อธิบายก่อนเลยนะคะ
ตั้งแต่เกิดมา ก็จำได้ว่า เราอาศัยอยู่กับตายาย พ่อแม่ทำงานที่กรุงเทพ จนเราอยู่ม.2 แม่ตั้งท้องมีน้อง พ่อกับแม่ต้องกลับมาอยู่บ้าน (เราไม่สนิทกับพ่อแม่)
พอคลอดน้อง ได้ไม่ถึงปี พ่อก็ไปทำงานที่กรุงเทพเหมือนเดิม ส่วนเราก็อยู่กับแม่ น้องและตายาย จนเราอยู่ม.5 แม่ทะเลาะกับตายาย (พ่อแม่ไม่ถูกคอกับตายาย) ทำให้แม่อยู่ไม่ได้ ต้องย้ายไปเช่าบ้านอยู่กับน้อง 2คน ส่วนเราก็อยู่กับตายายเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าอยู่กับตายายสบายใจกว่าอยู่กับแม่ แต่บ้านหลังที่เราอยู่กับตายายแม่เราเป็นคนสร้างเอง และห่างจากบ้านที่แม่เช่าอยู่ประมาณ3 กิโล มีช่วงหนึ่งที่เราต้องไปอยู่กับแม่ และแม่เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน ชอบไปเที่ยวบ้านเพื่อน
จนวันนั้น แม่จะออกไปเที่ยวบ้านเพื่อน แม่ชวนเราไปด้วย แต่เราไม่รู้จะไปทำไม อยากอยู่บ้านมากกว่า เราก็ปฏิเสธ แม่ไปตั้งแต่สายๆ จนถึงตอนเย็น เราอยู่บ้านทั้งวัน ไม่มีกับข้าว มีแค่ข้าวสาร ก็หุงกินเอง ส่วนมือถือก็ไม่มี บ้านก็ห่างจากร้านค้าประมาณ2โล วันนั้นทำให้เราคิดได้ว่าต้องกลับไปอยู่ตากับยาย เพราะไม่งั้นเราอยู่ไม่ได้ วันต่อมาเราเลยให้แม่พาไปหาตายาย แล้วเอารถมอไซร์ มาขนของที่บ้านเช่าแม่ ไปอยู่กับตายาย พอถึงวันที่ต้องจ่ายค่ารถรับส่งนักเรียน ประมาณเดือนละ 4 ร้อย แม่ไม่จ่ายให้ เลื่อนไปเป็นอาทิตย์ก็ยังๆม่จ่าย เราก็เลยไปบอกยายว่าแม่ยังไม่จ่ายค่ารถให้ ยายก็เลยจ่ายให้เรา เวลาผ่านไปสักพักแม่ก็คงเริ่มจ่ายค่าเช่าบ้านไม่ไหวก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับตายายเหมือนเดิม ผ่านไปไม่กี่เดือนก็สร้างบ้านใหม่อีกหลัง ห่างประมาณ2กิโล (แม่อยู่กับน้อง2คน)
พอเราใกล้จะเรียนจบม.6 เป็นช่วงที่จะสอบเข้ามหาลัย เราติดมหาลัยราชฎัชของจังหวัดที่อยู่ติดจังหวัดเรา ระยะทางจากบ้านประมาณ80กิโล แต่แม่ไม่อยากให้ไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะค่าเทอมแพงรึป่าว เราเลยเสนอไปว่างั้นขอเรียนผู้ช่วยพยาบาล เรียน6เดือน จำไม่ได้แล้วว่าเทอมเท่าไร แต่ถูกที่สุดแล้ว และอาที่เป็นน้องของพ่อ ก็จะช่วยจ่ายอีก1หมื่น แม่ก็บอกขอคิดดูก่อน
จนสุดท้ายแม่ตัดสินใจ ให้เราไปทำงานกับน้า แม่บอกว่า ไม่มีเงินส่งเรียน ถ้าอยากเรียนก็หาเรียนเอง (น้าเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยในกรุงเทพ มีลูก มีครอบครัวแล้ว) เราแค่ไปอาศัยอยู่ชั่วคราว แม่ให้เงินติดตัว 3 พันบาท (น้าบอกว่าไม่พอ) แต่เราก็จะประหยัด
ต่อมาพ่อเราทำงานที่กรุงเทพพาเราไปสมัครงาน ใส่กางเกงขาสั้นไป ด้วยความไม่รู้ พ่อเลยพาไปห้องพ่อ เราก็ได้เจอว่าพ่ออยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่
แล้วเอากางเกงผู้หญิงคนนั้นให้ใส่ พอสมัครงานเสร็จพ่อพาไปส่งห้องน้า และบอกเราว่าอย่าเล่าให้แม่ฟังว่าพ่ออยู่กับผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน แค่เพื่อน (พ่อกับน้าไม่ถูกคอกัน) ไปถึงเราเล่าให้น้าว่าใส่กางขาสั้นไป พ่อพาไปเปลี้ยนที่ห้อง น้าสงสัยว่าทำไมพ่อมีกางเกง เราก็เล่าให้ฟังหมดเลย จนสุดท้ายพ่อแม่แยกทางกัน ในระหว่างที่ทำงาน น้าพาเราไปหาห้องให้เราอยู่คนเดียว ผ่านไปเกือบเดือน ได้ยินว่าแม่ซื้อรถเก๋งมือสอง ราคาเกือบแสน (รู้สึกน้อยใจที่แม่บอกไม่เงิน แต่ซื้อรถ) **ลืมบอก แม่ทำอาชีพค้าขาย เราก็กลับบ้านบ้างปีละครั้ง 2ครั้ง แล้วก็มีญาติห่างๆกัน พูดต่อหน้าเรากับแม่ว่า มีเงินซื้อรถขับ แต่ทำไมไม่มีเงินส่งลูกเรียน ในความรู้สึกเราทำสีหน้าไม่ถูก แม่ก็ยิ้มและหัวเราะ
จนเราทำงานได้2 ปี เราก็เรียนต่อ ปวส. เรียนที่วิทลัยที่น้าสอนอยู่ เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ หาเงินส่งตัวเองเรียน มีบ้างที่ขอยืมแม่ แต่ก็คืนทุกครั้ง
ส่วนน้าที่เป็นอาจารย์ลาออกตอนที่เราใกล้จบ เพราะได้งานแถวบ้านต่างจังหวัด ที่เราเคยอาศัยอยู่กับตายาย
พอเรียนจบ วันรับวุฒิ ให้ผู้ปกครองมาแสดงความยินดี ก่อนถึงวันรับ เราโทรถามแม่แล้วว่าจะมาไหม แม่บอกไม่มา ไม่มีเงินค่ารถ (น้ามีรถยนต์ และเป็นคนที่ชอบให้คนอื่นจ่ายค่าน้ำมัน ค่าข้าว ค่าอื่นๆ) แม่ก็คงไม่อยากมาเพราะเหตุผลนี้ เราก็เข้าใจ
แต่น้าบอกว่าจะมา สุดท้ายแม่เรามาด้วย
ส่วนบ้านที่ตายายอยู่ (บ้านที่แม่สร้าง) น้ากลับไปทำงานที่บ้านก็อาศัยอยู่กับตายาย (น้ามีลูกสามคน) ตอนนี้เห็นว่าน้าต่อเติมบ้าน และปูพื้นส่วนนั้น
( บ้านหลังนี้เราคิดว่าจะเป็นของเรา เพราะแม่เราสร้าง และตายายเคยบอกไ้ว้ว่าจะให้เรา) เราเคยคิดว่าอนาคตถ้าสร้างเนื้อ สร้างตัวได้ จะกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นและดูแลตากับยาย เพราะก่อนที่น้าจะได้งานแถวบ้าน น้าเคยคิดจะซื้อบ้านที่กรุงเทพ อาศัยอยู่กรุงเทพ แต่ตอนนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด
ปัจจุบันเราอายุ23ปี จบปวส. ทำงานบริษัทเอกชน
มีแฟนอ่อนกว่า 3ปี คบกันได้ 8 เดือน ทำงานใกล้กัน แฟนความคิดเป็นผู้ใหญ่ รักญาติรักครอบครัว มีพี่น้อง 7คน แฟนคนรองสุดท้อง น้องสุดท้องเป็นผู้หญิง
เราก็คุยเรื่องอนาคตว่าถ้าเกิดเราไปกันได้ แต่งงานกัน จะให้ใครไป อยู่กับครอบครัวอีกฝ่าย ซึ่งในความคิดเรา เราอยากไปอยู่กับครอบครัวแฟน เพราะตายาย้าไปอยู่ด้วยแล้ว ส่วนแม่ อายุ สี่สิบต้นๆ น้องอายุ 10ปี กว่าเราจะสร้างตัวได้ น้องก็คงดูแลแม่ได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งแม่นะ แค่ไปอยู่กับทางครอบครัวแฟน พี่สาวพี่ชายแฟนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว
(ระยะทางบ้านแฟนกับบ้านเราประมาณ8ร้อยกว่ากิโล)
แฟนก็เห็นด้วย และอยากให้ไปอยู่กับเขา เขาเป็นลูกชายสุดท้อง ส่วนน้องสาวเขา ถ้าแต่งงานก็ต้องย้ายออก
แต่เมื่อไม่นานมานี้ น้าเราลงมากรุงเทพ มาทำธุระ ขออาศัยนอนกับเรา 1 คืน
น้ามาถึง แฟนก็เลิกงานพอดี ซื้อข้าว ปลา อาหาร น้ำมา นั่งกินกัน
คำแรกที่น้าคุยกับแฟนเรา คือ " เมื่อไหร่จะไปขอ"
แฟนตอบว่า " ไม่นานครับ"
(สำหรับเรามันไม่ใช่เรื่องที่จะถามกันตอนนี้)
น้าถามต่อว่า " ถ้าแต่งกันแล้วจะต้องไปอยู่กับเรานะ เพราะเรามีแม่ ต้องดูแล พ่อก็ไม่มี"
แฟนตอบว่า " ผมก็ลูกชายคนสุดท้อง ต้องดูแลพ่อแม่ ครับ"
น้า " งั้นต้องทำไง แสดงว่า ก็ต้องแยกไปคนละทาง "
แฟนเราทำสีหน้าเครียด กินข้าวไม่ลงเลย
เราก็บอกน้าไปว่า แม่ ให้น้องดูแล เพราะแม่ก็ยังไม่แก่มาก น้าบอกว่า ก็เป็นคน #เนรคุณสิ
คำนี้เราหยุดพูด และเงียบ ไม่คุยอะไรต่อ น้าก็พูดขึ้นมาว่า คนในหมู่บ้านคนหนึ่ง มีลูก2คนแล้วนะ แต่ค่าสินอนเป็นแสน เราไม่สนใจ เราพยายามพูดเรื่องอื่น และตักกับข้าวให้แฟนกิน แต่แฟนกินไม่ลงแล้วล่ะ อีกอย่างทำงานมาเหนื่อยๆ ต้องมาถูกถามอะไรแบบนี้ และเราคบกับแฟนได้แค่ 8 เดือน จะรีบให้แต่งงานกันทำไม (คิดในใจนะว่า น้าและแม่ต้องการค่าสินสอนแพงๆ เพราะไม่อยากเสียหน้า หรืออับอายใคร?? )
เพื่อนรุ่นเดียวกัน ค่าสินสอดแสนสองแสน จบป.ตรี
พ่อแม่ส่งเรียน มีสังคมที่ต่างจากเรามาก เราแค่สาวโรงงาน ที่ up ตัวเองให้ได้ไปอยู่ ในออฟฟิศ สังคมก็ต่างกันมาก จะให้เราหาผู้ชายรวยๆ ก็คงไม่มีใครเอา หน้าตาก็บ้านๆ ( แม่เคยพูดไม่รู้เล่นหรือจริง บอกว่าทำไมไม่หาคนดีๆ หมายถึงรวยๆนั่นแหละ หรือไม่เพื่อนลูกพี่ลูกน้องที่เป็นตำรวจ)
เราคิดว่าถ้าอยากให้ลูกได้ดีกว่านี้ ทำไมไม่ส่งเรียน จะได้เจอสังคมดีๆกว่า ทำงานโรงงาน ก็มีแค่ผู้ชายโรงงานนี่แหละ
คำว่าเนรคุณ มันทำให้เราคิดย้อนไปเมื่อตอนที่เราอยู่กับตายาย มีช่วงหนึ่งที่ ตาป่วย เป็นอัมพฤก นั่ง เดิน ไม่ได้ มีแค่เรา กับยาย ที่ดูแลตา ทั้งป้อนข้าว น้ำ
เช็ดขี้ เยี่ยว เพราะลูกทุกคนคิดว่ารอวันที่พ่อจากไปแค่นั้น แต่สุดท้าย ตาก็กลับมาเดิน นั่ง ได้เหมือนเดิม เพราะเรานวดให้ตาทุกวัน
น้าอยากให้เราเดินตามเส้นทางของน้า อยากให้เรียนจบป.ตรี ส่งตัวเองเรียน เหมือนน้า อยากให้ทำงานในวงการราชการ ถึงน้าจะเป็นแค่อัตราจ้าง
แต่น้าไม่เคยรู้เลยว่า ชีวิตคนเราต่างกัน ชอบต่างกัน
เราคิดว่าอนาคตอย่างมีธุระกิจของตัวเอง ไม่เป็นลูกจ้างใคร แฟนเราก็คิดเหมือนกัน
**คนที่เข้ามาอ่านเรื่องราวชีวิตเรา
อยากขอความคิดเห็นว่า เราควรจะเลิกกับแฟน แล้วกลับไปอยู่กับแม่ (เอาจริงๆ ตรงๆ ไม่อยากอยู่กับแม่ อย่างที่เล่ามาข้างต้น) หรือจะสร้างตัว ให้ได้ดี แล้วแต่งงานเอาค่าสินสอนให้แม่ ทำงานของตัวเองต่อไป ( ถ้าได้เงิน ให้ก้อนใหญ่ ความคิดแม่กับน้าอาจจะเปลี่ยน)
ควรเลือกทางเดินไหนดี ชีวิตตังเอง (เนรคุณ) กับ ทำตามผู้ใหญ่ (กตัญญู)
ตั้งแต่เกิดมา ก็จำได้ว่า เราอาศัยอยู่กับตายาย พ่อแม่ทำงานที่กรุงเทพ จนเราอยู่ม.2 แม่ตั้งท้องมีน้อง พ่อกับแม่ต้องกลับมาอยู่บ้าน (เราไม่สนิทกับพ่อแม่)
พอคลอดน้อง ได้ไม่ถึงปี พ่อก็ไปทำงานที่กรุงเทพเหมือนเดิม ส่วนเราก็อยู่กับแม่ น้องและตายาย จนเราอยู่ม.5 แม่ทะเลาะกับตายาย (พ่อแม่ไม่ถูกคอกับตายาย) ทำให้แม่อยู่ไม่ได้ ต้องย้ายไปเช่าบ้านอยู่กับน้อง 2คน ส่วนเราก็อยู่กับตายายเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าอยู่กับตายายสบายใจกว่าอยู่กับแม่ แต่บ้านหลังที่เราอยู่กับตายายแม่เราเป็นคนสร้างเอง และห่างจากบ้านที่แม่เช่าอยู่ประมาณ3 กิโล มีช่วงหนึ่งที่เราต้องไปอยู่กับแม่ และแม่เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน ชอบไปเที่ยวบ้านเพื่อน
จนวันนั้น แม่จะออกไปเที่ยวบ้านเพื่อน แม่ชวนเราไปด้วย แต่เราไม่รู้จะไปทำไม อยากอยู่บ้านมากกว่า เราก็ปฏิเสธ แม่ไปตั้งแต่สายๆ จนถึงตอนเย็น เราอยู่บ้านทั้งวัน ไม่มีกับข้าว มีแค่ข้าวสาร ก็หุงกินเอง ส่วนมือถือก็ไม่มี บ้านก็ห่างจากร้านค้าประมาณ2โล วันนั้นทำให้เราคิดได้ว่าต้องกลับไปอยู่ตากับยาย เพราะไม่งั้นเราอยู่ไม่ได้ วันต่อมาเราเลยให้แม่พาไปหาตายาย แล้วเอารถมอไซร์ มาขนของที่บ้านเช่าแม่ ไปอยู่กับตายาย พอถึงวันที่ต้องจ่ายค่ารถรับส่งนักเรียน ประมาณเดือนละ 4 ร้อย แม่ไม่จ่ายให้ เลื่อนไปเป็นอาทิตย์ก็ยังๆม่จ่าย เราก็เลยไปบอกยายว่าแม่ยังไม่จ่ายค่ารถให้ ยายก็เลยจ่ายให้เรา เวลาผ่านไปสักพักแม่ก็คงเริ่มจ่ายค่าเช่าบ้านไม่ไหวก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับตายายเหมือนเดิม ผ่านไปไม่กี่เดือนก็สร้างบ้านใหม่อีกหลัง ห่างประมาณ2กิโล (แม่อยู่กับน้อง2คน)
พอเราใกล้จะเรียนจบม.6 เป็นช่วงที่จะสอบเข้ามหาลัย เราติดมหาลัยราชฎัชของจังหวัดที่อยู่ติดจังหวัดเรา ระยะทางจากบ้านประมาณ80กิโล แต่แม่ไม่อยากให้ไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะค่าเทอมแพงรึป่าว เราเลยเสนอไปว่างั้นขอเรียนผู้ช่วยพยาบาล เรียน6เดือน จำไม่ได้แล้วว่าเทอมเท่าไร แต่ถูกที่สุดแล้ว และอาที่เป็นน้องของพ่อ ก็จะช่วยจ่ายอีก1หมื่น แม่ก็บอกขอคิดดูก่อน
จนสุดท้ายแม่ตัดสินใจ ให้เราไปทำงานกับน้า แม่บอกว่า ไม่มีเงินส่งเรียน ถ้าอยากเรียนก็หาเรียนเอง (น้าเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยในกรุงเทพ มีลูก มีครอบครัวแล้ว) เราแค่ไปอาศัยอยู่ชั่วคราว แม่ให้เงินติดตัว 3 พันบาท (น้าบอกว่าไม่พอ) แต่เราก็จะประหยัด
ต่อมาพ่อเราทำงานที่กรุงเทพพาเราไปสมัครงาน ใส่กางเกงขาสั้นไป ด้วยความไม่รู้ พ่อเลยพาไปห้องพ่อ เราก็ได้เจอว่าพ่ออยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่
แล้วเอากางเกงผู้หญิงคนนั้นให้ใส่ พอสมัครงานเสร็จพ่อพาไปส่งห้องน้า และบอกเราว่าอย่าเล่าให้แม่ฟังว่าพ่ออยู่กับผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน แค่เพื่อน (พ่อกับน้าไม่ถูกคอกัน) ไปถึงเราเล่าให้น้าว่าใส่กางขาสั้นไป พ่อพาไปเปลี้ยนที่ห้อง น้าสงสัยว่าทำไมพ่อมีกางเกง เราก็เล่าให้ฟังหมดเลย จนสุดท้ายพ่อแม่แยกทางกัน ในระหว่างที่ทำงาน น้าพาเราไปหาห้องให้เราอยู่คนเดียว ผ่านไปเกือบเดือน ได้ยินว่าแม่ซื้อรถเก๋งมือสอง ราคาเกือบแสน (รู้สึกน้อยใจที่แม่บอกไม่เงิน แต่ซื้อรถ) **ลืมบอก แม่ทำอาชีพค้าขาย เราก็กลับบ้านบ้างปีละครั้ง 2ครั้ง แล้วก็มีญาติห่างๆกัน พูดต่อหน้าเรากับแม่ว่า มีเงินซื้อรถขับ แต่ทำไมไม่มีเงินส่งลูกเรียน ในความรู้สึกเราทำสีหน้าไม่ถูก แม่ก็ยิ้มและหัวเราะ
จนเราทำงานได้2 ปี เราก็เรียนต่อ ปวส. เรียนที่วิทลัยที่น้าสอนอยู่ เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ หาเงินส่งตัวเองเรียน มีบ้างที่ขอยืมแม่ แต่ก็คืนทุกครั้ง
ส่วนน้าที่เป็นอาจารย์ลาออกตอนที่เราใกล้จบ เพราะได้งานแถวบ้านต่างจังหวัด ที่เราเคยอาศัยอยู่กับตายาย
พอเรียนจบ วันรับวุฒิ ให้ผู้ปกครองมาแสดงความยินดี ก่อนถึงวันรับ เราโทรถามแม่แล้วว่าจะมาไหม แม่บอกไม่มา ไม่มีเงินค่ารถ (น้ามีรถยนต์ และเป็นคนที่ชอบให้คนอื่นจ่ายค่าน้ำมัน ค่าข้าว ค่าอื่นๆ) แม่ก็คงไม่อยากมาเพราะเหตุผลนี้ เราก็เข้าใจ
แต่น้าบอกว่าจะมา สุดท้ายแม่เรามาด้วย
ส่วนบ้านที่ตายายอยู่ (บ้านที่แม่สร้าง) น้ากลับไปทำงานที่บ้านก็อาศัยอยู่กับตายาย (น้ามีลูกสามคน) ตอนนี้เห็นว่าน้าต่อเติมบ้าน และปูพื้นส่วนนั้น
( บ้านหลังนี้เราคิดว่าจะเป็นของเรา เพราะแม่เราสร้าง และตายายเคยบอกไ้ว้ว่าจะให้เรา) เราเคยคิดว่าอนาคตถ้าสร้างเนื้อ สร้างตัวได้ จะกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นและดูแลตากับยาย เพราะก่อนที่น้าจะได้งานแถวบ้าน น้าเคยคิดจะซื้อบ้านที่กรุงเทพ อาศัยอยู่กรุงเทพ แต่ตอนนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด
ปัจจุบันเราอายุ23ปี จบปวส. ทำงานบริษัทเอกชน
มีแฟนอ่อนกว่า 3ปี คบกันได้ 8 เดือน ทำงานใกล้กัน แฟนความคิดเป็นผู้ใหญ่ รักญาติรักครอบครัว มีพี่น้อง 7คน แฟนคนรองสุดท้อง น้องสุดท้องเป็นผู้หญิง
เราก็คุยเรื่องอนาคตว่าถ้าเกิดเราไปกันได้ แต่งงานกัน จะให้ใครไป อยู่กับครอบครัวอีกฝ่าย ซึ่งในความคิดเรา เราอยากไปอยู่กับครอบครัวแฟน เพราะตายาย้าไปอยู่ด้วยแล้ว ส่วนแม่ อายุ สี่สิบต้นๆ น้องอายุ 10ปี กว่าเราจะสร้างตัวได้ น้องก็คงดูแลแม่ได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งแม่นะ แค่ไปอยู่กับทางครอบครัวแฟน พี่สาวพี่ชายแฟนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว
(ระยะทางบ้านแฟนกับบ้านเราประมาณ8ร้อยกว่ากิโล)
แฟนก็เห็นด้วย และอยากให้ไปอยู่กับเขา เขาเป็นลูกชายสุดท้อง ส่วนน้องสาวเขา ถ้าแต่งงานก็ต้องย้ายออก
แต่เมื่อไม่นานมานี้ น้าเราลงมากรุงเทพ มาทำธุระ ขออาศัยนอนกับเรา 1 คืน
น้ามาถึง แฟนก็เลิกงานพอดี ซื้อข้าว ปลา อาหาร น้ำมา นั่งกินกัน
คำแรกที่น้าคุยกับแฟนเรา คือ " เมื่อไหร่จะไปขอ"
แฟนตอบว่า " ไม่นานครับ"
(สำหรับเรามันไม่ใช่เรื่องที่จะถามกันตอนนี้)
น้าถามต่อว่า " ถ้าแต่งกันแล้วจะต้องไปอยู่กับเรานะ เพราะเรามีแม่ ต้องดูแล พ่อก็ไม่มี"
แฟนตอบว่า " ผมก็ลูกชายคนสุดท้อง ต้องดูแลพ่อแม่ ครับ"
น้า " งั้นต้องทำไง แสดงว่า ก็ต้องแยกไปคนละทาง "
แฟนเราทำสีหน้าเครียด กินข้าวไม่ลงเลย
เราก็บอกน้าไปว่า แม่ ให้น้องดูแล เพราะแม่ก็ยังไม่แก่มาก น้าบอกว่า ก็เป็นคน #เนรคุณสิ
คำนี้เราหยุดพูด และเงียบ ไม่คุยอะไรต่อ น้าก็พูดขึ้นมาว่า คนในหมู่บ้านคนหนึ่ง มีลูก2คนแล้วนะ แต่ค่าสินอนเป็นแสน เราไม่สนใจ เราพยายามพูดเรื่องอื่น และตักกับข้าวให้แฟนกิน แต่แฟนกินไม่ลงแล้วล่ะ อีกอย่างทำงานมาเหนื่อยๆ ต้องมาถูกถามอะไรแบบนี้ และเราคบกับแฟนได้แค่ 8 เดือน จะรีบให้แต่งงานกันทำไม (คิดในใจนะว่า น้าและแม่ต้องการค่าสินสอนแพงๆ เพราะไม่อยากเสียหน้า หรืออับอายใคร?? )
เพื่อนรุ่นเดียวกัน ค่าสินสอดแสนสองแสน จบป.ตรี
พ่อแม่ส่งเรียน มีสังคมที่ต่างจากเรามาก เราแค่สาวโรงงาน ที่ up ตัวเองให้ได้ไปอยู่ ในออฟฟิศ สังคมก็ต่างกันมาก จะให้เราหาผู้ชายรวยๆ ก็คงไม่มีใครเอา หน้าตาก็บ้านๆ ( แม่เคยพูดไม่รู้เล่นหรือจริง บอกว่าทำไมไม่หาคนดีๆ หมายถึงรวยๆนั่นแหละ หรือไม่เพื่อนลูกพี่ลูกน้องที่เป็นตำรวจ)
เราคิดว่าถ้าอยากให้ลูกได้ดีกว่านี้ ทำไมไม่ส่งเรียน จะได้เจอสังคมดีๆกว่า ทำงานโรงงาน ก็มีแค่ผู้ชายโรงงานนี่แหละ
คำว่าเนรคุณ มันทำให้เราคิดย้อนไปเมื่อตอนที่เราอยู่กับตายาย มีช่วงหนึ่งที่ ตาป่วย เป็นอัมพฤก นั่ง เดิน ไม่ได้ มีแค่เรา กับยาย ที่ดูแลตา ทั้งป้อนข้าว น้ำ
เช็ดขี้ เยี่ยว เพราะลูกทุกคนคิดว่ารอวันที่พ่อจากไปแค่นั้น แต่สุดท้าย ตาก็กลับมาเดิน นั่ง ได้เหมือนเดิม เพราะเรานวดให้ตาทุกวัน
น้าอยากให้เราเดินตามเส้นทางของน้า อยากให้เรียนจบป.ตรี ส่งตัวเองเรียน เหมือนน้า อยากให้ทำงานในวงการราชการ ถึงน้าจะเป็นแค่อัตราจ้าง
แต่น้าไม่เคยรู้เลยว่า ชีวิตคนเราต่างกัน ชอบต่างกัน
เราคิดว่าอนาคตอย่างมีธุระกิจของตัวเอง ไม่เป็นลูกจ้างใคร แฟนเราก็คิดเหมือนกัน
**คนที่เข้ามาอ่านเรื่องราวชีวิตเรา
อยากขอความคิดเห็นว่า เราควรจะเลิกกับแฟน แล้วกลับไปอยู่กับแม่ (เอาจริงๆ ตรงๆ ไม่อยากอยู่กับแม่ อย่างที่เล่ามาข้างต้น) หรือจะสร้างตัว ให้ได้ดี แล้วแต่งงานเอาค่าสินสอนให้แม่ ทำงานของตัวเองต่อไป ( ถ้าได้เงิน ให้ก้อนใหญ่ ความคิดแม่กับน้าอาจจะเปลี่ยน)