จากวิกฤติโรค Covid ที่อาจจะทำให้กระทบกับค่าผ่อนบ้าน ทางธนาคารต่าง ๆ ได้ออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือ โดยเฉพาะ พักชำระหนี้ทั้งต้น และดอกเบี้ย จำนวน 3 เดือน
มาดูสิว่า เรากับธนาคารเข้าใจตรงกันหรือเปล่า โดยเฉพาะ ดอกเบี้ย ธนาคารจะยังคิดต่อเนื่องไหม
จึงขออธิบายให้พอเข้าใจดังนี้ โดยมีทั้งหมด 3 หัวข้อหลัก คือ
1.วิธีคิดดอกเบี้ย และตัดต้น
2.มาตรการที่ช่วยเหลือ มีอะไรบ้าง
3.คำถามที่ควรถาม หรือที่เราควรรู้ เมื่อเข้าสู่มาตรการ
-----------------------------------
พื้นฐานการคิดดอกเบี้ย : เวลาจ่ายเงินผ่อนต่อเดือนไป การคิดดอกเบี้ย และตัดเงินต้น ทำกันยังไง
1.หนี้ที่กู้มานั้น ส่วนที่สำคัญในสัญญาที่ต้องรู้คือ เงินกู้ทั้งหมดเท่าไร อัตราดอกเบี้ยแต่ละปีเป็นเท่าไร เงินผ่อนเป็นเท่าไร
2.เงินผ่อนต่อเดือน(ค่างวด) เวลาจ่ายให้ธนาคาร เขาจะเอาไปจ่ายดอกเบี้ยก่อน เหลือเท่าไรก็จะไปจ่ายส่วนของเงินต้น
3.ดอกเบี้ยคิดเป็นรายวัน ตามเงินต้นที่ค้างอยู่ ณ วันนั้น ๆ
เช่น วันที่ 1 มีนา มีหนี้ค้าง 1.2 ล้านบาท ดอกเบี้ยตอนนี้ 3%
ดังนั้น วันที่ 2 มีนา จะมีดอกเบี้ยขึ้นมา 98.7 บาท พอครบ 31 วัน เราก็จะมีดอกเบี้ยค้างจ่ายอยู่ประมาณ 3,057 บาท (ขอปัดตัวเลขเป็น 3,000 บาทนะ)
4.เมื่อเราจ่ายค่างวดในวันที่ 1 เมษา สมมติ 7,000 บาท ก็จะหลายเป็นจ่ายดอกเบี้ย 3,000 บาท และจ่ายเพื่อตัดส่วนของเงินต้น 4,000 บาท
ก็จะทำให้ยอดหนี้เราลดลง เหลือ = 1,200,000 - 4,000 = 1,106,000 บาท
5. ตัวเลข 1,106,000 บาท ก็จะเป็นหนี้ค้าง ณ วันที่ 1 เมษา แล้วดอกเบี้ยของเดือนนี้ ก็จะคำนวณตามยอดนี้แทน ตามวิธีในข้อ 2-4 วนไปเรื่อย ๆ จนตัดจ่ายเงินต้นหมด
-----------------------------------
มาตรการที่ออกมาช่วยเหลือนั้น มีแบบไหนบ้าง
เรากู้อยู่กับธนาคารไหน ลองดูในรูปประกอบว่าธนาคารเรา ช่วยมาตรการแบบไหนบ้าง ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามเวลา และเงื่อนไขต่าง ๆ
มาตรการที่มี เช่น
1.พักการชำระเงินต้น ผ่อนแต่ดอกเบี้ย
แบบนี้ จะกำหนดค่างวดลดลง แต่ใช้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม และเราจ่ายแต่ดอกเบี้ย
เช่น เคยจ่าย 7,000 เป็นดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000
จะกลายเป็นเหลือจ่ายค่างวดแค่ 3,000 ต่อเดือน
ส่วนเงินต้นยังเป็น 1.2 ล้าน ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจ่ายมากกว่า 3,000 บาท เพื่อให้มีเหลือไปตัดเงินต้น
2.พักชำระหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เช่น ออมสิน กรุงไทย ทหารไทย ธนชาติ ** ตอนนี้กำลังฮือฮากันมากเลย อยากให้อ่านดี ๆ เรื่องดอกเบี้ย กลัวเข้าใจผิด **
มาตรการแบบนี้ เราไม่ต้องจ่ายเงินเลย ตามเวลาที่กำหนด
** แต่โดยทั่วไปการคิดดอกเบี้ย ยังจะคำนวณตามปกตินะ คือเดินทุกวัน **
กรณีดอกเบี้ยเดินปกติ เช่น หนี้ 1.2 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 7,000 เป็นดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000 บาท
พักชำระหนี้ให้ จำนวน 3 เดือน แปลว่า ธนาคารจะไม่เรียกเก็บ ไม่หักบัญชีเลย 3 เดือน
แต่ว่าดอกเบี้ยยังคิดรายวันไปเรื่อย ๆ นะ สามเดือน ก็คร่าว ๆ ประมาณ 9,000 บาท
ดังนั้น ณ เดือนที่ 4 เรามีเงินต้นค้างอยู่ 1.2 ล้านเท่าเดิม และ ดอกเบี้ยค้างเพิ่มเป็น 9,000 บาท เรียกว่าดอกเบี้ยคงค้าง
คราวนี้ ดอกเบี้ยก้อนนี้เราจะจ่ายเมื่อไร ธนาคารอาจจะคิดสามแบบ ได้แก่
2.1 ให้จ่ายในงวดสุดท้าย
หมายความว่า ณ เดือนที่ 4 เราก็มาจ่ายค่างวดตามปกติ ตัดดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งงวดสุดท้าย ต้องจ่าย 7,000 + 9,000 บาท
ตัวดอกเบี้ยคงค้างนี้ ดูได้ในใบเสร็จ
2.2 ให้จ่ายงวดแรกเลย หมายความว่า พอเรามาจ่ายเงิน ณ เดือนที่ 4 จ่ายค่างวด 7,000 เงินจำนวนนี้ ก็จะไปจ่ายดอกเบี้ยคงค้างที่ค้างไว้ เป็นจำนวน 7,000 ก็ยังจะเหลือดอกเบี้ยค้างอีก 2,000 บาท ก็จะไปทบกับงวดถัดไปเรื่อย ๆ
วิธีนี้ จะทำให้เรายืดการใช้จ่ายได้ แต่พอไปจ่ายงวดที่ 4 เงินต้นจะไม่ลดเลยนะครับ
2.3 เฉลี่ยดอกเบี้ยคงค้างเข้าไปใหม่ หมายถึง เฉลี่ยดอกเบี้ยคงค้าง 9,000 บาท ใส่ไปในเงินงวดเลย ให้ค่อย ๆ ตัดชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ
วิธีที่ทำโดยทั่วไป น่าจะเป็นแบบที่ 2.1 เพราะกระทบน้อยสุด
3.ลดยอดผ่อนชำระรายเดือน
แบบนี้ ค่างวดลดลง แต่อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม
เช่น ค่างวด 7,000 ลดลงเหลือ 4,500 ต่อเดือน
ดังนั้นจะเป็นดอกเบี้ย 3,000 ตัดเงินต้น 1,500 บาท
งวดต่อไป จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง เนื่องจากเงินต้น ลดลงด้วย
บางคนรู้สึกดี ได้ตัดเงินต้นไปบ้าง
4.ลดอัตราดอกเบี้ย
แบบนี้ดีงาม ค่างวดก็ลดลง อัตราดอกเบี้ยลดลง
เช่น 7,000 เหลือ 4,500 บาท แต่ดอกเบี้ยลดลงครึ่งนึง จาก 3,000 เหลือ 1,500
ดังนั้น ค่างวดใหม่ 4,500 ดอกเบี้ย 1,500 เหลือไปตัดต้นอีก 3,000 บาท เดือนหน้า ก็จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไปอีกกกกก
5. ขยายระยะเวลา
เป็นแนวคิดที่ทำให้ค่างวดต่อเดือนต่ำลง สมมติ ดอกเบี้ย 0% ยอด 1,200,000 บาท จ่าย 1 ปี ก็ต้องจ่ายเดือนละหนึ่งแสนบาท
เมื่อขอขยายระยะเวลาจาก 1 ปี ไปเป็น 2 ปี ก็จะทำให้ค่างวดลดลงจาก หนึ่งแสน เหลือ ห้าหมื่นบาท นั่นเอง
แต่ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่า ขยายไปได้อีกกี่ปี ตอนนั้นอายุเราจะเท่าไร ยังจะมีรายได้มาจ่ายค่าผ่อนอยู่ไหม
-----------------------------------
คำถามที่ควรถาม คำตอบที่ควรเข้าใจ
พอเข้าใจตรงนี้แล้ว ไม่ว่ามาตรการไหน ๆ เวลาคุยกับธนาคาร จะได้ถามให้ชัดเจนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ดังนี้
1.กรณีพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยด้วย ดอกเบี้ยมีการคิดคำนวณตามปกติหรือไม่ หรือว่ายกเว้นดอกเบี้ยให้ด้วย
2.ค่างวดใหม่ที่ต้องผ่อนต่อเดือนช่วงนี้เป็นเท่าไร
3.ค่างวดใหม่นี้ ต้องจ่ายอีกกี่เดือน
4.เมื่อครบกำหนดแล้ว ค่างวดที่ต้องจ่ายในเดือนถัดไป เป็นเท่าไร
5.อัตราดอกเบี้ยตอนนี้เป็นเท่าไร เท่าเดิมหรือลดลง ถ้าไม่ได้ลดให้เลย ลองถามเลยว่า "ลดหน่อยได้ไหม"
6.เมื่อครบกำหนดแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไร (อย่างน้อยควรจะเป็นเท่าเดิม ณ ปัจจุบัน)
7.เงินงวดใหม่ที่จะจ่ายช่วงนี้ จ่ายดอกเบี้ย แล้วมีเงินเหลือไปตัดเงินต้นไหม (ย้ำเพื่อความมั่นใจ)
คำถามนี้เป็นคำถามพื้นฐานที่เราควรจะเข้าใจไว้ด้วยเช่นกันนะครับ ซึ่งในแต่ละธนาคาร อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป
และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง
-----------------------------------
คำแนะนำ และข้อควรทราบทั่วไป
1.ควรเข้ามาตรการนี้ไหม
ถ้าใครได้รับผลกระทบ ผมแนะนำให้เข้ามาตรการนี้ไว้ก่อน แล้วถ้ามีเงินเหลือ ก็ให้จ่ายค่างวดต่อเดือนเหมือนปกติได้ ไม่เสียหายอะไร
2.เราไม่ได้เสียเปรียบธนาคารใด ๆ อย่าไปคิดว่า ฉันรายได้ลดลง ทำไมธนาคารไม่ยอมลดรายได้ตัวเองลงบ้าง ตอนนี้เอาแค่นี้ไว้ก่อน ให้ตัวเองรอดก่อน
3.ข้อดีของมาตรการนี้ด้วย คือไม่ทำให้ประวัติในเครดิตบูโร ด่างพร้อยแต่อย่างใด (ถ้าเป็นกรณีปกติ จะถือว่าประวัติไม่ดี)
4.ผมก็หวังว่า ทางรัฐและธนาคารต่าง ๆ จะออกมาตรการเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยลง เช่น ลดให้ทุกคน 3% โดยธนาคารยอมลง 1.5% รัฐอุดหนุนให้ 1.5% เป็นต้น
ธนาคารไหน ช่วยอะไรบ้าง ดูตามรูปนะครับ
เบอร์โทร แนบไว้ให้แล้ว แต่คงโทรยากนิดนึงช่วงนี้
ขอเอาใจช่วย ให้ทุกคนผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ
#หนี้รัก
#Covid
#มาตรการพักชำระหนี้
มาตรการของธนาคารต่าง ๆ ดูในรูปได้เลย อ้างอิงจากที่นี่นะครับ
https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/Pages/FI_Support.aspx
ข้อมูลของแต่ละธนาคาร
ธอส :
https://www.ghbank.co.th/…/detail/public-re…/ghbank-covid-19
TMB และ ธนชาติ :
https://www.tmbbank.com/page/view/loan-covid19.html
เพจเจ้าของกระทู้
https://www.facebook.com/LovelyDebt/posts/2906467666059339?__tn__=K-R
เรื่องที่ต้องรุ้ คำถามที่ควรถามธนาคาร เมื่อเข้ามาตรการช่วยเหลือหรือพักชำระหนี้ จากสถานการณ์ Covid 19 กรณีสินเชื่อบ้าน
มาดูสิว่า เรากับธนาคารเข้าใจตรงกันหรือเปล่า โดยเฉพาะ ดอกเบี้ย ธนาคารจะยังคิดต่อเนื่องไหม
จึงขออธิบายให้พอเข้าใจดังนี้ โดยมีทั้งหมด 3 หัวข้อหลัก คือ
1.วิธีคิดดอกเบี้ย และตัดต้น
2.มาตรการที่ช่วยเหลือ มีอะไรบ้าง
3.คำถามที่ควรถาม หรือที่เราควรรู้ เมื่อเข้าสู่มาตรการ
-----------------------------------
พื้นฐานการคิดดอกเบี้ย : เวลาจ่ายเงินผ่อนต่อเดือนไป การคิดดอกเบี้ย และตัดเงินต้น ทำกันยังไง
1.หนี้ที่กู้มานั้น ส่วนที่สำคัญในสัญญาที่ต้องรู้คือ เงินกู้ทั้งหมดเท่าไร อัตราดอกเบี้ยแต่ละปีเป็นเท่าไร เงินผ่อนเป็นเท่าไร
2.เงินผ่อนต่อเดือน(ค่างวด) เวลาจ่ายให้ธนาคาร เขาจะเอาไปจ่ายดอกเบี้ยก่อน เหลือเท่าไรก็จะไปจ่ายส่วนของเงินต้น
3.ดอกเบี้ยคิดเป็นรายวัน ตามเงินต้นที่ค้างอยู่ ณ วันนั้น ๆ
เช่น วันที่ 1 มีนา มีหนี้ค้าง 1.2 ล้านบาท ดอกเบี้ยตอนนี้ 3%
ดังนั้น วันที่ 2 มีนา จะมีดอกเบี้ยขึ้นมา 98.7 บาท พอครบ 31 วัน เราก็จะมีดอกเบี้ยค้างจ่ายอยู่ประมาณ 3,057 บาท (ขอปัดตัวเลขเป็น 3,000 บาทนะ)
4.เมื่อเราจ่ายค่างวดในวันที่ 1 เมษา สมมติ 7,000 บาท ก็จะหลายเป็นจ่ายดอกเบี้ย 3,000 บาท และจ่ายเพื่อตัดส่วนของเงินต้น 4,000 บาท
ก็จะทำให้ยอดหนี้เราลดลง เหลือ = 1,200,000 - 4,000 = 1,106,000 บาท
5. ตัวเลข 1,106,000 บาท ก็จะเป็นหนี้ค้าง ณ วันที่ 1 เมษา แล้วดอกเบี้ยของเดือนนี้ ก็จะคำนวณตามยอดนี้แทน ตามวิธีในข้อ 2-4 วนไปเรื่อย ๆ จนตัดจ่ายเงินต้นหมด
-----------------------------------
มาตรการที่ออกมาช่วยเหลือนั้น มีแบบไหนบ้าง
เรากู้อยู่กับธนาคารไหน ลองดูในรูปประกอบว่าธนาคารเรา ช่วยมาตรการแบบไหนบ้าง ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามเวลา และเงื่อนไขต่าง ๆ
มาตรการที่มี เช่น
1.พักการชำระเงินต้น ผ่อนแต่ดอกเบี้ย
แบบนี้ จะกำหนดค่างวดลดลง แต่ใช้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม และเราจ่ายแต่ดอกเบี้ย
เช่น เคยจ่าย 7,000 เป็นดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000
จะกลายเป็นเหลือจ่ายค่างวดแค่ 3,000 ต่อเดือน
ส่วนเงินต้นยังเป็น 1.2 ล้าน ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจ่ายมากกว่า 3,000 บาท เพื่อให้มีเหลือไปตัดเงินต้น
2.พักชำระหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เช่น ออมสิน กรุงไทย ทหารไทย ธนชาติ ** ตอนนี้กำลังฮือฮากันมากเลย อยากให้อ่านดี ๆ เรื่องดอกเบี้ย กลัวเข้าใจผิด **
มาตรการแบบนี้ เราไม่ต้องจ่ายเงินเลย ตามเวลาที่กำหนด
** แต่โดยทั่วไปการคิดดอกเบี้ย ยังจะคำนวณตามปกตินะ คือเดินทุกวัน **
กรณีดอกเบี้ยเดินปกติ เช่น หนี้ 1.2 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 7,000 เป็นดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000 บาท
พักชำระหนี้ให้ จำนวน 3 เดือน แปลว่า ธนาคารจะไม่เรียกเก็บ ไม่หักบัญชีเลย 3 เดือน
แต่ว่าดอกเบี้ยยังคิดรายวันไปเรื่อย ๆ นะ สามเดือน ก็คร่าว ๆ ประมาณ 9,000 บาท
ดังนั้น ณ เดือนที่ 4 เรามีเงินต้นค้างอยู่ 1.2 ล้านเท่าเดิม และ ดอกเบี้ยค้างเพิ่มเป็น 9,000 บาท เรียกว่าดอกเบี้ยคงค้าง
คราวนี้ ดอกเบี้ยก้อนนี้เราจะจ่ายเมื่อไร ธนาคารอาจจะคิดสามแบบ ได้แก่
2.1 ให้จ่ายในงวดสุดท้าย
หมายความว่า ณ เดือนที่ 4 เราก็มาจ่ายค่างวดตามปกติ ตัดดอกเบี้ย 3,000 เงินต้น 4,000 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งงวดสุดท้าย ต้องจ่าย 7,000 + 9,000 บาท
ตัวดอกเบี้ยคงค้างนี้ ดูได้ในใบเสร็จ
2.2 ให้จ่ายงวดแรกเลย หมายความว่า พอเรามาจ่ายเงิน ณ เดือนที่ 4 จ่ายค่างวด 7,000 เงินจำนวนนี้ ก็จะไปจ่ายดอกเบี้ยคงค้างที่ค้างไว้ เป็นจำนวน 7,000 ก็ยังจะเหลือดอกเบี้ยค้างอีก 2,000 บาท ก็จะไปทบกับงวดถัดไปเรื่อย ๆ
วิธีนี้ จะทำให้เรายืดการใช้จ่ายได้ แต่พอไปจ่ายงวดที่ 4 เงินต้นจะไม่ลดเลยนะครับ
2.3 เฉลี่ยดอกเบี้ยคงค้างเข้าไปใหม่ หมายถึง เฉลี่ยดอกเบี้ยคงค้าง 9,000 บาท ใส่ไปในเงินงวดเลย ให้ค่อย ๆ ตัดชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ
วิธีที่ทำโดยทั่วไป น่าจะเป็นแบบที่ 2.1 เพราะกระทบน้อยสุด
3.ลดยอดผ่อนชำระรายเดือน
แบบนี้ ค่างวดลดลง แต่อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม
เช่น ค่างวด 7,000 ลดลงเหลือ 4,500 ต่อเดือน
ดังนั้นจะเป็นดอกเบี้ย 3,000 ตัดเงินต้น 1,500 บาท
งวดต่อไป จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง เนื่องจากเงินต้น ลดลงด้วย
บางคนรู้สึกดี ได้ตัดเงินต้นไปบ้าง
4.ลดอัตราดอกเบี้ย
แบบนี้ดีงาม ค่างวดก็ลดลง อัตราดอกเบี้ยลดลง
เช่น 7,000 เหลือ 4,500 บาท แต่ดอกเบี้ยลดลงครึ่งนึง จาก 3,000 เหลือ 1,500
ดังนั้น ค่างวดใหม่ 4,500 ดอกเบี้ย 1,500 เหลือไปตัดต้นอีก 3,000 บาท เดือนหน้า ก็จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไปอีกกกกก
5. ขยายระยะเวลา
เป็นแนวคิดที่ทำให้ค่างวดต่อเดือนต่ำลง สมมติ ดอกเบี้ย 0% ยอด 1,200,000 บาท จ่าย 1 ปี ก็ต้องจ่ายเดือนละหนึ่งแสนบาท
เมื่อขอขยายระยะเวลาจาก 1 ปี ไปเป็น 2 ปี ก็จะทำให้ค่างวดลดลงจาก หนึ่งแสน เหลือ ห้าหมื่นบาท นั่นเอง
แต่ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่า ขยายไปได้อีกกี่ปี ตอนนั้นอายุเราจะเท่าไร ยังจะมีรายได้มาจ่ายค่าผ่อนอยู่ไหม
-----------------------------------
คำถามที่ควรถาม คำตอบที่ควรเข้าใจ
พอเข้าใจตรงนี้แล้ว ไม่ว่ามาตรการไหน ๆ เวลาคุยกับธนาคาร จะได้ถามให้ชัดเจนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ดังนี้
1.กรณีพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยด้วย ดอกเบี้ยมีการคิดคำนวณตามปกติหรือไม่ หรือว่ายกเว้นดอกเบี้ยให้ด้วย
2.ค่างวดใหม่ที่ต้องผ่อนต่อเดือนช่วงนี้เป็นเท่าไร
3.ค่างวดใหม่นี้ ต้องจ่ายอีกกี่เดือน
4.เมื่อครบกำหนดแล้ว ค่างวดที่ต้องจ่ายในเดือนถัดไป เป็นเท่าไร
5.อัตราดอกเบี้ยตอนนี้เป็นเท่าไร เท่าเดิมหรือลดลง ถ้าไม่ได้ลดให้เลย ลองถามเลยว่า "ลดหน่อยได้ไหม"
6.เมื่อครบกำหนดแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไร (อย่างน้อยควรจะเป็นเท่าเดิม ณ ปัจจุบัน)
7.เงินงวดใหม่ที่จะจ่ายช่วงนี้ จ่ายดอกเบี้ย แล้วมีเงินเหลือไปตัดเงินต้นไหม (ย้ำเพื่อความมั่นใจ)
คำถามนี้เป็นคำถามพื้นฐานที่เราควรจะเข้าใจไว้ด้วยเช่นกันนะครับ ซึ่งในแต่ละธนาคาร อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป
และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง
-----------------------------------
คำแนะนำ และข้อควรทราบทั่วไป
1.ควรเข้ามาตรการนี้ไหม
ถ้าใครได้รับผลกระทบ ผมแนะนำให้เข้ามาตรการนี้ไว้ก่อน แล้วถ้ามีเงินเหลือ ก็ให้จ่ายค่างวดต่อเดือนเหมือนปกติได้ ไม่เสียหายอะไร
2.เราไม่ได้เสียเปรียบธนาคารใด ๆ อย่าไปคิดว่า ฉันรายได้ลดลง ทำไมธนาคารไม่ยอมลดรายได้ตัวเองลงบ้าง ตอนนี้เอาแค่นี้ไว้ก่อน ให้ตัวเองรอดก่อน
3.ข้อดีของมาตรการนี้ด้วย คือไม่ทำให้ประวัติในเครดิตบูโร ด่างพร้อยแต่อย่างใด (ถ้าเป็นกรณีปกติ จะถือว่าประวัติไม่ดี)
4.ผมก็หวังว่า ทางรัฐและธนาคารต่าง ๆ จะออกมาตรการเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยลง เช่น ลดให้ทุกคน 3% โดยธนาคารยอมลง 1.5% รัฐอุดหนุนให้ 1.5% เป็นต้น
ธนาคารไหน ช่วยอะไรบ้าง ดูตามรูปนะครับ
เบอร์โทร แนบไว้ให้แล้ว แต่คงโทรยากนิดนึงช่วงนี้
ขอเอาใจช่วย ให้ทุกคนผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ
#หนี้รัก
#Covid
#มาตรการพักชำระหนี้
มาตรการของธนาคารต่าง ๆ ดูในรูปได้เลย อ้างอิงจากที่นี่นะครับ
https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/Pages/FI_Support.aspx
ข้อมูลของแต่ละธนาคาร
ธอส : https://www.ghbank.co.th/…/detail/public-re…/ghbank-covid-19
TMB และ ธนชาติ : https://www.tmbbank.com/page/view/loan-covid19.html
เพจเจ้าของกระทู้
https://www.facebook.com/LovelyDebt/posts/2906467666059339?__tn__=K-R