เลี้ยงเด็กในห้องกรรมฐาน
โดย วรา วราภรณ์
สำหรับคนไม่มีลูก ฉันแทบไม่รู้เลยว่า จะเปรียบเทียบระดับความดื้อรั้นของเด็กสมัยนี้กับเมื่อก่อนสักสามสิบปีที่ผ่านมาได้อย่างไรบ้าง และไม่แน่ใจด้วยว่า เด็กสมัยไหนจะร้ายกาจมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ ในปีที่ห้าสิบของชีวิต ฉันมีโอกาสเลี้ยงเด็กในสภาพที่เกือบจะเป็นการเลี้ยงดูลูกตั้งแต่สองคนจนถึงเก้าคนในเวลาแปดวัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจว่าคงจะเป็นหนเดียวเท่านี้เอง
พวกเขาเป็นเด็กต่างจังหวัด อายุตั้งแต่เจ็ดขวบ แปดขวบ สิบขวบ สิบสอง มากที่สุดคือสิบสี่ปี เป็นหญิงและชายเกือบเท่าๆ กัน กิจกรรมนี้คือ การอบรมวิปัสสนากรรมฐาน หลักสูตร 7 คืน 8 วัน ซึ่งมีคณะทำงานชุดหนึ่งเป็นผู้ดำเนินงาน อันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กๆ โดยตรง แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียนในฤดูร้อน ด้วยความหวังดี ฉันจึงชักชวนผู้ปกครองในหมู่บ้านให้พาเด็กๆ มาร่วมด้วย เพราะนอกจากไม่ปิดกั้นเด็กแล้วยังไม่เก็บเงินอีกต่างหาก
พอจวนถึงกำหนด ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามแผน เพราะกลุ่มเป้าหมาย 3-4 ครอบครัวที่ชวนไว้เกิดเปลี่ยนใจไม่มา เด็กหลายคนจึงพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ฉันจึงชวนลูกหลานของเพื่อนและคนที่สนใจแทน จึงมาลงเอยที่มีผู้ปกครองพร้อมใจกันฝากเด็กๆ โดยที่ตนเองไม่มาด้วยรวมหกคน และเมื่อมาสมทบกับเด็กในพื้นที่อื่นๆ กิจกรรมรอบนี้จึงมีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 17 คน
เด็กที่ฉันต้องดูแลโดยตรงชนิดนอนร่วมห้องมีสามคน คือ
ปี๊บ เด็กชายวัยเจ็ดขวบตัวกระจ้อยร่อย เคลื่อนไหวปรู๊ดปร๊าด ถ้าไม่วิ่งก็กระโดด และออกท่าดื้อในวันแรกๆ เลยทีเดียว,
ปุยนุ่น เด็กหญิงแปดขวบที่มีน้ำหนักตัวห้าสิบกิโลกรัม เธอผละจากอ้อมอกย่ามาสู่อ้อมอกของฉันอย่างลั้ลลายิ่ง เป็นเด็กคนหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้ฉันอย่างตราตรึงที่สุดโดยไม่นึกไม่ฝัน และอีกคนคือ
เนม เด็กหญิงหน้าตาคมขำวัยสิบขวบ เธอค่อนข้างว่านอนสอนง่ายและไม่มีพิษสงอะไร
นอกเหนือจากนี้ คือเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานของทีมงาน ได้แก่
โบ และโอเล่ เด็กหญิงสองพี่น้องต่างพ่อกัน โบโตแล้วสิบสี่ปี รักสวยรักงาม มีจริตสาว ทั้งที่ยังไม่มีพัฒนาการทางกายแม้แต่น้อย ส่วนโอเล่วัยเจ็ดขวบ ยังพูดไม่ชัดจนเรียกชื่อฉันผิดเสมอ เธอขี้แย ช่างฟ้อง กินจุ ตัวกลม ยางยืดกางเกงของเธอมักจะหลุดจากเอวมาเกาะอยู่ที่สะโพกเห็นร่องก้นจึงทำให้เป็นตัวตลกของเพื่อนๆ ในวัยที่ไม่ประสีประสา โอเล่ชอบเข้าห้องอาบน้ำพร้อมกันกับปุยนุ่น แล้วก็เล่นด้วยกันภายในนั้นอย่างครื้นเครงก่อนที่จะทะเลาะกันเสียงดังตามมา
นอกจากนี้ คือ
น้อยหน่า วัยสิบสาม เธอเป็นเด็กสมองช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่มีรอบเดือนและร่างกายที่บ่งว่าเป็นสาวแล้ว น้อยหน่าชอบนำน้องๆ ฝืนกฎระเบียบด้วยการพูดคุยและเล่นกันเสมอ ขณะที่ฝั่งเด็กชายจากอำเภอเดียวกัน คือ
แยม วัยสิบสี่ เขาตัวโตและมีวุฒิภาวะสูงกว่าวัย คอยดูแลน้องพิการที่นั่งรถเข็นมาด้วยคนหนึ่งคือ
มะยม สองคนนี้มากับแม่ที่สนใจการปฏิบัติธรรม คนสุดท้ายคือ
เอก เด็กชายวัยสิบสอง หน้าตาดี ทรงผมแกะลายตามแบบนักฟุตบอลคนดัง เอกมากับปู่ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมเพื่อย่าซึ่งเพิ่งพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทุกคนมาพบกันตั้งแต่วันเดินทาง พอรู้จักกันแล้วก็เริ่มพูดคุย และหยอกล้อกันเมื่อมีโอกาส
ตลอดการอบรมมีระเบียบว่าต้องปิดวาจา และปิดการสื่อสารจากภายนอก ทุกคนจึงต้องปิดโทรศัพท์และฝากไว้กับทีมงาน เด็กๆ ได้ผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดขาวเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ มีป้ายชื่อติดอกเขียนกำกับไว้กับคำว่า “งดพูด ขอบคุณ” เหมือนกันทุกคน เช่น “ปี๊บ งดพูด ขอบคุณ” ดูน่ารัก น่าเอ็นดูมากทีเดียว
จากชีวิตการทำงานรับจ้างอิสระที่มีเฉพาะคู่ชีวิตร่วมบ้าน และมีแม่กับน้องๆ เป็นบ้านหลังที่สอง ฉันได้สัมผัสความวุ่นวายกึ่งโกลาหล จนก่อเป็นความทุกข์ ความเหน็ดเหนื่อย ความรำคาญ ความเบื่อหน่าย หดหู่ และเศร้าใจที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เช้าวันแรกของการอบรม
ปี๊บปล่อยความก้าวร้าวของเขาออกมาแบบจัดเต็ม เพราะมักถูกยายที่เป็นผู้ปกครองกำราบไว้ด้วยคำขู่ และการลงโทษ เขาเป็นเด็กฉลาดที่ดื้อรั้น เกเรเพื่อน และใช้ความรุนแรงแบบไม่ยั้ง โชคดีที่ตัวเองร่างเล็กแบบลูกกรอก หลายครั้งจึงดูเป็นอาการดื้อดึงแบบเด็กๆ และไม่มีผลอื่นตามมา เช่น บาดแผล หรือร่องรอยฟกช้ำบนร่างกาย ยามที่เขาใช้ฝ่ามือตบหน้าเพื่อนหรือทุบลงไปบนแขนขาเพื่อนราวกับระบบอัตโนมัติเมื่อรู้สึกเคียดแค้นหรือถูกขัดใจ แต่ในแง่ความรู้สึก เขามีคู่อริแน่นอน อย่างน้อยก็ปุยนุ่นคนหนึ่ง
ปุยนุ่น ลูกสาวบุญธรรมหนักห้าสิบกิโลของฉันในช่วงแปดวันนี้ เธอเป็นเด็กที่ไร้สติอย่างชัดเจน โดยแสดงออกมาทางวาจาและอารมณ์ด้วยระดับเสียงและสีหน้าท่าทางที่ไม่พบในเด็กอื่น เช่น
“หนู-เกลียด-การ-เดิน-จง-กรม”
เธอพูดลงเสียงหนักทุกคำ พลางหันหน้าหนีและพยายามซุกตัวกับซอกโซฟาที่ตั้งไว้ด้านหลังซึ่งจัดไว้สำหรับผู้สูงวัย เมื่อฉันพยายามแกะเธอออกมาจากตรงนั้น เธอก็จำใจเดินออกมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย และมีสีหน้าบูดบึ้ง เบื่อหน่ายอย่างแรง
ปุยนุ่นแทบไม่มีความอดทนในการนั่งพับเพียบเพื่อสวดมนต์เช้าและเย็นซึ่งถือเป็นกิจกรรมบังคับ ความเจ้าเนื้อทำให้เธอนั่งขัดสมาธิได้นานกว่าพับเพียบ แล้วเธอก็ชอบนั่งกัดเล็บ หรือไม่ก็แคะแกะเกาตามร่างกายแทบตลอดเวลาขณะสวดมนต์ เมื่อฉันหันไปมอง เธอจะรีบพนมมือขึ้นทันที และนานเข้า บางครั้งเธอก็หายตัวไปดื้อๆ และชอบอ้อยอิ่งอยู่ตรงมุมเครื่องดื่มที่มีกล่องขนมขบเคี้ยววางไว้คู่กัน ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ มุมนี้คือจุดนั่งพักดื่มน้ำ ส่วนขนมนั้น เป็นที่ทราบกันว่าให้หยิบรับประทานได้ในช่วงพักอาหารว่างยามบ่าย
แต่สำหรับปุยนุ่นและเด็กๆ ไม่ใช่ พวกเขาชอบมุมนี้มากเป็นพิเศษ เพราะได้รับอนุญาตให้รับประทานได้ตามสมควร แต่ปุยนุ่นก็มักบริโภคมากเกินไปจนยืนยันภาวะน้ำหนักเกินของเธอได้เป็นอย่างดี มากกว่านั้น เธอมักทำเครื่องดื่มและอาหารหกเลอะเทอะทั้งบนเสื้อผ้าของตนเอง พื้นโต๊ะ และพื้นห้องด้วย ไม่รวมถึงการใช้คำหยาบ และอาการแลบลิ้นปลิ้นตา กับยื่นเท้าไปเขี่ยขาคนอื่นใต้โต๊ะอาหาร จนเพื่อนบางคนตั้งข้อรังเกียจและตอบกลับด้วยคำด่าที่หยาบคายพอกัน
ฉันได้รู้พฤติกรรมส่วนตัวของปุยนุ่นอีกอย่างจากการที่นอนห้องเดียวกัน และนอนใกล้กัน คือ การปัสสาวะรดที่นอน ก่อนจะทำลายหลักฐานด้วยการซุกกางเกงเปียกๆ ตัวนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่รูดซิปปิดเรียบร้อย กระทั่งฉันต้องรื้อกระเป๋าเธอดู ดมกลิ่น แล้วไปตามเจ้าตัวมาดูเพื่อให้ยอมรับ ในขณะที่เธอพูดหน้าตาเฉยว่า
“หนูไม่รู้สึกตัวเลยอ่ะ”
งานนี้นอกจากต้องซักผ้าเปื้อนๆ จากความซุกซนและดื้อรั้นของปี๊บและปุยนุ่นแล้ว ฉันยังต้องซักกางเกงที่เปียกปัสสาวะและทำความสะอาดกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอที่เหม็นอับใบนั้นให้ด้วย น่าคิดว่ากางเกงนอนตัวนั้นหนามากเป็นพิเศษราวกับออกแบบไว้รองรับปัสสาวะของเธอโดยตรง คืนต่อมาฉันจึงต้องตื่นกลางดึกแล้วปลุกเธอไปห้องน้ำ แต่ปุยนุ่นนอนขี้เซาเหลือเกิน ขนาดเขย่าตัวแรงๆ และใช้มือตบสะโพกสามสี่ครั้ง เธอก็ยังไม่รู้สึกตัวง่ายๆ
(ต่อด้านล่าง)
บทความวันจันทร์ (6 กค. 63) : เลี้ยงเด็กในห้องกรรมฐาน
โดย วรา วราภรณ์
สำหรับคนไม่มีลูก ฉันแทบไม่รู้เลยว่า จะเปรียบเทียบระดับความดื้อรั้นของเด็กสมัยนี้กับเมื่อก่อนสักสามสิบปีที่ผ่านมาได้อย่างไรบ้าง และไม่แน่ใจด้วยว่า เด็กสมัยไหนจะร้ายกาจมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ ในปีที่ห้าสิบของชีวิต ฉันมีโอกาสเลี้ยงเด็กในสภาพที่เกือบจะเป็นการเลี้ยงดูลูกตั้งแต่สองคนจนถึงเก้าคนในเวลาแปดวัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจว่าคงจะเป็นหนเดียวเท่านี้เอง
พวกเขาเป็นเด็กต่างจังหวัด อายุตั้งแต่เจ็ดขวบ แปดขวบ สิบขวบ สิบสอง มากที่สุดคือสิบสี่ปี เป็นหญิงและชายเกือบเท่าๆ กัน กิจกรรมนี้คือ การอบรมวิปัสสนากรรมฐาน หลักสูตร 7 คืน 8 วัน ซึ่งมีคณะทำงานชุดหนึ่งเป็นผู้ดำเนินงาน อันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กๆ โดยตรง แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียนในฤดูร้อน ด้วยความหวังดี ฉันจึงชักชวนผู้ปกครองในหมู่บ้านให้พาเด็กๆ มาร่วมด้วย เพราะนอกจากไม่ปิดกั้นเด็กแล้วยังไม่เก็บเงินอีกต่างหาก
พอจวนถึงกำหนด ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามแผน เพราะกลุ่มเป้าหมาย 3-4 ครอบครัวที่ชวนไว้เกิดเปลี่ยนใจไม่มา เด็กหลายคนจึงพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ฉันจึงชวนลูกหลานของเพื่อนและคนที่สนใจแทน จึงมาลงเอยที่มีผู้ปกครองพร้อมใจกันฝากเด็กๆ โดยที่ตนเองไม่มาด้วยรวมหกคน และเมื่อมาสมทบกับเด็กในพื้นที่อื่นๆ กิจกรรมรอบนี้จึงมีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 17 คน
เด็กที่ฉันต้องดูแลโดยตรงชนิดนอนร่วมห้องมีสามคน คือ ปี๊บ เด็กชายวัยเจ็ดขวบตัวกระจ้อยร่อย เคลื่อนไหวปรู๊ดปร๊าด ถ้าไม่วิ่งก็กระโดด และออกท่าดื้อในวันแรกๆ เลยทีเดียว, ปุยนุ่น เด็กหญิงแปดขวบที่มีน้ำหนักตัวห้าสิบกิโลกรัม เธอผละจากอ้อมอกย่ามาสู่อ้อมอกของฉันอย่างลั้ลลายิ่ง เป็นเด็กคนหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้ฉันอย่างตราตรึงที่สุดโดยไม่นึกไม่ฝัน และอีกคนคือ เนม เด็กหญิงหน้าตาคมขำวัยสิบขวบ เธอค่อนข้างว่านอนสอนง่ายและไม่มีพิษสงอะไร
นอกเหนือจากนี้ คือเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานของทีมงาน ได้แก่ โบ และโอเล่ เด็กหญิงสองพี่น้องต่างพ่อกัน โบโตแล้วสิบสี่ปี รักสวยรักงาม มีจริตสาว ทั้งที่ยังไม่มีพัฒนาการทางกายแม้แต่น้อย ส่วนโอเล่วัยเจ็ดขวบ ยังพูดไม่ชัดจนเรียกชื่อฉันผิดเสมอ เธอขี้แย ช่างฟ้อง กินจุ ตัวกลม ยางยืดกางเกงของเธอมักจะหลุดจากเอวมาเกาะอยู่ที่สะโพกเห็นร่องก้นจึงทำให้เป็นตัวตลกของเพื่อนๆ ในวัยที่ไม่ประสีประสา โอเล่ชอบเข้าห้องอาบน้ำพร้อมกันกับปุยนุ่น แล้วก็เล่นด้วยกันภายในนั้นอย่างครื้นเครงก่อนที่จะทะเลาะกันเสียงดังตามมา
นอกจากนี้ คือ น้อยหน่า วัยสิบสาม เธอเป็นเด็กสมองช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่มีรอบเดือนและร่างกายที่บ่งว่าเป็นสาวแล้ว น้อยหน่าชอบนำน้องๆ ฝืนกฎระเบียบด้วยการพูดคุยและเล่นกันเสมอ ขณะที่ฝั่งเด็กชายจากอำเภอเดียวกัน คือ แยม วัยสิบสี่ เขาตัวโตและมีวุฒิภาวะสูงกว่าวัย คอยดูแลน้องพิการที่นั่งรถเข็นมาด้วยคนหนึ่งคือ มะยม สองคนนี้มากับแม่ที่สนใจการปฏิบัติธรรม คนสุดท้ายคือ เอก เด็กชายวัยสิบสอง หน้าตาดี ทรงผมแกะลายตามแบบนักฟุตบอลคนดัง เอกมากับปู่ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมเพื่อย่าซึ่งเพิ่งพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทุกคนมาพบกันตั้งแต่วันเดินทาง พอรู้จักกันแล้วก็เริ่มพูดคุย และหยอกล้อกันเมื่อมีโอกาส
ตลอดการอบรมมีระเบียบว่าต้องปิดวาจา และปิดการสื่อสารจากภายนอก ทุกคนจึงต้องปิดโทรศัพท์และฝากไว้กับทีมงาน เด็กๆ ได้ผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดขาวเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ มีป้ายชื่อติดอกเขียนกำกับไว้กับคำว่า “งดพูด ขอบคุณ” เหมือนกันทุกคน เช่น “ปี๊บ งดพูด ขอบคุณ” ดูน่ารัก น่าเอ็นดูมากทีเดียว
จากชีวิตการทำงานรับจ้างอิสระที่มีเฉพาะคู่ชีวิตร่วมบ้าน และมีแม่กับน้องๆ เป็นบ้านหลังที่สอง ฉันได้สัมผัสความวุ่นวายกึ่งโกลาหล จนก่อเป็นความทุกข์ ความเหน็ดเหนื่อย ความรำคาญ ความเบื่อหน่าย หดหู่ และเศร้าใจที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เช้าวันแรกของการอบรม
ปี๊บปล่อยความก้าวร้าวของเขาออกมาแบบจัดเต็ม เพราะมักถูกยายที่เป็นผู้ปกครองกำราบไว้ด้วยคำขู่ และการลงโทษ เขาเป็นเด็กฉลาดที่ดื้อรั้น เกเรเพื่อน และใช้ความรุนแรงแบบไม่ยั้ง โชคดีที่ตัวเองร่างเล็กแบบลูกกรอก หลายครั้งจึงดูเป็นอาการดื้อดึงแบบเด็กๆ และไม่มีผลอื่นตามมา เช่น บาดแผล หรือร่องรอยฟกช้ำบนร่างกาย ยามที่เขาใช้ฝ่ามือตบหน้าเพื่อนหรือทุบลงไปบนแขนขาเพื่อนราวกับระบบอัตโนมัติเมื่อรู้สึกเคียดแค้นหรือถูกขัดใจ แต่ในแง่ความรู้สึก เขามีคู่อริแน่นอน อย่างน้อยก็ปุยนุ่นคนหนึ่ง
ปุยนุ่น ลูกสาวบุญธรรมหนักห้าสิบกิโลของฉันในช่วงแปดวันนี้ เธอเป็นเด็กที่ไร้สติอย่างชัดเจน โดยแสดงออกมาทางวาจาและอารมณ์ด้วยระดับเสียงและสีหน้าท่าทางที่ไม่พบในเด็กอื่น เช่น
“หนู-เกลียด-การ-เดิน-จง-กรม”
เธอพูดลงเสียงหนักทุกคำ พลางหันหน้าหนีและพยายามซุกตัวกับซอกโซฟาที่ตั้งไว้ด้านหลังซึ่งจัดไว้สำหรับผู้สูงวัย เมื่อฉันพยายามแกะเธอออกมาจากตรงนั้น เธอก็จำใจเดินออกมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย และมีสีหน้าบูดบึ้ง เบื่อหน่ายอย่างแรง
ปุยนุ่นแทบไม่มีความอดทนในการนั่งพับเพียบเพื่อสวดมนต์เช้าและเย็นซึ่งถือเป็นกิจกรรมบังคับ ความเจ้าเนื้อทำให้เธอนั่งขัดสมาธิได้นานกว่าพับเพียบ แล้วเธอก็ชอบนั่งกัดเล็บ หรือไม่ก็แคะแกะเกาตามร่างกายแทบตลอดเวลาขณะสวดมนต์ เมื่อฉันหันไปมอง เธอจะรีบพนมมือขึ้นทันที และนานเข้า บางครั้งเธอก็หายตัวไปดื้อๆ และชอบอ้อยอิ่งอยู่ตรงมุมเครื่องดื่มที่มีกล่องขนมขบเคี้ยววางไว้คู่กัน ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ มุมนี้คือจุดนั่งพักดื่มน้ำ ส่วนขนมนั้น เป็นที่ทราบกันว่าให้หยิบรับประทานได้ในช่วงพักอาหารว่างยามบ่าย
แต่สำหรับปุยนุ่นและเด็กๆ ไม่ใช่ พวกเขาชอบมุมนี้มากเป็นพิเศษ เพราะได้รับอนุญาตให้รับประทานได้ตามสมควร แต่ปุยนุ่นก็มักบริโภคมากเกินไปจนยืนยันภาวะน้ำหนักเกินของเธอได้เป็นอย่างดี มากกว่านั้น เธอมักทำเครื่องดื่มและอาหารหกเลอะเทอะทั้งบนเสื้อผ้าของตนเอง พื้นโต๊ะ และพื้นห้องด้วย ไม่รวมถึงการใช้คำหยาบ และอาการแลบลิ้นปลิ้นตา กับยื่นเท้าไปเขี่ยขาคนอื่นใต้โต๊ะอาหาร จนเพื่อนบางคนตั้งข้อรังเกียจและตอบกลับด้วยคำด่าที่หยาบคายพอกัน
ฉันได้รู้พฤติกรรมส่วนตัวของปุยนุ่นอีกอย่างจากการที่นอนห้องเดียวกัน และนอนใกล้กัน คือ การปัสสาวะรดที่นอน ก่อนจะทำลายหลักฐานด้วยการซุกกางเกงเปียกๆ ตัวนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่รูดซิปปิดเรียบร้อย กระทั่งฉันต้องรื้อกระเป๋าเธอดู ดมกลิ่น แล้วไปตามเจ้าตัวมาดูเพื่อให้ยอมรับ ในขณะที่เธอพูดหน้าตาเฉยว่า
“หนูไม่รู้สึกตัวเลยอ่ะ”
งานนี้นอกจากต้องซักผ้าเปื้อนๆ จากความซุกซนและดื้อรั้นของปี๊บและปุยนุ่นแล้ว ฉันยังต้องซักกางเกงที่เปียกปัสสาวะและทำความสะอาดกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอที่เหม็นอับใบนั้นให้ด้วย น่าคิดว่ากางเกงนอนตัวนั้นหนามากเป็นพิเศษราวกับออกแบบไว้รองรับปัสสาวะของเธอโดยตรง คืนต่อมาฉันจึงต้องตื่นกลางดึกแล้วปลุกเธอไปห้องน้ำ แต่ปุยนุ่นนอนขี้เซาเหลือเกิน ขนาดเขย่าตัวแรงๆ และใช้มือตบสะโพกสามสี่ครั้ง เธอก็ยังไม่รู้สึกตัวง่ายๆ
(ต่อด้านล่าง)