.
.
ต่อมา พ่อของแม่ที่เป็นพ่อหม้าย
ได้แต่งงานใหม่ เพื่อหาคนมาช่วยงานท้องนา
กับเหงาเพราะอยู่คนเดียวตามประสาผู้ชาย
เพราะไม่มีคนหุงหาอาหาร/ซักผ้าให้
เลยอยากให้แม่กลับไปอยู่ด้วย
เพราะมีแม่ใหม่แล้วในตอนนี้
แต่ป้า(แม่) กับตา ไม่ยอมในเรื่องนี้
เพราะรักและห่วงใยส่วนหนึ่ง
กับตอนนี้โตใช้งานได้แล้ว
ทั้งยังรักและดูแลน้องสาวได้
การให้กลับไปอยู่กับแม่ใหม่
ก็กลัวถูกรังแกหรือถูกใช้แรงงาน
แบบโตแล้วใช้งานได้
เรื่องนี้ทำให้แม่เคยพูดว่า
ลูกเลี้ยงยังไงก็คือ ลูกเลี้ยง
ต่อให้รักขนาดไหนก็ไม่เท่าลูกที่แท้จริง
เพราะเคยเจอกับตนเองตอนเด็กเด็ก
เรื่องนี้มีส่วนทำให้หลานสาวแม่คนหนึ่ง
แม่ไม่ยอมให้กลับไปอยู่กับพ่อกับแม่คนที่สองของหลานสาว
ต่อมาหลานสาวมีน้องชายและน้องสาวฝาแฝดสองคน
แต่พี่น้องทั้งสี่คนต่างรักใคร่กันดี
แม่ไม่ยอมให้หลานสาวกลับไปอยู่กับพ่อ(แม่คนที่สอง)
เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอม แกขึ้นเสียง
บ่นจนพ่อรำคาญต้องตามใจแกก็แล้วกัน
แม่ก็เลี้ยงหลานสาวคนนี้จนเติบโต
และยังนั่งรถเข็นไปงานแต่งงาน
พร้อมกับมอบสินสอดแหวนหมั้นให้ด้วย
เพราะแม่ส่งเสียเลี้ยงดูจนหลานสาวจบปริญญาโท
จนลูกลูกของแม่ต้องแซวแม่ว่า
มีลูกสาวคนสุดท้องที่เลี้ยงจนโตและแต่งงาน
แม่ของหลานสาวคนนี้ตายทั้งกลมเพราะโรคหัวใจ
กับมีลูกชายในท้อง เพราะไม่ยอมกินยาบำรุงจีน
พอเผลอก็แอบเทยาตัวนี้ทิ้ง
จนแม่บ่นว่า ดื้อมาก ไปเชื่อใครก็ไม่รู้
ที่ห้ามกินยาโน่นยานี้
ขนาดแม่นำยาราชสำนักจีน จับซาไท้เป้า
เป็นยาที่ให้แม่กินแล้วบำรุงเด็กในท้อง
ก็ไม่ยอมกิน หรือถ้าเผลอก็เททิ้ง
ยายุคนั้นยังต้องต้มเป็นหม้อหม้อ
ต่อมายุคหลังมีคนผลิตเป็นแคปซูล
แม่เล่าว่าก่อนที่แม่หลานสาวจะตาย
ได้จับมือแม่ไว้แน่น พร้อมกับออกปากว่า
ฝากดูแลลูกสาวตนเองด้วย
เมื่อแกตายแล้วมีการทำพิธีฝังศพที่สุสานบ้านพรุ
ซึ่งพี่น้องของหลานสาวยังไปไหว้ทุกปีวันเชงเม้ง
เรื่องของแม่ที่เมืองจีนเลยจบลงแบบเซ็งเซ็ง
เพราะแม่ไม่ได้กลับไปอยู่กับพ่อที่บ้านอีกเลย
แม่อยู่กับพ่อแม่บุญธรรมจนโต
แต่ก็ไปไปมามาบ้านพ่อกับแม่ที่สองบ้าง
เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก
พ่อกับแม่คนที่สองมีลูกสาวถึงสามคน
ทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่ที่ฮ่องกง กว่างเจา และซัวเถา
แม่กับลูกสาวแม่ยังเคยไปเยี่ยมเยียนหลายครั้ง
ต่อมาพ่อกับแม่คนที่สองของแม่
ก็ไปขอลูกชายมาเลี้ยงคนหนึ่ง
เพราะที่บ้านมีแต่ลูกสาวถึงสี่คน(รวมแม่ด้วย)
คนจีนมีประเพณีดั้งเดิมมากคือ
คนถือธูปในงานศพ/พิธีกงเต็ก
ต้องเป็นลูกชายคนโตหรือหลานชายคนโต
ครอบครัวไหนไม่มีลูกชาย
ต้องหาลูกชายบุญธรรมมาทดแทน
คนส่วนมากถ้าไม่มีลูกของตนเอง
ก็มักจะไปขอลูกชายจากญาติพี่น้องตนเอง
แบบขอมาเลี้ยงดูเป็นลูกของตนเอง
ของไทยก็เช่น ดร.อาทิตย์ ดั้งเดิมก็เป็นคนสะเดา
พี่ชายแกคนหนึ่งเป็นอาจารย์ที่ KL University
ลุงกับป้าขอ ดร.อาทิตย์ มาเลี้ยงเป็นลูกที่ กทม
อีกตัวอย่างเช่น นพ. มงคล
ก็ไปขอหลานชายจากน้องสาวมารับเลี้ยง
ต่อมา ได้ลูกอิจฉาอีกสองคน
แต่ก็ยังรักและเลี้ยงดูหลานคนนี้เหมือนลูกตนเอง
ส่งเสียเลี้ยงดูจนไปเปิดร้านอาหารที่ออสซี่
ที่หาดใหญ่ ในสมัยก่อนนานแล้ว
มีสองครอบครัว ต้องไปหาลูกชายแขกทมิฬ
มารับเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม
ตัวดำจนเขียว ถ้าสังเกตดีดี จะเห็นเป็นสีครามที่ใบหน้า
คนทั้งตำบลต่างรู้กันว่าสองคนนี้เป็นลูกบุญธรรม
แต่ทั้งคู่ต่างพูดภาษาจีนได้เป็นอย่างดี
เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่บุญธรรม
ตอนนี้ไม่เจอทั้งคู่แล้วในหาดใหญ่
เพราะเฒ่าชะแรแก่ชรากันทั้งคู่แล้ว
พ่อแม่บุญธรรมครอบครัวหนึ่งที่มีลูกทมิฬ
ก็มีลูกสาวอยู่คนหรือสองคน
ยังเห็นทำมาค้าขายอยู่ในตลาด
กอปรกับประเพณีดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ
และไม่นิยมกันเหมือนแต่ก่อนแล้ว
บางครอบครัวที่ไม่มีลูกชาย
ก็จะให้ลูกเขยที่ยากจนแต่อยากมีเมีย
ให้แต่งงานกับลูกสาวแต่มีลักษณะเป็นเขยนอก
ไม่มีปากไม่เสียงเหมือนแค่คนมาพักอาศัย
คือ ถ้าลูกสาวมีลูกชายก็ให้ใช่แซ่พ่อตาแม่ยาย
ธรรมเนียมนี้ในญี่ปุ่นก็มีเช่นกัน
ที่ลูกเขยยอมใช้สกุลพ่อตาแม่ยาย
ทั้งนี้เพื่อสืบสกุลของพ่อตาแม่ยาย
ยิ่งถ้ามีลูกชายก็สืบต่อตระกูลพ่อตาแม่ยายต่อไป
กลับมาที่ซัวเถา เมืองจีน
ลูกชายบุญธรรมของพ่อแม่คนที่สอง
จำได้ว่าแม่เรียกว่า บักกุ่ย
หัวโตโต ขี้ร้อง มาฟ้องแม่ว่า
ถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนว่า เป็นลูกเลี้ยง
พี่สาวกับน้องสาวแม่ทุกคน
ต่างต้องปลอบโยนว่า ไม่จริง
ทุกคนต่างรักน้องชายคนนี้
ถ้าใครมาหยอกล้ออีกจะไปจัดการ
ก็แค่ประสาเด็ก ๆ คือ ด่าอีกฝ่าย
ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือแบบคลิปในไทย
เพราะเมืองจีนยุคนั้นใครทำร้ายผู้หญิง
จะถูกประณามว่า อ้ายหน้าตัวเหมีย (จาโบ่วหมิ่ง)
ตอนช่วงปี 2518 แม่กลับไปเมืองจีนกับพ่อ
ยังเจอน้องชายคนนี้ที่ซัวเถา
แกแต่งงานมีลูกชายคนหนึ่งแล้ว
และใช้แซ่อึ้งตามแซ่เดิมของแม่
เรื่องลูกมากยากจน นี่คือเรื่องจริง
เพราะความจนเป็นทุกข์ในหมู่ชนผู้เสพกาม
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 หน้า 392 ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย
คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง ย่อมกู้หนี้
แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนกู้หนี้แล้ว ก็จะต้องเสียดอกเบี้ย
แม้การเสียดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็ถูกเขาทวง
แม้การถูกเขาทวงก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนถูกเขาทวง ไม่ให้เขา ก็ถูกตามตัว
แม้การถูกตามตัว ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนถูกเขาตามตัว ไม่ให้เขา ย่อมถูกจองจำ
แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
ท่อนที่เกี่ยวกับพระภิกษุ
ขอตัดออก ©
https://bit.ly/2YjDzLw
ดอกเบี้ยในจีนกับไทยก็แพงมาก
อัตราร้อยละ 5-20 ต่อเดือนในยุคนั้นและต่อ ๆ มา
มีการคืนดอกเบี้ยในรูปข้าวสารเป็นถัง
หรือถ้าบ้านเราเรียกว่า ตกเขียว
ซึ่งมีทั้งลำใย ข้าวเปลือก เป็นต้น
พ่อแม่ของแม่ทั้งคู่ต้องไปกู้ยืมเงินมาเลี้ยงลูก
ทำให้ยากจนลงไปกว่าเดิมมาก
เพราะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง
ทำให้ครอบครัวแม่ต้องยากจนลงกว่าเดิม
เรื่องดอกเบี้ยทำให้คนจีนเกลียดชังนายทุนเงินกู้มาก
หลังจากที่ เหมาเจ๋อตุง ปฏิวัติประเทศจีนสำเร็จ
ก็ยกเลิกระบบเงินตราและสัญญากู้เงินในอดีตทั้งหมด
พร้อมกับลงโทษนายทุนศักดินาเจ้าที่ดิน
ทำให้ชาวนาเป็นไทอีกครั้ง
เลยชื่นชอบเหมาเจ๋อตุงเป็นพิเศษ
เพราะได้รับประโยชน์จากการนี้
เรื่องเงินกู้นี้จำได้จากการปล่อยกู้
ของแก้งค์หมวกกันน็อคแถวบ้าน
มักจะปล่อยกู้ให้แม่ค้าพ่อค้า
ที่ขายของในตลาดสด/มีทำเลประจำ
จะคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันและชำระเป็นรายวัน
เช่น กู้เงิน 10,000 บาทก็จะคิดไปเลย 12,000 บาท
แล้วให้จ่ายวันละ 400 บาท 30 วันจบ
ถ้าจ่ายไม่ได้ก็จะบวกเพิ่มเช้าไป 400 บาทอย่างต่ำอีกวัน
บางเจ้ามีการหักดอกล่วงหน้า เรียกว่า ค่าเปิดปากถุง
คือหักดอกก่อน 2,000 บาท จะได้จริง 8,000 บาท
แต่ต้องจ่ายเต็มคือ 12,000 บาท
ถ้าคิดอัตราดอกเบี้ยตามสูตร
ดอกเบี้ย = (เงินต้น X อัตราดอกเบี้ย X จำนวนวัน) / 36500
จะแพงมากมายกว่าดอกเบี้ยสถาบันการเงิน
แต่เรื่องของเรื่องคือ
คนจนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยากกว่าคนรวย
ทำให้แถวละตินอเมริกาหลายประเทศ
จึงมีนโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุน
และอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนหนึ่ง
ได้นำนโยบายนี้มาใช้ในรูป
แปลงทรัพย์สินเป็นทุน แต่ทำภายหลัง
กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้ชาวบ้าน
และสถาบันการเงินประชาชน
กองทุนหมู่บ้านได้แนวคิดจาก
สัจจะออมทรัพย์ของ
ครูชบ ยอดแก้ว
ที่เริ่มต้นที่ บ้านน้ำขาว อำเภอจะนะ
และขยายไปหลายแห่ง เช่น
สัจจะออมทรัยพ์ของปราชญ์ชาวบ้าน
นายอัมพร ด้วงปาน บ้านคลองเปรียะ
นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ที่คลองหวะ หาดใหญ่
นายเคล้า แก้วเพชร ที่นาหว้า จะนะ
มีพระภิกษุนำไปใช้ที่อีสาน
จนต่อมามีพัฒนาชุมชนเข้าไปร่วมมือ
และขยายแนวคิดนี้ไปหลายจังหวัด
ในช่วงแรกพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำนโยบายเรื่องนี้
ได้แวะมาดูกองทุนสัจจะออมทรัยพ์แถวนี้ก่อน
แต่จะให้แค่หมู่บ้านละ 1-2 แสนบาท
แบบกลัวกลัวกล้ากล้า กลัวชาวบ้านเบี้ยวหนี้
แต่อดีตนายกทักษิณ ได้มาดูกองทุนแห่งนี้
ชอบใจเลยมอบให้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท
เรียกว่า โครงการกองทุนหมู่บ้าน
ได้ทั้งการหาเสียงและหมุนเวียนเศรษฐกิจ
จำนวน 70,000 กว่าหมู่บ้าน
จำนวนเงิน 70,000 กว่าล้านบาท
เงินเลยสะพัด เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป
ทำให้เศรษฐกิจรากหญ้างอกงามขึ้น
แบบ Multiplier มากกว่า 6 รอบ
ส่วนกองทุนหมู่บ้านไหนล้ม ก็ซวยไป
ต้องไปติดตามเรียกเงินคืนกันเอง
เพราะเข้าข่ายเงินหลวง ตกน้ำไม่ไหล
ตกไฟไม่ไหม่ แต่บางคนตกระกำลำบาก
กับการที่ไปยุ่งเกี่ยว/รับผิดชอบเงินหลวง
กรุงไทย-เงินกำลังจะหมุนไป
เรื่องเล่าไร้สาระ จำที่มาไม่ได้
Multiplier ในครั้งหนึ่งตามนิยายเรื่องนี้
ณ ทุ่งหมาว้อ ดินแดนในสารขัณฑ์
มีนายทุนจากเมืองหลวงมาหาซื้อที่ดินมือเปล่าในป่า
ได้แวะถามที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้าน
ว่ามีคนจะขายที่ดินหรือไม่
เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกมีของตนเอง
แต่ที่อยู่ไกลไปหน่อยสนใจจะดูหรือไม่
นายทุนบอกสนใจแต่ขอดูที่ก่อน
เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกขอมัดจำก่อน 2,000.-บาท
ถ้าไม่ชอบใจอย่างไรค่อยคืนเงินให้ก็แล้วกัน
นายทุนบอกได้ไม่มีปัญหาแล้ววางเงินมัดจำให้
เจ้าของโรงเตี๊ยมเลยบอกคนงานพานายทุนไปดูที่ดิน
พอนายทุนเดินทางออกไปจากโรงเตี๊ยม
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งไปจ่ายเงินค่าหมู
ที่ค้างเจ้าของเขียงหมูอยู่ 2,000.-บาท
เจ้าของเขียงหมูได้เงิน 2,000.-บาทแล้ว
รีบวิ่งไปจ่ายเงินค่าหมู่ที่ค้างเจ้าของคอกหมู 2,000.-บาท
เจ้าของคอกหมูได้เงิน 2,000.-บาท
ก็รีบวิ่งไปจ่ายหนี้ค่าอาหารสัตว์ให้พ่อค้าร้านขายอาหารสัตว์ 2,000.-บาท
เจ้าของร้านอาหารสัตว์รับเงินแล้วรีบโทรศัพท์บอกกิ๊กให้มารับเงิน 2,000.-บาท
เป็นรางวัลปลอบใจที่ทะเลาะกันจนเธอร้องไห้หนักมาก
ในวันที่อยากให้วันพรุ่งนี้เป็นของเมื่อวาน
วันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ (เหตุเกิดวันไหน ?)
กิ๊กรับเงินแล้วหอมแก้มพ่อค้าหนี่งทีแล้วรีบเดินไปโรงเตี๊ยม
จ่ายค่าอาหารกับห้องพักที่เธอยังค้างหนี้อยู่ 2,000.-บาท
ไม่นานนักนายทุนเดินทางกลับมาขอเงินมัดจำคืน
เจ้าของโรงเตี๊ยมจ่ายเงินคืนให้ 2,000.-บาท
นี่คือ ตัวอย่างสมมุติของ Multiplier
ที่เงินกำลังจะหมุนไป ๆ เรื่อย ๆ
สุดท้ายกลับคืนมาสู่ที่จุดเดิม
แม้ว่าจะไม่มีการรับเงินเกิดขึ้นในหมู่บ้าน
แต่ทำให้ชาวบ้านทุกคนปลดหนี้ได้หมด
เรื่องเล่าของแม่ ทวิบท
ได้แต่งงานใหม่ เพื่อหาคนมาช่วยงานท้องนา
กับเหงาเพราะอยู่คนเดียวตามประสาผู้ชาย
เพราะไม่มีคนหุงหาอาหาร/ซักผ้าให้
เลยอยากให้แม่กลับไปอยู่ด้วย
เพราะมีแม่ใหม่แล้วในตอนนี้
แต่ป้า(แม่) กับตา ไม่ยอมในเรื่องนี้
เพราะรักและห่วงใยส่วนหนึ่ง
กับตอนนี้โตใช้งานได้แล้ว
ทั้งยังรักและดูแลน้องสาวได้
การให้กลับไปอยู่กับแม่ใหม่
ก็กลัวถูกรังแกหรือถูกใช้แรงงาน
แบบโตแล้วใช้งานได้
เรื่องนี้ทำให้แม่เคยพูดว่า
ลูกเลี้ยงยังไงก็คือ ลูกเลี้ยง
ต่อให้รักขนาดไหนก็ไม่เท่าลูกที่แท้จริง
เพราะเคยเจอกับตนเองตอนเด็กเด็ก
เรื่องนี้มีส่วนทำให้หลานสาวแม่คนหนึ่ง
แม่ไม่ยอมให้กลับไปอยู่กับพ่อกับแม่คนที่สองของหลานสาว
ต่อมาหลานสาวมีน้องชายและน้องสาวฝาแฝดสองคน
แต่พี่น้องทั้งสี่คนต่างรักใคร่กันดี
แม่ไม่ยอมให้หลานสาวกลับไปอยู่กับพ่อ(แม่คนที่สอง)
เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอม แกขึ้นเสียง
บ่นจนพ่อรำคาญต้องตามใจแกก็แล้วกัน
แม่ก็เลี้ยงหลานสาวคนนี้จนเติบโต
และยังนั่งรถเข็นไปงานแต่งงาน
พร้อมกับมอบสินสอดแหวนหมั้นให้ด้วย
เพราะแม่ส่งเสียเลี้ยงดูจนหลานสาวจบปริญญาโท
จนลูกลูกของแม่ต้องแซวแม่ว่า
มีลูกสาวคนสุดท้องที่เลี้ยงจนโตและแต่งงาน
แม่ของหลานสาวคนนี้ตายทั้งกลมเพราะโรคหัวใจ
กับมีลูกชายในท้อง เพราะไม่ยอมกินยาบำรุงจีน
พอเผลอก็แอบเทยาตัวนี้ทิ้ง
จนแม่บ่นว่า ดื้อมาก ไปเชื่อใครก็ไม่รู้
ที่ห้ามกินยาโน่นยานี้
ขนาดแม่นำยาราชสำนักจีน จับซาไท้เป้า
เป็นยาที่ให้แม่กินแล้วบำรุงเด็กในท้อง
ก็ไม่ยอมกิน หรือถ้าเผลอก็เททิ้ง
ยายุคนั้นยังต้องต้มเป็นหม้อหม้อ
ต่อมายุคหลังมีคนผลิตเป็นแคปซูล
แม่เล่าว่าก่อนที่แม่หลานสาวจะตาย
ได้จับมือแม่ไว้แน่น พร้อมกับออกปากว่า
ฝากดูแลลูกสาวตนเองด้วย
เมื่อแกตายแล้วมีการทำพิธีฝังศพที่สุสานบ้านพรุ
ซึ่งพี่น้องของหลานสาวยังไปไหว้ทุกปีวันเชงเม้ง
เรื่องของแม่ที่เมืองจีนเลยจบลงแบบเซ็งเซ็ง
เพราะแม่ไม่ได้กลับไปอยู่กับพ่อที่บ้านอีกเลย
แม่อยู่กับพ่อแม่บุญธรรมจนโต
แต่ก็ไปไปมามาบ้านพ่อกับแม่ที่สองบ้าง
เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก
พ่อกับแม่คนที่สองมีลูกสาวถึงสามคน
ทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่ที่ฮ่องกง กว่างเจา และซัวเถา
แม่กับลูกสาวแม่ยังเคยไปเยี่ยมเยียนหลายครั้ง
ต่อมาพ่อกับแม่คนที่สองของแม่
ก็ไปขอลูกชายมาเลี้ยงคนหนึ่ง
เพราะที่บ้านมีแต่ลูกสาวถึงสี่คน(รวมแม่ด้วย)
คนจีนมีประเพณีดั้งเดิมมากคือ
คนถือธูปในงานศพ/พิธีกงเต็ก
ต้องเป็นลูกชายคนโตหรือหลานชายคนโต
ครอบครัวไหนไม่มีลูกชาย
ต้องหาลูกชายบุญธรรมมาทดแทน
คนส่วนมากถ้าไม่มีลูกของตนเอง
ก็มักจะไปขอลูกชายจากญาติพี่น้องตนเอง
แบบขอมาเลี้ยงดูเป็นลูกของตนเอง
ของไทยก็เช่น ดร.อาทิตย์ ดั้งเดิมก็เป็นคนสะเดา
พี่ชายแกคนหนึ่งเป็นอาจารย์ที่ KL University
ลุงกับป้าขอ ดร.อาทิตย์ มาเลี้ยงเป็นลูกที่ กทม
อีกตัวอย่างเช่น นพ. มงคล
ก็ไปขอหลานชายจากน้องสาวมารับเลี้ยง
ต่อมา ได้ลูกอิจฉาอีกสองคน
แต่ก็ยังรักและเลี้ยงดูหลานคนนี้เหมือนลูกตนเอง
ส่งเสียเลี้ยงดูจนไปเปิดร้านอาหารที่ออสซี่
ที่หาดใหญ่ ในสมัยก่อนนานแล้ว
มีสองครอบครัว ต้องไปหาลูกชายแขกทมิฬ
มารับเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม
ตัวดำจนเขียว ถ้าสังเกตดีดี จะเห็นเป็นสีครามที่ใบหน้า
คนทั้งตำบลต่างรู้กันว่าสองคนนี้เป็นลูกบุญธรรม
แต่ทั้งคู่ต่างพูดภาษาจีนได้เป็นอย่างดี
เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่บุญธรรม
ตอนนี้ไม่เจอทั้งคู่แล้วในหาดใหญ่
เพราะเฒ่าชะแรแก่ชรากันทั้งคู่แล้ว
พ่อแม่บุญธรรมครอบครัวหนึ่งที่มีลูกทมิฬ
ก็มีลูกสาวอยู่คนหรือสองคน
ยังเห็นทำมาค้าขายอยู่ในตลาด
กอปรกับประเพณีดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ
และไม่นิยมกันเหมือนแต่ก่อนแล้ว
บางครอบครัวที่ไม่มีลูกชาย
ก็จะให้ลูกเขยที่ยากจนแต่อยากมีเมีย
ให้แต่งงานกับลูกสาวแต่มีลักษณะเป็นเขยนอก
ไม่มีปากไม่เสียงเหมือนแค่คนมาพักอาศัย
คือ ถ้าลูกสาวมีลูกชายก็ให้ใช่แซ่พ่อตาแม่ยาย
ธรรมเนียมนี้ในญี่ปุ่นก็มีเช่นกัน
ที่ลูกเขยยอมใช้สกุลพ่อตาแม่ยาย
ทั้งนี้เพื่อสืบสกุลของพ่อตาแม่ยาย
ยิ่งถ้ามีลูกชายก็สืบต่อตระกูลพ่อตาแม่ยายต่อไป
กลับมาที่ซัวเถา เมืองจีน
ลูกชายบุญธรรมของพ่อแม่คนที่สอง
จำได้ว่าแม่เรียกว่า บักกุ่ย
หัวโตโต ขี้ร้อง มาฟ้องแม่ว่า
ถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนว่า เป็นลูกเลี้ยง
พี่สาวกับน้องสาวแม่ทุกคน
ต่างต้องปลอบโยนว่า ไม่จริง
ทุกคนต่างรักน้องชายคนนี้
ถ้าใครมาหยอกล้ออีกจะไปจัดการ
ก็แค่ประสาเด็ก ๆ คือ ด่าอีกฝ่าย
ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือแบบคลิปในไทย
เพราะเมืองจีนยุคนั้นใครทำร้ายผู้หญิง
จะถูกประณามว่า อ้ายหน้าตัวเหมีย (จาโบ่วหมิ่ง)
ตอนช่วงปี 2518 แม่กลับไปเมืองจีนกับพ่อ
ยังเจอน้องชายคนนี้ที่ซัวเถา
แกแต่งงานมีลูกชายคนหนึ่งแล้ว
และใช้แซ่อึ้งตามแซ่เดิมของแม่
เรื่องลูกมากยากจน นี่คือเรื่องจริง
เพราะความจนเป็นทุกข์ในหมู่ชนผู้เสพกาม
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 หน้า 392 ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย
คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง ย่อมกู้หนี้
แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนกู้หนี้แล้ว ก็จะต้องเสียดอกเบี้ย
แม้การเสียดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็ถูกเขาทวง
แม้การถูกเขาทวงก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนถูกเขาทวง ไม่ให้เขา ก็ถูกตามตัว
แม้การถูกตามตัว ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
คนจนถูกเขาตามตัว ไม่ให้เขา ย่อมถูกจองจำ
แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม
ท่อนที่เกี่ยวกับพระภิกษุ
ขอตัดออก © https://bit.ly/2YjDzLw
ดอกเบี้ยในจีนกับไทยก็แพงมาก
อัตราร้อยละ 5-20 ต่อเดือนในยุคนั้นและต่อ ๆ มา
มีการคืนดอกเบี้ยในรูปข้าวสารเป็นถัง
หรือถ้าบ้านเราเรียกว่า ตกเขียว
ซึ่งมีทั้งลำใย ข้าวเปลือก เป็นต้น
พ่อแม่ของแม่ทั้งคู่ต้องไปกู้ยืมเงินมาเลี้ยงลูก
ทำให้ยากจนลงไปกว่าเดิมมาก
เพราะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง
ทำให้ครอบครัวแม่ต้องยากจนลงกว่าเดิม
เรื่องดอกเบี้ยทำให้คนจีนเกลียดชังนายทุนเงินกู้มาก
หลังจากที่ เหมาเจ๋อตุง ปฏิวัติประเทศจีนสำเร็จ
ก็ยกเลิกระบบเงินตราและสัญญากู้เงินในอดีตทั้งหมด
พร้อมกับลงโทษนายทุนศักดินาเจ้าที่ดิน
ทำให้ชาวนาเป็นไทอีกครั้ง
เลยชื่นชอบเหมาเจ๋อตุงเป็นพิเศษ
เพราะได้รับประโยชน์จากการนี้
เรื่องเงินกู้นี้จำได้จากการปล่อยกู้
ของแก้งค์หมวกกันน็อคแถวบ้าน
มักจะปล่อยกู้ให้แม่ค้าพ่อค้า
ที่ขายของในตลาดสด/มีทำเลประจำ
จะคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันและชำระเป็นรายวัน
เช่น กู้เงิน 10,000 บาทก็จะคิดไปเลย 12,000 บาท
แล้วให้จ่ายวันละ 400 บาท 30 วันจบ
ถ้าจ่ายไม่ได้ก็จะบวกเพิ่มเช้าไป 400 บาทอย่างต่ำอีกวัน
บางเจ้ามีการหักดอกล่วงหน้า เรียกว่า ค่าเปิดปากถุง
คือหักดอกก่อน 2,000 บาท จะได้จริง 8,000 บาท
แต่ต้องจ่ายเต็มคือ 12,000 บาท
ถ้าคิดอัตราดอกเบี้ยตามสูตร
ดอกเบี้ย = (เงินต้น X อัตราดอกเบี้ย X จำนวนวัน) / 36500
จะแพงมากมายกว่าดอกเบี้ยสถาบันการเงิน
แต่เรื่องของเรื่องคือ
คนจนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยากกว่าคนรวย
ทำให้แถวละตินอเมริกาหลายประเทศ
จึงมีนโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุน
และอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนหนึ่ง
ได้นำนโยบายนี้มาใช้ในรูป
แปลงทรัพย์สินเป็นทุน แต่ทำภายหลัง
กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้ชาวบ้าน
และสถาบันการเงินประชาชน
กองทุนหมู่บ้านได้แนวคิดจาก
สัจจะออมทรัพย์ของ ครูชบ ยอดแก้ว
ที่เริ่มต้นที่ บ้านน้ำขาว อำเภอจะนะ
และขยายไปหลายแห่ง เช่น
สัจจะออมทรัยพ์ของปราชญ์ชาวบ้าน
นายอัมพร ด้วงปาน บ้านคลองเปรียะ
นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ที่คลองหวะ หาดใหญ่
นายเคล้า แก้วเพชร ที่นาหว้า จะนะ
มีพระภิกษุนำไปใช้ที่อีสาน
จนต่อมามีพัฒนาชุมชนเข้าไปร่วมมือ
และขยายแนวคิดนี้ไปหลายจังหวัด
ในช่วงแรกพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำนโยบายเรื่องนี้
ได้แวะมาดูกองทุนสัจจะออมทรัยพ์แถวนี้ก่อน
แต่จะให้แค่หมู่บ้านละ 1-2 แสนบาท
แบบกลัวกลัวกล้ากล้า กลัวชาวบ้านเบี้ยวหนี้
แต่อดีตนายกทักษิณ ได้มาดูกองทุนแห่งนี้
ชอบใจเลยมอบให้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท
เรียกว่า โครงการกองทุนหมู่บ้าน
ได้ทั้งการหาเสียงและหมุนเวียนเศรษฐกิจ
จำนวน 70,000 กว่าหมู่บ้าน
จำนวนเงิน 70,000 กว่าล้านบาท
เงินเลยสะพัด เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป
ทำให้เศรษฐกิจรากหญ้างอกงามขึ้น
แบบ Multiplier มากกว่า 6 รอบ
ส่วนกองทุนหมู่บ้านไหนล้ม ก็ซวยไป
ต้องไปติดตามเรียกเงินคืนกันเอง
เพราะเข้าข่ายเงินหลวง ตกน้ำไม่ไหล
ตกไฟไม่ไหม่ แต่บางคนตกระกำลำบาก
กับการที่ไปยุ่งเกี่ยว/รับผิดชอบเงินหลวง
Multiplier ในครั้งหนึ่งตามนิยายเรื่องนี้
ณ ทุ่งหมาว้อ ดินแดนในสารขัณฑ์
มีนายทุนจากเมืองหลวงมาหาซื้อที่ดินมือเปล่าในป่า
ได้แวะถามที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้าน
ว่ามีคนจะขายที่ดินหรือไม่
เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกมีของตนเอง
แต่ที่อยู่ไกลไปหน่อยสนใจจะดูหรือไม่
นายทุนบอกสนใจแต่ขอดูที่ก่อน
เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกขอมัดจำก่อน 2,000.-บาท
ถ้าไม่ชอบใจอย่างไรค่อยคืนเงินให้ก็แล้วกัน
นายทุนบอกได้ไม่มีปัญหาแล้ววางเงินมัดจำให้
เจ้าของโรงเตี๊ยมเลยบอกคนงานพานายทุนไปดูที่ดิน
พอนายทุนเดินทางออกไปจากโรงเตี๊ยม
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งไปจ่ายเงินค่าหมู
ที่ค้างเจ้าของเขียงหมูอยู่ 2,000.-บาท
เจ้าของเขียงหมูได้เงิน 2,000.-บาทแล้ว
รีบวิ่งไปจ่ายเงินค่าหมู่ที่ค้างเจ้าของคอกหมู 2,000.-บาท
เจ้าของคอกหมูได้เงิน 2,000.-บาท
ก็รีบวิ่งไปจ่ายหนี้ค่าอาหารสัตว์ให้พ่อค้าร้านขายอาหารสัตว์ 2,000.-บาท
เจ้าของร้านอาหารสัตว์รับเงินแล้วรีบโทรศัพท์บอกกิ๊กให้มารับเงิน 2,000.-บาท
เป็นรางวัลปลอบใจที่ทะเลาะกันจนเธอร้องไห้หนักมาก
ในวันที่อยากให้วันพรุ่งนี้เป็นของเมื่อวาน
วันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ (เหตุเกิดวันไหน ?)
กิ๊กรับเงินแล้วหอมแก้มพ่อค้าหนี่งทีแล้วรีบเดินไปโรงเตี๊ยม
จ่ายค่าอาหารกับห้องพักที่เธอยังค้างหนี้อยู่ 2,000.-บาท
ไม่นานนักนายทุนเดินทางกลับมาขอเงินมัดจำคืน
เจ้าของโรงเตี๊ยมจ่ายเงินคืนให้ 2,000.-บาท
นี่คือ ตัวอย่างสมมุติของ Multiplier
ที่เงินกำลังจะหมุนไป ๆ เรื่อย ๆ
สุดท้ายกลับคืนมาสู่ที่จุดเดิม
แม้ว่าจะไม่มีการรับเงินเกิดขึ้นในหมู่บ้าน
แต่ทำให้ชาวบ้านทุกคนปลดหนี้ได้หมด