ระบาย : เรื่องเงินเก็บ

อึดอัดค่ะ ขอระบายนิดนึงนะคะ

ปัจจุบันเราอายุ 38 ปี ไม่ได้ทำงาน เนื่องจากย้อนไป 3 ปีก่อน แม่เราป่วยกระทันหัน มันเป็นช่วงที่เราได้งานพอดีหลังแม่ล้มแค่วันเดียว เราจำใจต้องทิ้งโอกาสที่ดีอันนี้ไป และต้องมาดูแลแม่ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ไม่สามารถไปทำงานได้เลย

ตอนนั้นเราพอมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ฐานะทางบ้านไม่ได้แย่ กลางๆ โชคดีเราเป็นคนประหยัด ตอนทำงานเรามีทำโอที เงินเดือนอัพมาเรื่อยๆทุกปี บางทีมีตกเบิก เราทำงานราชการ แต่เงินเดือนค่อนข้างดีค่ะ ทุกเดือนเราจะมีให้แม่ให้พ่อมาตลอด แต่จะให้แม่มากกว่า เพราะตอนนั้นพ่อเรายังทำงาน เลยสัดส่วนน้อยกว่า

เวลาใช้เงิน เราจะเน้นใช้แต่โอที ส่วนเงินเดือนใช้การทะยอยกดออกมาใช้ที่เหลือคือเก็บ ใช้น้อย และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

พอแม่ป่วย ชีวิตการทำงานก็ต้องหยุดไปด้วย บ้านเราไม่มีนโยบายจ้างคนมาดูแลเพราะไม่วางใจ ด้วยความที่เรายังโสด ยังไม่มีครอบครัว ขณะที่พี่น้องคนอื่นมีครอบครัวหมดแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นธุระเราไปโดยปริยาย เราจำต้องทำหน้าที่ นี้ไป รักแม่ก็รัก แต่อนาคตเราก็ต้องยอมแลกไปเพื่อแม่คนเดียว

พอเราหยุดทำงาน ชีวิตส่วนมากก็ต้องอยู่บ้าน เริ่มตั้งแต่ทำอาหารเช้า กลางวัน ดูแลแม่ แม่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ติดเตียง แต่แกก็ไม่ได้เก่งแบบแต่ก่อน เราก็คิดว่าดีกว่าคนอื่นๆมากที่เคยเจอ

แรกๆเราเครียดมาก อยากกลับไปทำงานทะเลาะกะที่บ้านบ่อย โดยเฉพาะพ่อ ที่ไม่เข้าใจเลย

เราไม่มีเงินใช้ แรกๆ เราคิดว่าเราก็ใช้เงินเก็บบ้าง จนกระทั่ง มีคนรู้จักถามว่าเรามีได้เงินจากการดูแลแม่บ้างไหม รวมทั้งญาติ เราบอกว่าเราไม่ได้ ทุกคนที่ถามเขาข้องใจ เขาเห็นใจเรา บอกว่าเราควรได้นะ คนที่ดูแลต้องได้เงิน บางทีครอบครัวอื่นๆ เค้าจะรวมเงินในพี่น้องมาช่วยให้คนดูแล อะไรแนวนี้

เราบอกกับที่บ้าน คนแรกที่แย้งคือ พ่อเรา เขาบอกว่า ทำไมเราต้องฟังคนอื่น คนเราต้องกตัญญูนะ ทำไมต้องคิดเรื่องเงิน เราเครียดมากจนร้องไห้ ช่วงนั้นทะเลาะกะที่บ้านบ่อย ทั้งเรื่องจะไปทำงานกะเรื่องให้เงิน จนเราบอกกับน้องชาย น้องชายเลยช่วยพูดกับพ่อให้ว่า เรายังไม่มีครอบครัว ยังโสด แล้วเขาไม่ได้ทำงาน เขาจะทำไรได้ล่ะ พ่อเราถึงยอมให้เงิน แต่ก็ไม่มากนะคะ เป็นหลักพัน จากที่เราทำงานได้หลักหมื่น แต่เราก็คิดเออ ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ด้วยนิสัยความประหยัดอดออมเราเองที่มีตลอดทำให้เราสามารถเปิดบัญชีเก็บเงินฝากประจำต่อเดือน ได้เดือนละ 5000-6000 จากที่เมื่อก่อน ตอนทำงานเก็บได้เดือนละ 10,000 เอาเข้าบัญชีทุกเดือนเลยค่ะ และคิดวางแผนจะมีเงินเก็บต่อเดือนเอาเข้าบัญชีเรื่อยๆให้เป็นนิสัย แต่ต้องมาสะดุดเรื่องงานที่ต้องหยุดขาดรายรับไป

ต่อมาพ่อเราวางมือจากกิจการที่บ้าน พี่เราสานงานต่อ พ่อเราก็เลยอยู่บ้านอีกคน จริงๆ ก่อนแม่เราป่วย พ่อเราก็อยู่ระหว่างพักฟื้นเหมือนกันค่ะ เป็นช่วงรอยต่อที่บ้านเราเลย ต่อมาพี่เราเลยทำงานแทนพ่อมาตลอด เท่ากับว่า พี่เราเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเลย

พี่เราก็มีครอบครัวและลูกเล็กๆ 1 คน ถึงเขาทำงานแทนพ่อเราแล้ว แต่ก็ไม่ว่าหาได้มาเท่าไหร่ ก็จะมาให้พ่อเราบริหารเงินค่ะ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า เวลาเราอยากได้อะไรของส่วนตัว เราก็จะใช้เงินเก็บเราซื้อของเอง ไม่เคยใช้เงินส่วนกลางนะคะ ซึ่งพ่อเราจะให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนมาให้เราจับจ่ายหาซื้อของกินส่วนรวมของบ้าน

เราโชคดีหน่อยตรงที่ แม่ก็จะช่วยเหลือเราเวลาเงินขาดมือ เพราะแกมีเงินเก็บจากการที่เราและน้องทำงานสะสมของแกมาตลอด ให้บางที 1000-3000 หรือวันเกิดเราแกก็จะให้เรา ก็มาเรื่อยๆ ตามแต่แกจะให้ค่ะ เพราะเราดูแลแก แกเลยอยากให้

ซึ่งบางทีเราก็ซื้อของส่วนตัวใช้เงินแบบที่เล่า (เพราะเรามีเปิดบัญชีตั้งแต่ตอนเราทำงานไว้ออมเงินและบัญชีเงินเดือนที่ยังไม่ได้ปิด เราเผื่อไว้ใช้เผื่อทำกิจการต่อที่บ้าน) จนบางทีคนมาส่งพัสดุบ่อยๆ จนพ่อเราเริ่มจับตาสังเกต ว่าเราจับจ่ายบ่อย คิดว่าเราก็มีเงินอะไรแบบนี้ค่ะ ทั้งที่เราไม่ใช่ซื้อของบ่อยขนาดนั้นแค่บางช่วงและนานๆที

จนเป็นช่วงโควิด พี่เราก็ต้องหยุดทำงานไปเหมือนกันค่ะ จนมาเดือนนี้ผ่านมาสามสี่วันแรก เราถามถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายประจำเดือนในบ้าน พ่อเราทำท่าอิดออดบอกขอดูก่อน ยังให้ไม่ได้ตอนนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พี่เราให้เงินเขามาสม่ำเสมอไม่ว่าจะหาได้มาเท่าไหร่ก็ตาม จำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆค่ะ เราทราบแต่ไม่เคยไปก้าวก่าย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่พ่อเราอิดออด ก่อนหน้านี้ เราเอาเงินเก็บเราไปซื้อสลากออมสินวงเงินราวแสนๆได้ เขารู้เท่านั้น เขาก็พูดทำนองว่า เราก็มีเงินนี่ ทำไมไม่เอาออกมาใช้อะไรแบบนี้

เราต้องการเก็บเงินเราไว้ และจะใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เหตุผลคือ เราไม่ได้ทำงาน เรายังไม่มีครอบครัว ในวันข้างหน้า เรายังไม่รู้เลย ถ้าเราไม่ตระเตรียมอะไรเลย เราไม่อยากมีปัญหาภายหลัง หรือลำบากหากเราอยู่คนเดียวจริงๆ จะทำไง เราคิดแบบนี้ คิดเผื่อตลอด

เราแอบเสียความรู้สึกเรื่องนี้มาตลอด เราไม่เข้าใจ ทำไมพ่อเราต้องพยายามให้เราใช้เงินเก็บที่เราต้องเก็บในอนาคต และนี่คือเงินที่เราหามาได้เองจากน้ำพักน้ำแรงเราล้วนๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่ให้ไม่เคยช่วยอะไรในบ้านนะคะ ช่วงที่เราทำงานสมัยก่อน จะซื้อบ้านหรืออะไรใหญ่ๆ เรามีส่วนช่วยควักตลอด หลักหมื่น 2-3 หมื่นเลยนะคะ  หลักแสนก็มีมาแล้ว

เราต้องสละทิ้งงานที่เราจะได้ อนาคตในการทำงานต่างๆ เพื่อมาดูแลแม่เรา ผู้มีพระคุณเราแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องที่เรารู้สึกเรารับไม่ได้เลย

เรารู้สึกว่า เราไม่ค่อยได้อิสระเท่าที่ควร พ่อเราชอบจับตาเวลาเราจะไปไหน กลับดึกไหม เวลาไปธุระจำเป็นนานๆ หรือไม่ว่าจะทำอะไรในบ้าน จัดการอะไร บางทีก็จะจับตา แล้วก็คอยห้ามไม่ให้ทำนู่นนี่ เราเคยคิดจะขายอาหาร ขนม ก็โดนห้ามมาแล้วค่ะ เขาไม่สนับสนุนส่งเสริมอะไรเราเลย

ทุกวันนี้ งานสังคม งานแต่งงาน เราไม่เคยได้ไปเลยตั้งแต่แม่เราป่วยค่ะ งานแต่งญาติ เราก็ไปไม่ได้ เพราะต้องรีบกลับเลยตัดตรงนี้ไปโดยปริยาย

อยากทราบว่า เป็นปกติมั้ยคะที่ครอบครัวสามารถมีสิทธิ์รับทราบและตัดสินใจสั่งให้เราเอาเงินเก็บของเราเองที่สะสมไว้ยามจำเป็นให้เอาออกมาใช้ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีพระคุณ

เรารู้ว่ามาเล่าแบบนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เราก็อยากทราบค่ะ กรณีเรา เราไม่ดีเองมั้ยที่คิดแบบนี้ หรือยังไง รบกวนขอความเห็นทีนะคะ

ปล. วันนี้พ่อเราให้เงินค่าใช้จ่ายในบ้านแล้วนะคะ เพราะแม่พูดค่ะ เลยยอมให้มา

ขอความคิดเห็นทีค่ะ

ปล. เราทราบว่าไม่ดีนะคะที่มาเล่าแบบนี้ คิดลบแบบนี้ แต่มันรู้สึกอัดอั้นจริงๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่