หยุดทำร้ายลูกของคุณด้วยการไปดูหมอ! บทเรียนชีวิตครอบครัวที่พังพินาศเพราะความงมงาย

แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
[บทสรุป]

แม่เราพื้นเพเป็นคนตจว.มาจาก lower middle class  ถึงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่ก็ยังชอบคบค้าสมาคมกับชาว lower middle class ด้วยความเคยชิน ซึ่งคนเหล่านี้มักปากกัดตีนถีบ มีดราม่า ความเครียด ความกดดันทางเศรษฐกิจ และความเชื่องมงายต่างๆ ในชีวิตค่อนข้างเยอะ ซึ่งการเป็น upper middle class แต่ไปสมาคมกับ lower middle class มันก็จะมีแต่คนที่ยุแยงให้ครอบครัวเราแตกแยก คอยจับผิดด้วยความอิจฉาริษยาไง เพราะเราฐานะดีกว่าเขา 

 พ่อเรามีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ  และน้องเรากับเราเองค่อนข้างเรียบร้อย ไม่เที่ยว อ่านหนังสือ วาดรูป  ถึงกระนั้นแม่เราก็ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขามี คอยหาเรื่องว่าเรา จับผิดเรา เพียงเพราะฟังคนอื่นมากเกินไป (และพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง เช่น ขอให้ปิดวิทยุการเมืองเพราะฟังแล้วเครียด มันหลอนเข้าไปในหู ทีวีเสียงดังจนอ่านหนังสือสอบไม่รู้เรื่องก็บอกว่าเราเห็นแก่ตัว พอเหวี่ยงพอวีนก็หาว่าเอาแต่ใจ พูดดีๆ ไม่เป็นหรอ เอ้า! พูดดีๆ กี่ครั้งแล้วล่ะ แถมวันดีคืนดีก็ชอบไปรับปากเพื่อนว่าเราจะเขียนเอสเสภาษาอังกฤษให้ลูกเขา แปลนู่นแปลนี่งี้)

นิสัยส่วนตัวเราเป็นคนพูดตรง อ่านสีหน้าคนไม่ค่อยเก่ง และนิสัยเหมือนฝรั่งมากกว่าเพราะว่าเราโตมากับการอยู่คนเดียวในห้อง พ่อแม่ไม่ค่อยว่าง แถมเวลาที่อยากให้แม่อยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวผีแม่ก็มักจะชอบว่าว่าเรา "ชอบยืมจมูกคนอื่นหายใจ" เลยตั้งใจตั้งแต่เด็กว่าจะต้องอยู่คนเดียวให้ได้  

(ก็เป็นปัญหาในโรงเรียนกับมหา'ลัยอีก เพราะคนอื่นจะมองว่าผิดปกติที่เราชอบไปไหนมาไหนคนเดียวทั้งๆ ที่ก็เข้าสังคมเป็น เราเป็น high achiever และกล้าแสดงออกด้วยเลยโดนแบนโดนบูลลี่อีก ซึ่งพอคุยกับพวกเขาจริงๆ คือ เขาอยากให้เราเจ๊าะแจ๊ะกับเขาบ้าง คุยเรื่องไร้สาระบ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้เลย คือ "พ่อกูป่วย จะเอาเงินเอาเวลาที่ไหนไปล่ะ" เมื่อก่อนนี้เราเคยรู้สึกผิดกับการมีความสุขด้วยซ้ำ เพราะคนในครอบครัวเรายังไม่มีความสุข)

กลับเข้าเรื่อง หมอดูคนนี้ก็เช่นกัน เขาเลิกกับสามี มีลูกติดหนึ่งคน และลูกเขาเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จดั่งใจเขา ดังนั้นเวลาที่เขาเห็นครอบครัวเราสมบูรณ์ มีพ่อ มีแม่ มีลูก เขาก็จะยุแยงให้ครอบครัวเหล่านั้นต้องเลิกรากัน ซึ่งทุกคนในสมาคมแม่บ้านอกหักจากชีวิตครอบครัวหมดและมีที่พึ่งทางใจเป็นหมอดูคนนี้ ตอนนั้นพ่อเรามีกิ๊กแล้วแม่เราจับได้ก็ไปเล่าให้หมอดูฟัง ทำให้เราโดนหมอดูคนนั้นต่อว่าว่า "ทำไมไม่รู้จักช่วยแม่ ทำไมไม่ยืนข้างแม่ ตอนแม่ทะเลาะกับพ่อ เดินเข้าห้องน้ำไปทำไม" แต่เราแค่แบบอายุ 11-12 อ่ะ 

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่แม่เราไม่เคยลุกขึ้นเพื่อปกป้องเราเลย ไม่ยืนข้างในสิ่งที่ถูก เป็น people pleaser ที่กลัวแต่คนอื่นจะตัดสินตัวเอง และกดดันให้ลูกเป็น people pleaser เหมือนตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าแม่มีชีวิตในวัยเด็กลำบากมาก เป็นซินเดอเรลล่าตัวจริงที่อาศัยบ้านญาติ บ้านคนรู้จักอยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลี้ยงตัวเองในกรุงเทพฯ ได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทดแทนบาดแผลของการไม่มีแม่ของเราได้ บางทีเรารู้สึกด้วยซ้ำว่าแม่เราไม่มีตัวตนอยู่จริง 

 สุดท้ายนี้ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้แก่ทุกคนเป็นอุทธาหรณ์ในการเลี้ยงลูก อย่าได้คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการหมอดู ถ้าชีวิตคุณไม่ดีไปหา life coach หรือ นักจิตวิทยาเสียยังจะดีกว่า ลองซื้อหนังสือมาอ่านหรือจะฟังพอดแคสต์ ฟังยูทูปก็ได้ หมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเอง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดีและนอนให้เต็มอิ่ม อย่าไปล่วงรู้อดีตหรืออนาคตแล้วมาทำให้ปัจจุบันเสีย

 และธุรกิจหมอดูควรได้รับการควบคุมจากภาครัฐ เพราะเป็นธุรกิจมืดที่ทำเงินมากและส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว 

 ปล. ทุกวันนี้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นมาก แต่งงานแล้วและกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร เราก้าวข้ามเรื่องร้ายๆ มามากจนรู้สึกเติมเต็มในหลายๆ ด้านในชีวิต ที่มาเล่านี้ไม่ใช่เพราะว่าเราเนรคุณต่อครอบครัวของเรานะคะ ไม่อยากให้คิดแบบนั้นเลย เพราะว่าเขาเองก็มีสิ่งที่พิเศษกว่าครอบครัวอื่นๆ เช่น มีเงินก้อนให้ไปตั้งชีวิตหลังเรียนจบ และค่อนข้างตามใจเมื่อเทียบกับครอบครัวไทยทั่วๆ ไป

(เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น complex PTSD และมีอาการ panic attack ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คนในครอบครัว ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องร้ายๆ มาเล่าให้ฟังอีกหรือเปล่าหรือจะจู้จี้จุกจิกไม่ทรีทเราเป็นผู้ใหญ่สักที เช่น มาพูดเกลี้ยกล่อมให้เราตัดผม ทั้งๆ ที่เรา 25 แล้ว ตลอดชีวิตแม่เราเห็นเราผมยาวไม่ได้เลย จะต้องพาไปทำอะไรสักอย่างที่ร้านเพื่อแสดงความห่วงใย แถมจะทำสีก็ไม่ได้ พอบอกว่าไม่เห็นด้วยก็งอน หาว่าไม่รักเขา)

จริงๆ แล้วเขาก็รักลูกในแบบของเขานั่นแหละ จะมีก็แต่ปัญหาของพ่อแม่ที่มาลงที่ลูกจนกลายเป็นความเครียดสะสม ซึ่งถึงจะโตแล้วแต่เราก็ไม่สามารถลืมและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่เสียที ยิ่งช่วงกักตัวด้วยยิ่งไม่ไหวสุดๆ


สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
กระทู้นี้เป็นตัวอย่างสำหรับคนที่ชอบพูดว่า "ความเชื่อไม่เคยทำร้ายใคร"
ความเชื่อมันทำร้ายครับ เพียงแต่คนพูดไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของมันเลยคิดว่าไม่เป็นไร

ความเชื่อของไทยทำร้ายคนมานักต่อนัก เช่น ผีปอบ ผีแม่หม้าย
หลายปีก่อนมีข่าวว่าคนในหมู่บ้านเชื่อว่ายายคนนึงเป็นผีปอบ
ยายแก่ต้องพาหลานหนีออกจากหมู่บ้าน เพราะจะโดนรุมประชาทัณฑ์
และก่อนหน้านั้นก็ใส่ร้ายครอบครัวนึงว่าเป็นผีปอบ เพื่อฮุบที่นาเขา
มันแปลกมากที่ผีปอบไม่เคยเข้าสิงผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน เจ้าของโรงสี นายดาบ นายอำเภอ ปลัด ผู้ว่า
ผีปอบล้วนแต่เลือกเข้าสิงร่างคนแก่ที่ยากจน ไม่มีปากมีเสียง ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ
ความเชื่อแบบนี้เมื่อไรจะสิ้นสุดไปจากประเทศของเราสักที

คนเราชอบพูดว่า "่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เพื่อปิดปากคนที่ไม่เชื่อ
ทั้งๆ ที่คนเชื่อก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลหรือตรรกะอะไรได้ สักแต่ว่าเชื่อตามๆ กันไป
ยุคนี้ควรสอนลูกหลานว่า "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" ได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นเราก็อยู่กับความเชื่อเดิมๆ ไปอีกร้อยปี  ผีปอบ พระเหาะได้ หมูสามขาหมาสี่หาง
พระไปคุยสตีฟจ๊อบ นั่งเก้าอี้ตะปู ปีนบันไดมีด ไร้สาระทั้งนั้น
ความคิดเห็นที่ 3
[บทสรุป 2]

ปัจจุบันที่บ้านเราขอโทษเราแล้วและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีก แต่ถึงเขาจะขอโทษเราหลายทีก็จริง แต่เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ฝังใจเรามากๆ ยังคงร้องไห้กับมันอยู่ และได้ยินเสียงว่าของแม่ ของหมอดู และทุกๆ คนหลอกหลอนอยู่ในหู ถ้าคุณมีวิธีการก้าวข้ามมาแบ่งปันจะขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ แต่จริงๆ แล้ว การรวบรวมความกล้ามาเขียนเรื่องนี้เองก็ถือว่าเยียวยาได้เยอะพอสมควร : )  

ยังไม่ได้เล่าว่า เคยมีอาจารย์ฝรั่งทางมานุษยวิทยาขอให้เขียนหนังสือเรื่องนี้ด้วยซ้ำเพื่อทลายความเชื่อ exotism ในหมู่นักวิชาการตะวันตก (exotism เป็นความเชื่อของทางฝั่งตะวันตกที่ romanticise ว่าวัฒนธรรมแปลกๆ นั้นเป็นเรื่องดีงาม และต้องธำรงไว้เพื่อรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม) แต่แค่จะเริ่มพูดถึงก็ปวดใจแล้ว เลยไม่ได้เริ่มสักที

เรารักครอบครัวเรามาก เราถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ไง : (
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่