JJNY : พิชัยห่วงงบฯ64ไม่ฟื้นศก./ปิยบุตรเตือนไม่มีความจำเป็นคงพรก./แม่ตกงาน พาลูกลักชุดนร./แม่ตกงาน โพสต์ยกลูกให้คนอื่น

“พิชัย”ห่วงงบฯ64 ล้าสมัย ไม่ฟื้นศก.เตือน“บิ๊กตู่”ศึกษาหนี้ 5 ประเภทเหมือนระเบิดเวลา
https://www.matichon.co.th/economy/news_2249814
 

 
“พิชัย”ห่วงจัดงบฯ64 ล้าสมัย ไม่ฟื้นศก.เตือน “บิ๊กตู่”ศึกษาหนี้ 5 ประเภทเหมือนระเบิดเวลา
 
วันที่ 1 ก.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่สภาจะพิจารณางบประมาณปี 64 จำนวนเงิน 3.3 ล้านล้านบาท โดยจะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกถึง 623,000 ล้านบาทนั้น จากข้อมูลที่ได้รับเป็นห่วงว่าจะเป็นการจัดงบประมาณตามแนวทางเดิมที่ทำมาตลอด 6 ปี ซึ่งล้มเหลวมาโดยตลอด การคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ก็คงจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักให้กลับมาได้ อีกทั้งแนวทางเศรษฐกิจของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลังโควิด การยึดติดกรอบเดิมจะยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจไทยยากที่จะฟื้นได้ เพราะปัจจุบันการใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องจักรเดียวที่เหลืออยู่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงควรต้องริ้องบประมาณมาจัดลำดับความสำคัญใหม่ทั้งหมด งบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะต้องถูกตัดให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะงบทางการทหารและความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมาและยังมีการนำงบกลางไปจัดซื้ออาวุธกันอีก ยิ่งจะต้องถูกตัดให้เหลือน้อยที่สุด โดยต้องทุ่มงบประมาณในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจที่จะเข้ากับโลกในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสาธารณสุขและระบบการศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
 
ทั้งนี้อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความเข้าใจเศรษฐกิจในระดับต่ำได้ศึกษาเรื่อง หนี้ 5 ประเภท คือ หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ หนี้เสียในระบบการเงิน และ หนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศไทยในปัจจุบันและจะเป็นปัญหาใหญ่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต หากรัฐบาลขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหนี้นี้ ซึ่งตลอดเวลา 6 ปีที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้บริหารประเทศมา ได้สร้างปัญหาหนี้เหล่านี้ให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
 
นายพิชัย กล่าวว่า ขออธิบายพร้อมแนะแนวทางแก้ไขดังนี้ หนี้สาธารณะของไทย รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้งบประมาณของประเทศไปแล้วและถ้ารวมปี 2564 ด้วยจะใช้กว่า 21 ล้านล้านบาท จะสร้างหนี้สาธารณะแล้วกว่า 4 ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 8 ล้านล้านบาท โดยการจัดเก็บรายได้ของรัฐจะได้ต่ำกว่าประมาณการ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะติดลบหนักถึง 8.1% หรือมากกว่า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งเกินกรอบ 60% มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของประเทศ เพราะไทยจัดเก็บรายได้ได้เพียง 16-18% ของจีดีพีเท่านั้น
 
“พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องรู้ว่าปัจจุบันการใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจเดียวที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะการส่งออกติดลบหนักถึง 22.5% การท่องเที่ยวแทบไม่มีเลย การลงทุนหดหาย และ ประชาชนขาดรายได้ในการบริโภค ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังใช้จ่ายโดยไม่ก่อเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักมากขึ้น” นายพิชัยกล่าว
 


'ปิยบุตร' เตือน 'รัฐบาล' ยันไม่มีความจำเป็นใดเหลืออยู่ ในการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2249860

‘ปิยบุตร’ เตือน ‘รัฐบาล’ ยันไม่มีความจำเป็นใดเหลืออยู่ ในการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า แสดงความเห็นเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดย ระบุว่า ไม่มีความจำเป็นใดหลงเหลือ ในการคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
 
วันนี้คณะรัฐมนตรีมีมติต่อเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ออกไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 ก.ค.
แต่ในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่ในประเทศติดต่อกันมานานกว่า 34 วันแล้ว ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มีการคลายล็อกหลายเฟส ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร โรงเรียน สถานบันเทิง ผับ บาร์​ ก็เริ่มกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง แล้วเหตุใดคณะรัฐมนตรียังมีมติขยายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน?
 
ผลของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินคือการรวบอำนาจทั้งหมดไปที่นายกรัฐมนตรี และหลายครั้งหลานหนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอาจไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำใดๆ เลย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ แต่บางช่วงบางตอนมนุษย์ยอมให้รัฐออกมาตรการมาบังคับตนเองได้ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญของวิกฤตการณ์ จึงยอมให้รัฐใช้อำนาจพิเศษเข้ามาแก้ไขวิกฤตปัญหา
อย่างไรก็ตาม เวลาจะประเมินว่าสถานการณ์ใดฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน ต้องพิจารณา ณ ช่วงเวลาต่างๆ กันว่าข้อเท็จจริงตอนนั้นฉุกเฉินจำเป็นหรือไม่อย่างไร?
 
ณ วันนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าสถานการณ์โควิด-19ในประเทศไทยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นและมีตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเป็นศูนย์ติดต่อกันนานกว่าหนึ่งเดือน แล้วยังคงสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ รัฐบาลเองก็มีเครื่องมือทางกฎหมายและ พ.ร.บ. อีกหลายฉบับที่สามารถนำมาใช้ป้องกันโควิด-19 ได้ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนใดๆ หลงเหลืออีกต่อไปที่จะให้คณะรัฐมนตรีคงสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ต่อไป
 
คำถามคือ เมื่อไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะยังคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ทำไม?
 
สถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้มีไว้อำนวยความสะดวกแก่รัฐบาลในการใช้อำนาจ
 
สถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้มีไว้สนองตัณหาหรือความมักง่ายของรัฐบาล วันไหนอยากออกกฎก็ออก พรุ่งนี้อยากแก้ก็แก้
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่สามารถประกาศแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด อยากใช้เมื่อไหร่ก็ใช้
 
นี่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือการใช้อำนาจโดยบิดผัน (Abuse of power) หมายความว่ามีกฎหมายให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่หรือรัฐบาล แต่กลับใช้อำนาจไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย
 
จนตอนนี้เริ่มเกิดคำถามว่าเมื่อเข้าสู่เดือนที่สี่ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อจัดการกับโควิด-19 แต่นี่คือการฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมคนมิให้ออกมาแสดงออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ออกมาแสดงออกเพื่อต่อต้านรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
หากเป็นเช่นนั้นจริงนี่คือ “การใช้อำนาจโดยบิดผัน” เพราะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในนามของการรักษาโรค ในนามของการป้องกันโรคระบาด แต่เอาเข้าจริงต้องการควบคุมการชุมนุมและการแสดงออก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกมาเพื่อต้องการควบคุมโรคหรือควบคุมคนกันแน่?
 
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งล่าสุดนี้ เป็นครั้งที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 รวมกันแล้วประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นเวลายาวนานกว่า 4 เดือนเศษ
 
อย่ายอมให้รัฐบาลชุดนี้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อปี 2557 คสช. ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ และมีรัฐธรรมนูญ 60 มาสืบทอดอำนาจต่อ มาวันนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์กำลังก่อ “รัฐประหารโควิด” หรืออย่างที่สื่อญี่ปุ่นกำลังเรียกว่านี่คือ “รัฐประหารทางสาธารณสุข” ให้ได้รักษาอำนาจของตนเองต่อไป นี่คือการบิดเบือนความจริงเอาเรื่องสุขภาพมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน อ้างเรื่องสุขภาพเพื่อรวบอำนาจไว้ให้ตนเองแต่เพียงผู้เดียว และอ้างเรื่องสุขภาพเพื่อเอามาใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามคนที่เห็นแตกต่างจากรัฐบาล
 
อย่ายอมให้ความผิดปกติเป็นความปกติ
 
อย่ายอมให้พวกเขาสถาปนาสถานการณ์ฉุกเฉินให้กลายเป็นเรื่องถาวร
 
อย่ายอมให้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อ
 
อย่ายอมให้เขารัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่