JJNY : พท.ถามตู่ เจตนาพรก.ฉุกเฉิน หลังรวบหมอทศพร/พท.ติวเข้มอภิปรายพ.ร.ก./ส่งออกไทยอาจลบเกิน12.9%/อุตฯท่องเที่ยวหนีตาย

เพื่อไทยถาม‘บิ๊กตู่’ เจตนารมณ์พรก.ฉุกเฉิน หลังฝ่ายมั่นคงรวบ‘หมอทศพร’ 
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4182847
 

 
เพื่อไทย ถาม‘บิ๊กตู่’ เจตนารมณ์พรก.ฉุกเฉิน หลังฝ่ายมั่นคงรวบ‘หมอทศพร’ ขณะออกมาชุมนุมโดยสงบ
 
วันที่ 23 พ.ค. นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการกลุ่มเพื่อไทยพลัส และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โดนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง รวบตัวไปเมื่อเย็นเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ในฐานความผิดพรก.ฉุกเฉินว่า
 
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ (มาตรา 44 รัฐธรรมนูญ 2560)
 
หลังจากที่มีข่าวคุณหมอทศพร เสรีรักษ์ อดีตรองเลขาฯนายกรัฐมนตรี โดนฝ่ายความมั่นคงรวบตัวเมื่อเย็นเมื่อวานนี้ ขณะที่ออกมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ #6ปีรัฐประหาร โดยสงบ ที่หน้าหอศิลป์ ด้วยข้อกล่าวหาว่า “ผิดพรก.ฉุกเฉิน”
 
จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า “เจตนารมณ์” ของพรก.ฉุกเฉินนั้น #เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด หรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจ?
  
เพราะตลอดระยะเวลา 6 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้กระทำการรัฐประหาร ได้บอกกับสาธารณชนโดยเสมอว่า เข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ และยึดตามหลักประชาธิปไตยมาโดยตลอด แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนั้นก็ดูเหมือนจะสวนทางมาโดยเสมอ
  
จึงขอตั้งคำถามกลับไปสู่นายกรัฐมนตรีว่าความเข้าใจของคำว่า “ประชาธิปไตย” ของพล.อ.ประยุทธ์ คือการใช้พรก.ฉุกเฉิน ที่ท่านบอกว่าจะใช้เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด มาดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมืองใช่หรือไม่ และถ้างั้นเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพรก.ฉุกเฉินนี้ คืออะไร
 
#หยุดทำร้ายคนเห็นต่าง
 
https://www.facebook.com/pune.treerat/photos/a.10153653443827587/10156834057592587/
 

 
‘เพื่อไทย’ ติวเข้มอภิปราย พ.ร.ก. 3 ฉบับ จี้ รบ.ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เร่งฟื้นเศรษฐกิจ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2198864
 
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เรียกประชุม ส.ส.หารือร่วมกัน ผ่านระบบซูม เนื่องจากต้องเว้นระยะห่างในช่วงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เพื่อเตรียมการอภิปราย โดยเฉพาะพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) รวม 3 ฉบับ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค อาทิ นายโภคิน พลกุล นายชัยเกษม นิติสิริ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายนพดล ปัทมะ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รวมทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงค์เวช เข้าร่วมอย่างพร้อมเพียงในการให้คำแนะนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและข้อกฎหมาย ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. ร่วมลงชื่อขออภิปรายดังกล่าว ประมาณ 50 คน
 
ทั้งนี้สาระในการประชุมสรุปเบื้องต้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่า มาตรการที่รัฐใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อกดาวน์ประเทศ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการประกาศเคอร์ฟิว ไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลหมดความจำเป็นที่จะคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป ในทางกลับกันรัฐบาลควรปลดล็อกให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสียหายมากที่สุดในรอบ 100 ปี โดยประเมินว่าจีดีพีอาจจะติดลบถึงร้อยละ 7-9 ส่งผลคนตกงานมากกว่า 7-10 ล้านคน
 
สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลยังเยียวยาไม่ทั่วถึง ดำเนินการด้วยความล่าช้า สร้างกติกากฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากกับประชาชน ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการเยียวยา และส่อไปในทางทุจริตเอื้อพวกพ้อง รวมทั้งไม่มียุทธศาสตร์ที่ทำให้การเยียวยา เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้จากข่าวทำให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตาย และเงินเยียวยาที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ไหลไปสู่กระเป๋าของมหาเศรษฐีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขียนจดหมายไปขอให้ช่วยรัฐบาล
 
นอกจากนี้ในส่วนการพยุงรักษาเศรษฐกิจไม่ให้ล่มสลาย พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลมิได้มีมาตรการที่จะดูแลรักษาหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการ หรือบางรายต้องย้ายฐานเศรษฐกิจไปลงทุนในประเทศอื่น ส่งผลทำให้เกิดการเลิกจ้างงาน ซึ่งจะทำให้คนตกงานอย่างมหาศาล ปัญหาอาชญากรรมจะตามมา พ.ร.ก. 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.ก.ช่วยเหลือเอสเอ็มอี และ พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือที่เรียกว่า พ.ร.ก.อุ้มหุ้นกู้เศรษฐีที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปช่วยใช้หนี้จากเงินภาษีของประชาชนไม่ตอบโจทย์ของประเทศและไม่สามารถพยุงรักษาเศรษฐกิจไว้ได้ ทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 แม้จะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจของโลกแต่จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย การท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์และการสาธารณสุข การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลจะต้องรักษาฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้ได้ นั่นคือ การบริโภคภายใน
 
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งฟื้นฟูด้วยการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในเพื่อเป็นฐานค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ล่มสลายเพื่อรอให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวอื่นได้ทำงานหลังโควิด ได้แก่ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แต่ปัญหาคือคนไทยขาดกำลังซื้อมาก่อนเกิดโควิดแล้ว
 
“โจทย์ของพรรคเพื่อไทยคือ รัฐบาลจะสร้างกำลังซื้อให้ประชาชนได้อย่างไร ในด้านผู้ขาย ได้แก่ ผู้ประกอบการรายย่อยหรือที่เรียกว่าเอสเอ็มอี ที่ได้รับความเสียหายมาก่อนเกิดโควิด-19 เช่นกัน แม้รัฐบาลจะออก พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดหาสินเชื่อรวม 500,000 บาทให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการใดที่จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินจะสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ อันจะทำให้ไม่เกิดการกระจายรายได้เพราะเงินกู้ที่ประชาชนต้องใช้หนี้จะไหลไปสู่ธุรกิจของมหาเศรษฐีบางรายที่ค้ำจุนรัฐบาลอยู่ ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลจะแก้อย่างไร” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยยังมีความกังวลที่รัฐบาลไม่มีมาตรการดูแลคนที่จะตกงานอีกจำนวนมหาศาล รวมทั้งไม่มีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดที่คนในโลกจะให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาด (health & hygienity) นอกจากจะเอาเงินกู้ 400,000 ล้านบาท มาแจก ส.ส. เอาไปแสวงหาผลประโยชน์แต่ภาระจะตกแก่ประชาชนที่จะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ เหมือนกับโครงการมิยาซาว่า หรือโครงการไทยนิยมที่ล้มเหลวมาก่อนแล้ว
 
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวในที่ประชุมอีกว่า ขอให้ ส.ส. ได้ลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนเรื่องการเยียวยาและรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อนำมาอภิปรายในสภาฯ โดยจะจัดให้มีการติวเข้ม ส.ส. ทุกวันตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันอังคารก่อนจะมีการอภิปราย โดยเชื่อว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและจะเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่