พท.ฉะรัฐบาลใช้โควิดเป็นแพะหาประโยชน์ เป็นโล่ป้องกันบริหารล้มเหลว
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4215505
เพื่อไทยฉะรัฐบาลใช้โควิดเป็นแพะหาประโยชน์ เป็นโล่ป้องกันบริหารล้มเหลว ชี้ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 เดือน แค่ต่ออายุให้รัฐบาลชุบชีวิตตัวเอง
เมื่อเวลา 18.25 น. วันที่ 28 พ.ค. นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงการพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับและการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินตอนหนึ่งว่า
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีประชาชน 5 แสนคน เดือดร้อนจากพิษไวรัส และอีก 66,500,000 คน เดือดร้อนจากพิษมาตรการบริหารผิดพลาดของรัฐ การทุจริตหาผลประโยชน์จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ การบริหารสภาวะวิกฤตล้มเหลว โดยใช้โควิด–19 เป็นข้ออ้างสร้างความมั่นคงให้รัฐบาล เพราะการต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ชัดเจนว่าเพื่อรักษาความมั่นคงและต่ออายุให้รัฐบาลชุบชีวิตตัวเอง เพราะทุกคนรู้ดีว่าก่อนการแพร่ระบาดของโรค สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร
“ถ้ารัฐบาลละอายและเกรงกลัวต่อบาป ก็อย่าอ้างผลสำเร็จในการควบคุมโรคว่าเป็นผลงานของตัวเอง เพราะความสำเร็จของการควบคุมโรคเกิดจากความร่วมมือของประชาชน ความรู้ความสามารถของแพทย์ และระบบสาธารณสุขของประเทศ ที่แม้ไม่มีรัฐบาลชุดนี้คนกลุ่มนี้ก็ควบคุมโควิด–19 ได้ ส่วนพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะเป็นมาตรการยาแรงในการใช้รักษาโรค ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่คนกำลังจะตาย นายกฯ ควรรีบฟื้นฟูให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ”
“โควิด–19 คือแพะที่รัฐบาลใช้ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นโล่ป้องกันการทำงานที่ผิดพลาดของท่าน การจะพิจารณาว่าจะอนุมัติพ.ร.ก.หรือไม่ ส่วนตัวให้คะแนนสอบตก แต่เพื่อเห็นแก่พี่น้องประชาชนก็จะขอพิจารณาในวันสุดท้าย” นพ.
ชลน่านกล่าว
นพ.
ชลน่าน กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอหลังจากนี้ ได้แก่ การขึ้นทะเบียนอาชีพ ปรับปรุงฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองกลุ่มอาชีพอิสระต่างๆ การตั้งกมธ.วิสามัญติดตามการใช้เงินกู้ โดยในวันที่ 29 พ.ค. พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติด่วนต่อประธานสภาฯ ให้ตั้งคณะกมธ.วิสามัญฯ และให้ตรวจสอบจากภาคประชาชนคู่ขนานไปกับสภาด้วย
ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐ โชว์ความโปร่งใสใช้ข้อมูลไทยชนะ หลัง 'สแปม เมสเสจ' ระบาดอื้อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2206339
ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐแสดงความโปร่งใสใช้ข้อมูลไทยชนะ หลัง ปชช.ได้รับ ‘สแปม เมสเสจ’ อื้อ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นาย
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นกรณีปัญหาผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบไอโอเอสจำนวนมากได้รับข้อความ
“สแปม เมสเสจ” ผ่านทาง imessage ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเวลาที่สแปมข้อความดังกล่าวระบาดสอดคล้องกับช่วงของเวลา นโยบายของภาครัฐ ที่ให้มีการสแกนคิวอาร์โค้ด โดยต่างกังวลว่าเกิดจากระบบถูกเจาะแฮกเข้ามาหรือไม่
นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ตนรับทราบว่าเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมากขณะนี้ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไทยชนะที่รัฐบาลตั้งขึ้นให้ประชาชนไปสแกนลงทะเบียนเข้าและออกห้าง เพราะคนที่ไม่เคยสแกนหรือลงทะเบียนก็ได้รับข้อความสแปมดังกล่าวด้วย ส่วนตัวคาดว่าจะเกิดจากปัญหาค่ายโทรศัพท์ค่ายหนึ่งที่ออกมายอมรับว่าข้อมูลผู้ใช้บริการหลุดรั่ว แม้ทางผู้ให้บริการดังกล่าวจะออกมาชี้แจงยืนยันว่าข้อมูลที่หลุดไม่ใช่ข้อมูลสำคัญในระดับความลับ แต่เป็นข้อมูลการใช้บริการของผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วไป แต่กรณีดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และคาดว่าจะเป็นสาเหตุ
“สแปม เมสเสจ” ในขณะนี้
“เรื่องนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือออกมายอมรับว่ามีข้อมูลผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรั่วไหลมากกว่า 8,000 ล้านข้อมูล ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก แม้จะระบุว่าไม่ได้ถึงขั้นที่เป็นข้อมูลเชิงลึกที่ระบุตัวตน หรือที่เกี่ยวกับธุรกรรมการเงิน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความน่าเป็นห่วงมาก และประชาชนไม่มั่นใจว่าจะเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนตัวหรือไม่ และเป็นเรื่องที่เครือข่ายผู้ให้บริการมือถือต้องรับผิดชอบ” นาย
ปกรณ์วุฒิระบุ
วันเดียวกัน นาย
ปกรณ์วุฒิยังได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
1. ถึงแม้ว่า พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลบางส่วน จะถูกเลื่อนการบังคับใช้ไปแล้ว แต่ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของเอกชน ที่จะปกป้องข้อมูลของลูกค้าอย่างรัดกุม เพราะก่อนหน้านี้ไม่ (น่าจะ) มีใครรู้มาก่อนว่า พ.ร.บ.นี้จะถูกเลื่อนออกไป
2. ถึงแม้ว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์จะบอกว่า ข้อมูลที่รั่วเป็นข้อมูลการใช้งาน internet ที่ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล อีเมล์ รหัสผ่าน หลุดออกไป ..แต่หากนิยามกันตามความหมายสากลในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ข้อมูลที่หลุดออกไปนี้ อาจเข้าข่ายข้อมูลส่วนบุคคล เพราะเป็นการระบุตัวตนในทางอ้อม
3. เหตุการณ์นี้ทำให้ได้เห็นปรากฏการณ์หนึ่ง คือ เมื่อเกิดเหตุขึ้น ประชาชนจำนวนมากต่างพุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” อาจจะเป็นเพราะจังหวะเวลาค่อนข้างเหมาะเจาะหรืออะไรก็แล้วแต่ ..แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ประชาชนจำนวนมาก ไม่ให้ความเชื่อใจ “ไทยชนะ” ภายใต้การดูแลของรัฐ
4. “พรรคก้าวไกล” เห็นว่า แพลตฟอร์ม contact tracing แบบไทยชนะนั้น จำเป็นต้องมี เพื่อที่จะป้องกันการระบาดรอบ 2 ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการคลาย lockdown
5. การที่ประชาชนไม่เชื่อใจรัฐบาลนั้น ไม่ใช่ความผิดของประชาชน ประเด็นสำคัญคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นด้วย “ความโปร่งใส” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ข้อมูลของพวกเขาจะได้รับความคุ้มครอง และไม่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะอย่างน้อยข้อมูลส่วนบุคคลที่ ไทยชนะ ได้ไปแน่ๆ คือ เบอร์โทรศัพท์มือถือ
6. แต่นอกจากรัฐบาลจะไม่เคยแสดงถึงความโปร่งใสในการดูแลข้อมูลของ “ไทยชนะ” แล้ว ทางพรรคก้าวไกลยังไปรับเอกสารฉบับหนึ่งจากแหล่งข่าวท่านหนึ่ง ซึ่งระบุในเอกสารว่า หน่วยงานรัฐได้ประสานไปยังค่ายมือถือต่างๆ เพื่อขอข้อมูล เบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่อยู่ในบริเวณต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ที่มีความเสี่ยง โดยอ้างว่าเพื่อการสืบสวนโรค
7. ในประเด็นดังกล่าว หากใช้ในการสืบสวนโรคเพียงอย่างเดียวนั้น ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการขอข้อมูลต่างๆ นี้จะไม่เลยกรอบความจำเป็น ไปจนถึงการติดตามตัว และละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
8. เรื่องการประสานกับค่ายมือถือเพื่อขอข้อมูลนั้น โดยส่วนตัวผมเองยังไม่เคยเห็นว่า รัฐบาล เคยเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาในการแถลงข่าวแต่อย่างใด ซึ่งยิ่งเป็นข้อที่ทำให้ต้องคำถามว่า ทำไมต้องแอบไปทำโดยไปเปิดเผยสู่สาธารณะ
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นของการแถลงข่าววันนี้ในนามพรรคก้าวไกล
…ซึ่งเมื่อหลังแถลงข่าว ผมจึงพบว่า
“ไทยชนะ” ได้ออกมาในรูปแบบ mobile app แล้ว
.. และมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และยืนยันตัวตนอย่างชัดเจน ที่มากกว่านั้นคือ มีการเก็บ GPS Location ระบุตำแหน่งของทุกคนอีกด้วย ..ซึ่งการเก็บข้อมูลระดับนี้ หากไม่สามารถให้ความมั่นใจในความปลอดภัยที่ดีพอ
.. สุดท้าย ประชาชนก็จะไม่กล้าใช้ และ
“ไทยชนะ” ก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ที่ตัวมันถูกสร้างขึ้นมาได้เลย
JJNY : พท.ฉะรัฐบาลใช้โควิดเป็นแพะ/ก้าวไกลจี้รัฐ โชว์โปร่งใสไทยชนะ/เทพไทเชื่อตู่เอาไม่อยู่คุมโกงเงินกู้/ทั่วโลกติดใกล้6ล.
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4215505
เพื่อไทยฉะรัฐบาลใช้โควิดเป็นแพะหาประโยชน์ เป็นโล่ป้องกันบริหารล้มเหลว ชี้ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 เดือน แค่ต่ออายุให้รัฐบาลชุบชีวิตตัวเอง
เมื่อเวลา 18.25 น. วันที่ 28 พ.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงการพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับและการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินตอนหนึ่งว่า
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีประชาชน 5 แสนคน เดือดร้อนจากพิษไวรัส และอีก 66,500,000 คน เดือดร้อนจากพิษมาตรการบริหารผิดพลาดของรัฐ การทุจริตหาผลประโยชน์จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ การบริหารสภาวะวิกฤตล้มเหลว โดยใช้โควิด–19 เป็นข้ออ้างสร้างความมั่นคงให้รัฐบาล เพราะการต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ชัดเจนว่าเพื่อรักษาความมั่นคงและต่ออายุให้รัฐบาลชุบชีวิตตัวเอง เพราะทุกคนรู้ดีว่าก่อนการแพร่ระบาดของโรค สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร
“ถ้ารัฐบาลละอายและเกรงกลัวต่อบาป ก็อย่าอ้างผลสำเร็จในการควบคุมโรคว่าเป็นผลงานของตัวเอง เพราะความสำเร็จของการควบคุมโรคเกิดจากความร่วมมือของประชาชน ความรู้ความสามารถของแพทย์ และระบบสาธารณสุขของประเทศ ที่แม้ไม่มีรัฐบาลชุดนี้คนกลุ่มนี้ก็ควบคุมโควิด–19 ได้ ส่วนพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะเป็นมาตรการยาแรงในการใช้รักษาโรค ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่คนกำลังจะตาย นายกฯ ควรรีบฟื้นฟูให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ”
“โควิด–19 คือแพะที่รัฐบาลใช้ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นโล่ป้องกันการทำงานที่ผิดพลาดของท่าน การจะพิจารณาว่าจะอนุมัติพ.ร.ก.หรือไม่ ส่วนตัวให้คะแนนสอบตก แต่เพื่อเห็นแก่พี่น้องประชาชนก็จะขอพิจารณาในวันสุดท้าย” นพ.ชลน่านกล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอหลังจากนี้ ได้แก่ การขึ้นทะเบียนอาชีพ ปรับปรุงฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองกลุ่มอาชีพอิสระต่างๆ การตั้งกมธ.วิสามัญติดตามการใช้เงินกู้ โดยในวันที่ 29 พ.ค. พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติด่วนต่อประธานสภาฯ ให้ตั้งคณะกมธ.วิสามัญฯ และให้ตรวจสอบจากภาคประชาชนคู่ขนานไปกับสภาด้วย
ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐ โชว์ความโปร่งใสใช้ข้อมูลไทยชนะ หลัง 'สแปม เมสเสจ' ระบาดอื้อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2206339
ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐแสดงความโปร่งใสใช้ข้อมูลไทยชนะ หลัง ปชช.ได้รับ ‘สแปม เมสเสจ’ อื้อ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นกรณีปัญหาผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบไอโอเอสจำนวนมากได้รับข้อความ “สแปม เมสเสจ” ผ่านทาง imessage ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเวลาที่สแปมข้อความดังกล่าวระบาดสอดคล้องกับช่วงของเวลา นโยบายของภาครัฐ ที่ให้มีการสแกนคิวอาร์โค้ด โดยต่างกังวลว่าเกิดจากระบบถูกเจาะแฮกเข้ามาหรือไม่
นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ตนรับทราบว่าเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมากขณะนี้ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไทยชนะที่รัฐบาลตั้งขึ้นให้ประชาชนไปสแกนลงทะเบียนเข้าและออกห้าง เพราะคนที่ไม่เคยสแกนหรือลงทะเบียนก็ได้รับข้อความสแปมดังกล่าวด้วย ส่วนตัวคาดว่าจะเกิดจากปัญหาค่ายโทรศัพท์ค่ายหนึ่งที่ออกมายอมรับว่าข้อมูลผู้ใช้บริการหลุดรั่ว แม้ทางผู้ให้บริการดังกล่าวจะออกมาชี้แจงยืนยันว่าข้อมูลที่หลุดไม่ใช่ข้อมูลสำคัญในระดับความลับ แต่เป็นข้อมูลการใช้บริการของผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วไป แต่กรณีดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และคาดว่าจะเป็นสาเหตุ “สแปม เมสเสจ” ในขณะนี้
“เรื่องนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือออกมายอมรับว่ามีข้อมูลผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรั่วไหลมากกว่า 8,000 ล้านข้อมูล ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก แม้จะระบุว่าไม่ได้ถึงขั้นที่เป็นข้อมูลเชิงลึกที่ระบุตัวตน หรือที่เกี่ยวกับธุรกรรมการเงิน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความน่าเป็นห่วงมาก และประชาชนไม่มั่นใจว่าจะเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนตัวหรือไม่ และเป็นเรื่องที่เครือข่ายผู้ให้บริการมือถือต้องรับผิดชอบ” นายปกรณ์วุฒิระบุ
วันเดียวกัน นายปกรณ์วุฒิยังได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
1. ถึงแม้ว่า พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลบางส่วน จะถูกเลื่อนการบังคับใช้ไปแล้ว แต่ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของเอกชน ที่จะปกป้องข้อมูลของลูกค้าอย่างรัดกุม เพราะก่อนหน้านี้ไม่ (น่าจะ) มีใครรู้มาก่อนว่า พ.ร.บ.นี้จะถูกเลื่อนออกไป
2. ถึงแม้ว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์จะบอกว่า ข้อมูลที่รั่วเป็นข้อมูลการใช้งาน internet ที่ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล อีเมล์ รหัสผ่าน หลุดออกไป ..แต่หากนิยามกันตามความหมายสากลในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ข้อมูลที่หลุดออกไปนี้ อาจเข้าข่ายข้อมูลส่วนบุคคล เพราะเป็นการระบุตัวตนในทางอ้อม
3. เหตุการณ์นี้ทำให้ได้เห็นปรากฏการณ์หนึ่ง คือ เมื่อเกิดเหตุขึ้น ประชาชนจำนวนมากต่างพุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” อาจจะเป็นเพราะจังหวะเวลาค่อนข้างเหมาะเจาะหรืออะไรก็แล้วแต่ ..แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ประชาชนจำนวนมาก ไม่ให้ความเชื่อใจ “ไทยชนะ” ภายใต้การดูแลของรัฐ
4. “พรรคก้าวไกล” เห็นว่า แพลตฟอร์ม contact tracing แบบไทยชนะนั้น จำเป็นต้องมี เพื่อที่จะป้องกันการระบาดรอบ 2 ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการคลาย lockdown
5. การที่ประชาชนไม่เชื่อใจรัฐบาลนั้น ไม่ใช่ความผิดของประชาชน ประเด็นสำคัญคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นด้วย “ความโปร่งใส” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ข้อมูลของพวกเขาจะได้รับความคุ้มครอง และไม่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะอย่างน้อยข้อมูลส่วนบุคคลที่ ไทยชนะ ได้ไปแน่ๆ คือ เบอร์โทรศัพท์มือถือ
6. แต่นอกจากรัฐบาลจะไม่เคยแสดงถึงความโปร่งใสในการดูแลข้อมูลของ “ไทยชนะ” แล้ว ทางพรรคก้าวไกลยังไปรับเอกสารฉบับหนึ่งจากแหล่งข่าวท่านหนึ่ง ซึ่งระบุในเอกสารว่า หน่วยงานรัฐได้ประสานไปยังค่ายมือถือต่างๆ เพื่อขอข้อมูล เบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่อยู่ในบริเวณต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ที่มีความเสี่ยง โดยอ้างว่าเพื่อการสืบสวนโรค
7. ในประเด็นดังกล่าว หากใช้ในการสืบสวนโรคเพียงอย่างเดียวนั้น ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการขอข้อมูลต่างๆ นี้จะไม่เลยกรอบความจำเป็น ไปจนถึงการติดตามตัว และละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
8. เรื่องการประสานกับค่ายมือถือเพื่อขอข้อมูลนั้น โดยส่วนตัวผมเองยังไม่เคยเห็นว่า รัฐบาล เคยเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาในการแถลงข่าวแต่อย่างใด ซึ่งยิ่งเป็นข้อที่ทำให้ต้องคำถามว่า ทำไมต้องแอบไปทำโดยไปเปิดเผยสู่สาธารณะ
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นของการแถลงข่าววันนี้ในนามพรรคก้าวไกล
…ซึ่งเมื่อหลังแถลงข่าว ผมจึงพบว่า “ไทยชนะ” ได้ออกมาในรูปแบบ mobile app แล้ว
.. และมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และยืนยันตัวตนอย่างชัดเจน ที่มากกว่านั้นคือ มีการเก็บ GPS Location ระบุตำแหน่งของทุกคนอีกด้วย ..ซึ่งการเก็บข้อมูลระดับนี้ หากไม่สามารถให้ความมั่นใจในความปลอดภัยที่ดีพอ
.. สุดท้าย ประชาชนก็จะไม่กล้าใช้ และ “ไทยชนะ” ก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ที่ตัวมันถูกสร้างขึ้นมาได้เลย