราได้ถึงขนาดนี้ เราร้องไห้และตัดสินเดินไปเก็บของใช้ส่วนตัวของเราและเดินออกจากห้องเพื่อที่จะกลับบ้าน จู่ๆเขาก็เดินตามมาพร้อมถามเราว่าเป็นบ้าหรือเปล่า มาทำอะไรตรงหน้าลิฟต์ นี่มันกี่โมงแล้ว และบอกให้เราเดินกลับไปที่ห้องและไปนอน เขาไม่เอ่ยปากขอโทษสักคำกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ตอนนั้นเราตกใจไม่คิดว่าเขาจะทำกับเราแบบนี้ เราก็งงกับตัวเองว่าทำไมตอนนั้นไม่ถอยห่างออกมา และยังจะให้โอกาสเขาอีกทำไม ในเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างมันฟ้องว่าเขาไม่ใช้เหตุผลในการคุยและเลือกการใช้กำลังในการจบปัญหาทุกอย่าง เราบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้แหละมั้ง คิดในแง่ดี แล้วก็เดินกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(เราว่ามีหลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายๆกันกับเรา และน่าจะเข้าใจดีว่า อยากเลิกเต็มทน แต่ไม่รู้ทำไมมันเลิกไม่ได้)
จนมันมีช่วงเวลาที่เรามานั่งคิดและดึงสติตัวเองได้ว่า ทำไมเราต้องมานั่งทนกับคนที่ไม่แคร์ความรู้สึก ไม่ให้เกียรติครอบครัวและเพื่อนของเรา ทำไมเราต้องมาให้เขาบงการชีวิต สั่งห้ามในสิ่งที่เราอยากทำ และทำไมต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ร้ายๆของเขา
นึกภาพย้อนไปตลอดระยะเวลาที่คบกัน เราแทบจะมองไม่เห็นช่วงเวลาที่ตัวเองมีความสุขเลย มีแต่เรื่องอึดอัดให้หนักใจ บวกกับความรู้สึกแย่ๆ ที่ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
ในที่สุดเราตัดสินใจเด็ดขาดว่าเราขอยุติความสัมพันธ์กับเขา และไม่ขอติดต่อกับเขาอีกโดยถาวร ซึ่งครั้งนี้เราบอกเลิกเขา แต่เขาไม่ยอมเลิกกับเราค่ะ และให้เหตุผลว่าเขารักเรามาก ไม่อยากเสียเราไป เขาวางแผนจะแต่งงานกับเราภายอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่ายังไม่อยากแต่งงาน) เราก็ไม่สนใจค่ะ เขาจะงัดเอาไม้ตายหรืออะไรมาหลอกล่อก็ปล่อยให้เขาพูดไปค่ะ เพราะเราตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสอีก จากนั้นเราเลยบล็อคเขาทุกช่องทางการติดต่อ และเหตุการณ์ที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น มันก็ค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นตามลำดับ
หลังจากที่เราบล็อคเขา เขามาหาที่บ้านบ่อยมาก ซื้อดอกไม้มาให้ (ตั้งแต่คบกันไม่เคยได้ดอกไม้เลยสักช่อค่ะ) หลังเลิกงานก็มาหา ตะโกนเรียกชื่อเราและอ้อนวอนให้เปิดประตูให้ อ้างว่าไม่สบายได้โปรดเห็นใจเขาหน่อย แสดงสีหน้าและท่าทางเก่งมาก จนมันทำให้เราเชื่อว่าเขาไม่สบายจริงๆ เราเลยให้เขามานั่งในบ้าน จากนั้นเขาก็ร้องห่มร้องไห้ ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดโน้มน้าวให้เรากับเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เราบอกเขาว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีก ให้ล้มเลิกความคิดนั้นไปเลย กลับกลายเป็นว่าเขาก็ต่อว่าเรา และในที่สุดก็มีปากเสียงกัน และ
เขาได้ตบหน้าเราไปหนึ่งที จนหน้าเราหันและชาไปทั้งหน้าเลยค่ะ เราอึ้งและตกใจมาก พร้อมร้องไห้และตะโกนบอกให้เขาออกไปบ้านเราเดี๋ยวนี้ เขาจึงรีบคว้ากระเป๋าออกจากบ้านเราไปเลยค่ะ เราไปแจ้งความหลังจากที่โดนเขาตบหน้า (ทำร้ายร่างกาย)
แต่เขายังตามก่อกวนไม่เลิก มาหาที่บ้าน ดักเจอหน้าประตูออฟฟิศที่ทำงาน สถานีรถไฟฟ้า เอาเบอร์แปลกหลายสิบเบอร์โทรเข้ามือถือและเบอร์บริษัท ส่งอีเมล์เข้าเมล์ส่วนตัวและบริษัท แต่สิ่งที่พีคที่สุดคือเขาบุกเข้ามาในออฟฟิศโดยไม่ได้รับอนุญาต เดินมายังโต๊ะทำงานของเรา พร้อมกับพูดจาไม่ดีใส่ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานคนอื่น เราเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ออฟฟิศทันทีค่ะ เราทำหนังสือเป็นข้อตกลงว่าให้เขาเลิกก่อกวน หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วจะเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งให้เขา เรา และเจ้าหน้าที่ตำรวจลงนามเพื่อรับทราบข้อตกลงดังกล่าว หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปหลายเดือน เราก็โล่งใจละว่าจะไม่เจอเขาอีก
แต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เราจะเจอเขาบนสถานีรถไฟฟ้า เหมือนเขาจงใจตามเรา และการเจอในแต่ละครั้ง เขาเข้ามาคุกคามโดยกระชากแขน ผลัก สกัดขาเราในขณะที่เรากำลังลงบันได พูดจาข่มขู่ สาปแช่ง อยากให้เรามีอันเป็นไป อีกทั้งยังด่าทอด้วยคำหยาบสารพัด เราได้ไปแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมแล้ว 3 ครั้ง บวกกับครั้งก่อนหน้าอีก 1 รวมทั้งหมดเป็น 4 ครั้งที่เราแจ้งความไปค่ะ เรามีหลักฐานพร้อมทุกอย่าง แต่!! เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เราส่งเรื่องไปขอความช่วยเหลือกับสถานฑูตประเทศเขา ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่เขา แต่ให้เป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องดำเนินการให้ เราส่งขอความช่วยเหลือให้เพจฯ ที่ดังๆ บนเฟสบุ๊คก็โดนปฏิเสธ โทรไปมูลนิธิต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกับการใช้ความรุนแรงและคุกคามสิทธิสตรีก็ไม่มีเรื่องคืบหน้า เราขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บีทีเอสประจำสถานีที่เกิดเหตุ เขาบอกปัดความช่วยเหลือเรา และครั้งล่าสุดเราขอร้องให้เจ้าหน้าที่บีทีเอสช่วยประสานงานให้พนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยกักตัวเขาไว้ พร้อมกับแจ้งเหตุผลเขาไปว่าเราโดนคุกคามบนสถานีบีทีเอสนี้หลายรอบแล้ว จึงอยากให้ช่วยกักตัวเขาให้ที เพราะเราได้โทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาคุมตัวและเชิญเขาไปที่ สน. กว่าทางเจ้าจะหน้าที่จะประสานงานได้เขาก็หนีไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องที่น่าสลดก็คือเราร้องกรี๊ดขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครช่วย กลับกลายเป็นว่าเขาก็หนีลอยนวลไป
>>> สุดท้ายนี้เราอยากได้รับความช่วยเหลือจากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยนำเขามาดำเนินคดีตามกฏหมาย เพราะเราเดือดร้อนมาก รู้สึกไม่ปลอดภัย หวาดระแวง ไม่มีความสุขกับการออกไปทำงาน ทำธุระส่วนตัว ดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่รู้ว่าเวลาไหนเขาจะเข้ามาทำร้าย และเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต บุคคลคนนี้เป็นบุคคลอันตรายไม่ใช่แค่ต่อตัวเรา แต่ยังเป็นบุคคลที่น่าอันตรายต่อบุคคลอื่นภายในสังคมด้วย ซึ่งเขาเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน เขาไม่มีสิทธิในการทำร้ายร่างกาย ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือการกระทำใดๆก็แล้วแต่ที่ส่งผลในแง่ลบ กับคนที่ถือสัญชาติไทย และอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับเราและผู้หญิงคนอื่นๆที่เจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันกับเรา ที่ยังให้คนแบบนี้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างหน้าตาเฉย
** หากสะกดผิด ใช้คำไม่ถูกต้อง หรือแท็กผิดห้อง ต้องขอโทษด้วยนะคะ **
ช่วยด้วยค่ะ! เราโดนแฟนเก่า(ชาวต่างชาติ)ตามทำร้าย คุกคาม ข่มขู่ เราหวาดผวาและระแวงมาก รู้สึกตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา
เราขอเล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนนะคะ เพื่อให้เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เราและเขาคบหาดูใจกันมา 2 ปีกว่าได้ (ยังไม่ได้แต่งงานกันค่ะ) ผิวเผินดูเป็นคนปกติทั่วไป แต่มีความแปลกนิดๆ และไม่คิดว่าเขาจะเข้าข่ายความผิดปกติ NPD (Narcissistic Personality Disorder) ซึ่งตอนนั้นยังไม่เอะใจเท่าไรนัก และตลอดเวลาที่เราคบกันนั้น ยอมรับค่ะว่าเขาทำให้เราเสียน้ำตา ทุกข์ เครียด มากกว่าทำให้เรามีความสุขเสียอีก เขาไม่มีความไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ หงุดหงิดง่าย มองว่าเราด้อยกว่าเขาทุกเรื่อง และชอบใช้คำหยาบว่าลอยๆ ซึ่งมันทำให้เราหัวร้อนตามไปด้วย เขาชอบ Judging คนอื่นที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงเราในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนเอย หาว่าเราหุ่นไม่ดีเหมือนคนอื่น ความเป็นจริงเราผอมและสูง (ถ้าผอมมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วค่ะ) พูดเชิงแบบให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรามีอาการผิดปกติทางจิตหรือเปล่า (Gaslighting) การแต่งตัวที่เราคิดว่าเหมาะกับบุคลิกเราและช่วยเสริมความมั่นใจเรา แต่เขากลับวิจารณ์จนทำให้เราเสียความมั่นใจ ไปต่อขนตามาก็บอกให้ไปเอาออกทั้งๆที่เพิ่งต่อมาได้แค่ 1 วัน (แต่เราไม่ทำตามค่ะ) สำหรับเราไม่ว่าเขาจะทำอะไรเราให้อิสระเขาทุกเรื่อง อยากจะทำอะไร แต่งตัวแบบไหน ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวนานเป็นอาทิตย์ถึงเดือน เราไม่เคยไปก้าวก่ายแม้แต่น้อย เคารพสิทธิของเขามาก
ตลอดช่วงเวลาที่คบกันมีปัญหากันบ่อย ซึ่งพอเวลาทะเลาะกันเขาก็ชอบใช้คำพูดแทงใจดำ ใช้คำหยาบคายต่อว่าเรา แถมยังหยิบยกครอบครัวเรามาพูดถึงในทางไม่ดีอีก เราได้ยินเรายังกระอักเลยว่าเขาว่าเราและครอบครัวแรงเกินไปไหม แต่พอเขาอารมณ์เย็นขึ้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งไม่ขอโทษเลยสักนิด เหตุการณ์แบบนี้วนอยู่รูปแบบเดิมซ้ำๆ จนเราตัดสินใจบอกเลิกเขา เขาก็ส่งข้อความบอกว่าอยากเจอ โทรมาร้องไห้ว่าอยากให้เราให้โอกาสเขา สิ่งที่เขาว่าเราเขาไม่คิดว่าเราจะเก็บไปคิด เขาสำนึกผิดแล้ว อยากให้เราให้อภัยและเริ่มต้นใหม่ พร้อมทั้งสัญญากับเราว่าจะปรับปรุงตัวเอง จะไม่ทำร้ายจิตใจเราและทำให้เราเสียใจอีก เขาให้คำมั่นสัญญากับเราแบบนั้น ด้วยความที่เราก็ใจไม่แข็งพอ สุดท้ายก็ให้โอกาสเขาอีก (อารมณ์แบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวเลิก)
จนในที่สุดสิ่งเราไม่คาดคิดนั่นก็คือเขาลงมือใช้ความรุนแรงกับเรา คืนนั้นเราไปค้างที่คอนโดเขา เรามีปากเสียงกันก่อนนอน ตอนนั้นเราและเขาอยู่บนเตียงนอนแล้วนะคะ มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งที่เขาได้ใช้ขาทั้งสองข้างยันเราอย่างแรงจนตัวเราไปชนกับพัดลมตั้งพื้นอย่างจัง และตัวเราไปนอนกองอยู่บนพื้น เราเองไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทำกับเราได้ถึงขนาดนี้ เราร้องไห้และตัดสินเดินไปเก็บของใช้ส่วนตัวของเราและเดินออกจากห้องเพื่อที่จะกลับบ้าน จู่ๆเขาก็เดินตามมาพร้อมถามเราว่าเป็นบ้าหรือเปล่า มาทำอะไรตรงหน้าลิฟต์ นี่มันกี่โมงแล้ว และบอกให้เราเดินกลับไปที่ห้องและไปนอน เขาไม่เอ่ยปากขอโทษสักคำกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ตอนนั้นเราตกใจไม่คิดว่าเขาจะทำกับเราแบบนี้ เราก็งงกับตัวเองว่าทำไมตอนนั้นไม่ถอยห่างออกมา และยังจะให้โอกาสเขาอีกทำไม ในเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างมันฟ้องว่าเขาไม่ใช้เหตุผลในการคุยและเลือกการใช้กำลังในการจบปัญหาทุกอย่าง เราบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้แหละมั้ง คิดในแง่ดี แล้วก็เดินกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(เราว่ามีหลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายๆกันกับเรา และน่าจะเข้าใจดีว่า อยากเลิกเต็มทน แต่ไม่รู้ทำไมมันเลิกไม่ได้)
จนมันมีช่วงเวลาที่เรามานั่งคิดและดึงสติตัวเองได้ว่า ทำไมเราต้องมานั่งทนกับคนที่ไม่แคร์ความรู้สึก ไม่ให้เกียรติครอบครัวและเพื่อนของเรา ทำไมเราต้องมาให้เขาบงการชีวิต สั่งห้ามในสิ่งที่เราอยากทำ และทำไมต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ร้ายๆของเขา
นึกภาพย้อนไปตลอดระยะเวลาที่คบกัน เราแทบจะมองไม่เห็นช่วงเวลาที่ตัวเองมีความสุขเลย มีแต่เรื่องอึดอัดให้หนักใจ บวกกับความรู้สึกแย่ๆ ที่ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
ในที่สุดเราตัดสินใจเด็ดขาดว่าเราขอยุติความสัมพันธ์กับเขา และไม่ขอติดต่อกับเขาอีกโดยถาวร ซึ่งครั้งนี้เราบอกเลิกเขา แต่เขาไม่ยอมเลิกกับเราค่ะ และให้เหตุผลว่าเขารักเรามาก ไม่อยากเสียเราไป เขาวางแผนจะแต่งงานกับเราภายอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่ายังไม่อยากแต่งงาน) เราก็ไม่สนใจค่ะ เขาจะงัดเอาไม้ตายหรืออะไรมาหลอกล่อก็ปล่อยให้เขาพูดไปค่ะ เพราะเราตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสอีก จากนั้นเราเลยบล็อคเขาทุกช่องทางการติดต่อ และเหตุการณ์ที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น มันก็ค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นตามลำดับ
หลังจากที่เราบล็อคเขา เขามาหาที่บ้านบ่อยมาก ซื้อดอกไม้มาให้ (ตั้งแต่คบกันไม่เคยได้ดอกไม้เลยสักช่อค่ะ) หลังเลิกงานก็มาหา ตะโกนเรียกชื่อเราและอ้อนวอนให้เปิดประตูให้ อ้างว่าไม่สบายได้โปรดเห็นใจเขาหน่อย แสดงสีหน้าและท่าทางเก่งมาก จนมันทำให้เราเชื่อว่าเขาไม่สบายจริงๆ เราเลยให้เขามานั่งในบ้าน จากนั้นเขาก็ร้องห่มร้องไห้ ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดโน้มน้าวให้เรากับเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เราบอกเขาว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีก ให้ล้มเลิกความคิดนั้นไปเลย กลับกลายเป็นว่าเขาก็ต่อว่าเรา และในที่สุดก็มีปากเสียงกัน และเขาได้ตบหน้าเราไปหนึ่งที จนหน้าเราหันและชาไปทั้งหน้าเลยค่ะ เราอึ้งและตกใจมาก พร้อมร้องไห้และตะโกนบอกให้เขาออกไปบ้านเราเดี๋ยวนี้ เขาจึงรีบคว้ากระเป๋าออกจากบ้านเราไปเลยค่ะ เราไปแจ้งความหลังจากที่โดนเขาตบหน้า (ทำร้ายร่างกาย)
แต่เขายังตามก่อกวนไม่เลิก มาหาที่บ้าน ดักเจอหน้าประตูออฟฟิศที่ทำงาน สถานีรถไฟฟ้า เอาเบอร์แปลกหลายสิบเบอร์โทรเข้ามือถือและเบอร์บริษัท ส่งอีเมล์เข้าเมล์ส่วนตัวและบริษัท แต่สิ่งที่พีคที่สุดคือเขาบุกเข้ามาในออฟฟิศโดยไม่ได้รับอนุญาต เดินมายังโต๊ะทำงานของเรา พร้อมกับพูดจาไม่ดีใส่ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานคนอื่น เราเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ออฟฟิศทันทีค่ะ เราทำหนังสือเป็นข้อตกลงว่าให้เขาเลิกก่อกวน หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วจะเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งให้เขา เรา และเจ้าหน้าที่ตำรวจลงนามเพื่อรับทราบข้อตกลงดังกล่าว หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปหลายเดือน เราก็โล่งใจละว่าจะไม่เจอเขาอีก
แต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เราจะเจอเขาบนสถานีรถไฟฟ้า เหมือนเขาจงใจตามเรา และการเจอในแต่ละครั้ง เขาเข้ามาคุกคามโดยกระชากแขน ผลัก สกัดขาเราในขณะที่เรากำลังลงบันได พูดจาข่มขู่ สาปแช่ง อยากให้เรามีอันเป็นไป อีกทั้งยังด่าทอด้วยคำหยาบสารพัด เราได้ไปแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมแล้ว 3 ครั้ง บวกกับครั้งก่อนหน้าอีก 1 รวมทั้งหมดเป็น 4 ครั้งที่เราแจ้งความไปค่ะ เรามีหลักฐานพร้อมทุกอย่าง แต่!! เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เราส่งเรื่องไปขอความช่วยเหลือกับสถานฑูตประเทศเขา ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่เขา แต่ให้เป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องดำเนินการให้ เราส่งขอความช่วยเหลือให้เพจฯ ที่ดังๆ บนเฟสบุ๊คก็โดนปฏิเสธ โทรไปมูลนิธิต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกับการใช้ความรุนแรงและคุกคามสิทธิสตรีก็ไม่มีเรื่องคืบหน้า เราขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บีทีเอสประจำสถานีที่เกิดเหตุ เขาบอกปัดความช่วยเหลือเรา และครั้งล่าสุดเราขอร้องให้เจ้าหน้าที่บีทีเอสช่วยประสานงานให้พนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยกักตัวเขาไว้ พร้อมกับแจ้งเหตุผลเขาไปว่าเราโดนคุกคามบนสถานีบีทีเอสนี้หลายรอบแล้ว จึงอยากให้ช่วยกักตัวเขาให้ที เพราะเราได้โทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาคุมตัวและเชิญเขาไปที่ สน. กว่าทางเจ้าจะหน้าที่จะประสานงานได้เขาก็หนีไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องที่น่าสลดก็คือเราร้องกรี๊ดขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครช่วย กลับกลายเป็นว่าเขาก็หนีลอยนวลไป
>>> สุดท้ายนี้เราอยากได้รับความช่วยเหลือจากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยนำเขามาดำเนินคดีตามกฏหมาย เพราะเราเดือดร้อนมาก รู้สึกไม่ปลอดภัย หวาดระแวง ไม่มีความสุขกับการออกไปทำงาน ทำธุระส่วนตัว ดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่รู้ว่าเวลาไหนเขาจะเข้ามาทำร้าย และเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต บุคคลคนนี้เป็นบุคคลอันตรายไม่ใช่แค่ต่อตัวเรา แต่ยังเป็นบุคคลที่น่าอันตรายต่อบุคคลอื่นภายในสังคมด้วย ซึ่งเขาเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน เขาไม่มีสิทธิในการทำร้ายร่างกาย ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือการกระทำใดๆก็แล้วแต่ที่ส่งผลในแง่ลบ กับคนที่ถือสัญชาติไทย และอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับเราและผู้หญิงคนอื่นๆที่เจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกันกับเรา ที่ยังให้คนแบบนี้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างหน้าตาเฉย
** หากสะกดผิด ใช้คำไม่ถูกต้อง หรือแท็กผิดห้อง ต้องขอโทษด้วยนะคะ **