เมื่อก่อนเราเรียกว่า "ธรรมะ " เเต่เดียวนี้เรียกว่า"ศาสนา"
** ความเห็นเเก่ตัว เป็นรากเหง้าขอการกระทำชั่วทั้งปวง เเละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง
> เวลาที่ใครพยายามพูด อธิบาย หรือ อภิปราย " ธรรมะ"
มันทั้งดู ทั้งฟัง อย่างน่าเบื่อหน่ายมากๆ เพราะมันไม่ใช่ธรรมะที่เเท้จริงเลย ธรรมะตัวจริง เเละสูงสุดนั้น มันสุดวิสัยที่คนจะเอามาพูดกัน หรืออภิปราย เพราะมีลักษณะที่เรียกว่า " เฉพาะตน "
>> พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ คือภาวะ ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระธรรม คือปฏิบัติ ไปในลักษณะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระสงฆ์ คือบุคคลที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
>> โลก กับ ทุกข์ เเทนกันได้ เพราะโลก ไม่มีทุกข์เเละสุข เราต่างไปยึดมั่นว่าของเรา ตัวของเรา
** คนทั่วไปไม่ศึกษาธรรมะ ก็ย่อมจะหมดความสนใจ เห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ สู้การทำมาหากินปรกติไม่ได้ ยกตัวอย่างเป็นต้น
ถ้าวัดใดวัดนึงจะโฆษณาพระเครื่องราง หรือหลวงพ่อต่างๆ ถ้าใครได้ไปเเล้วบูชาเเล้วจะทำให้เกิดทรัพย์สมบัติมาก อย่างนี้มีคนเชื่อได้มาก เป็นความเลื่อมใสศรัทธาที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล เเต่มีคนอีกมากมายทีเดียว เห็นว่าถ้าอยากได้เงินได้ทอง หรือทำให้สมบัติเจริญเเล้ว น่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านั้น น่าจะเป็นการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความเพียร หรือคนอีกพวกนึงก็เห็นว่า ถ้าอยากจะได้ตังค์มากๆ ก็โกงเค้าเอาดีกว่า ไม่จำเป็นต้องไปบูชาพระพุทธรูป หรือรูปพระสงฆ์ เเต่ว่าทุกวันนี้ทางวัดหนักไปทางโฆษณา เช่นนี้ทำให้เกิดผลขึ้นที่ไม่น่าปรารถณา เราเคยนึกอยู่เสมอเหมือนกันว่า ทางวัดใช้วิธีการของโลกมากไป คนอยากฟังอะไรก็มักจะส่งเสริมในสิ่งที่เค้าอยากฟัง อย่างคนที่มีตันหาอยู่ ก็สอนในทางที่จะให้เค้ามีตันหามากขึ้น คนที่มีอุปทานอยู่ เเทนที่จะสอนไปในทางปราบอุปทานกลับไปสอนให้มีอุปทานเพิ่มขึ้น หรือบางทีก็มีการทรงเจ้าเข้าผี หรืออะไรต่างๆ ไปเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องตันหาอุปทาน ทั้งนั้น เเล้วก็เรียกคนเข้ามาเลื่อมใสได้มาก เราไม่เข้าใจที่ท่านทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เเต่เมื่อสืบสวนก็ได้ความว่าท่านทำไปเพื่อหาเงิน อ้างว่าหาเงินเข้าวัด ทำให้คิดต่อไปอีก วัดนั้นมีประโยชน์สำหรับอะไร คือถ้าวัดเป็นสถานที่ตั้งของธรรมะ สำหรับเผยเเผ่ธรรมะในทางที่ถูกเเล้ว มันจะขัดกันในการที่จะใช้วิธีซึ่งไม่ใช่ธรรมะ คือเราไปล่อให้คนเค้าติด เพื่อจะเอาตังค์เค้า เเทนที่จะเป็นสถานที่เเห่งความหลุดพ้น วัดทุกวันนี้ก็เป็นสถานที่ของความติดของความหลงนั่นเอง ไม่ใช่ที่ตั้งเเห่งวิมุติ เราพูดอย่างนี้จะหาว่ารุนเเรงก็สุดเเล้วเเต่ เท่าที่สังเกตุดูทุกวันนี้ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น มีการโฆษณาเเข่งเเย่งเเข่งดีกันเหมือนสินค้า ทุกวันนี้ส่งเสริมการเรียนวิปัสนากันมาก เข้าสำนักวิปัสนาต่างๆ กันเเล้วออกมานินทากัน วิปัสนาโน้นไม่ดี สู้วิปัสนานี้ไม่ได้ สำนักนี้ดีกว่าสำนักโน้น นินทาไปมาจนถึงเรื่องส่วนตัวบุคคล ครูบาอาจารย์ เราเองไม่อยู่ในสำนักวิปัสนาไหน จึงรู้มากเพราะได้รับคำนินทาทุกสำนัก ใครๆก็มาหาเรา เเล้วก็มานินทาให้ฟังหมดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีรายละเอียดซึ่งเราไม่อยากพูด เมื่อนั่งวิปัสนาเพื่อออกเที่ยวนินทาก็เเล้วอย่างนี้ เราก็ไม่เห็นว่าวิปัสนานั้นจะเป็นการส่งเสริมธรรมะ หรือทำให้คนเข้าใจธรรมะได้อย่างไร ปัญหาทุกวันนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าเรไม่หยุดพูดต่อไป เดี๋ยวก็พูดเสียคนเดียวเท่านั้นเอง !
** ให้ดูโลกทั้งหมดนี้โดยความเป็นของว่าง เเต่เราไม่เห็นเป็นว่าง !
" วัด " พวกเราเห็นกันทุกคน เเต่ไม่ยอมรับกันเนอะ
** ความเห็นเเก่ตัว เป็นรากเหง้าขอการกระทำชั่วทั้งปวง เเละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง
> เวลาที่ใครพยายามพูด อธิบาย หรือ อภิปราย " ธรรมะ"
มันทั้งดู ทั้งฟัง อย่างน่าเบื่อหน่ายมากๆ เพราะมันไม่ใช่ธรรมะที่เเท้จริงเลย ธรรมะตัวจริง เเละสูงสุดนั้น มันสุดวิสัยที่คนจะเอามาพูดกัน หรืออภิปราย เพราะมีลักษณะที่เรียกว่า " เฉพาะตน "
>> พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ คือภาวะ ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระธรรม คือปฏิบัติ ไปในลักษณะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระสงฆ์ คือบุคคลที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
>> โลก กับ ทุกข์ เเทนกันได้ เพราะโลก ไม่มีทุกข์เเละสุข เราต่างไปยึดมั่นว่าของเรา ตัวของเรา
** คนทั่วไปไม่ศึกษาธรรมะ ก็ย่อมจะหมดความสนใจ เห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ สู้การทำมาหากินปรกติไม่ได้ ยกตัวอย่างเป็นต้น
ถ้าวัดใดวัดนึงจะโฆษณาพระเครื่องราง หรือหลวงพ่อต่างๆ ถ้าใครได้ไปเเล้วบูชาเเล้วจะทำให้เกิดทรัพย์สมบัติมาก อย่างนี้มีคนเชื่อได้มาก เป็นความเลื่อมใสศรัทธาที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล เเต่มีคนอีกมากมายทีเดียว เห็นว่าถ้าอยากได้เงินได้ทอง หรือทำให้สมบัติเจริญเเล้ว น่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านั้น น่าจะเป็นการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความเพียร หรือคนอีกพวกนึงก็เห็นว่า ถ้าอยากจะได้ตังค์มากๆ ก็โกงเค้าเอาดีกว่า ไม่จำเป็นต้องไปบูชาพระพุทธรูป หรือรูปพระสงฆ์ เเต่ว่าทุกวันนี้ทางวัดหนักไปทางโฆษณา เช่นนี้ทำให้เกิดผลขึ้นที่ไม่น่าปรารถณา เราเคยนึกอยู่เสมอเหมือนกันว่า ทางวัดใช้วิธีการของโลกมากไป คนอยากฟังอะไรก็มักจะส่งเสริมในสิ่งที่เค้าอยากฟัง อย่างคนที่มีตันหาอยู่ ก็สอนในทางที่จะให้เค้ามีตันหามากขึ้น คนที่มีอุปทานอยู่ เเทนที่จะสอนไปในทางปราบอุปทานกลับไปสอนให้มีอุปทานเพิ่มขึ้น หรือบางทีก็มีการทรงเจ้าเข้าผี หรืออะไรต่างๆ ไปเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องตันหาอุปทาน ทั้งนั้น เเล้วก็เรียกคนเข้ามาเลื่อมใสได้มาก เราไม่เข้าใจที่ท่านทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เเต่เมื่อสืบสวนก็ได้ความว่าท่านทำไปเพื่อหาเงิน อ้างว่าหาเงินเข้าวัด ทำให้คิดต่อไปอีก วัดนั้นมีประโยชน์สำหรับอะไร คือถ้าวัดเป็นสถานที่ตั้งของธรรมะ สำหรับเผยเเผ่ธรรมะในทางที่ถูกเเล้ว มันจะขัดกันในการที่จะใช้วิธีซึ่งไม่ใช่ธรรมะ คือเราไปล่อให้คนเค้าติด เพื่อจะเอาตังค์เค้า เเทนที่จะเป็นสถานที่เเห่งความหลุดพ้น วัดทุกวันนี้ก็เป็นสถานที่ของความติดของความหลงนั่นเอง ไม่ใช่ที่ตั้งเเห่งวิมุติ เราพูดอย่างนี้จะหาว่ารุนเเรงก็สุดเเล้วเเต่ เท่าที่สังเกตุดูทุกวันนี้ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น มีการโฆษณาเเข่งเเย่งเเข่งดีกันเหมือนสินค้า ทุกวันนี้ส่งเสริมการเรียนวิปัสนากันมาก เข้าสำนักวิปัสนาต่างๆ กันเเล้วออกมานินทากัน วิปัสนาโน้นไม่ดี สู้วิปัสนานี้ไม่ได้ สำนักนี้ดีกว่าสำนักโน้น นินทาไปมาจนถึงเรื่องส่วนตัวบุคคล ครูบาอาจารย์ เราเองไม่อยู่ในสำนักวิปัสนาไหน จึงรู้มากเพราะได้รับคำนินทาทุกสำนัก ใครๆก็มาหาเรา เเล้วก็มานินทาให้ฟังหมดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีรายละเอียดซึ่งเราไม่อยากพูด เมื่อนั่งวิปัสนาเพื่อออกเที่ยวนินทาก็เเล้วอย่างนี้ เราก็ไม่เห็นว่าวิปัสนานั้นจะเป็นการส่งเสริมธรรมะ หรือทำให้คนเข้าใจธรรมะได้อย่างไร ปัญหาทุกวันนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าเรไม่หยุดพูดต่อไป เดี๋ยวก็พูดเสียคนเดียวเท่านั้นเอง !
** ให้ดูโลกทั้งหมดนี้โดยความเป็นของว่าง เเต่เราไม่เห็นเป็นว่าง !