เชื้อไวรัสโควิด-19 อาจเป็น "ไคมีรา" (Chimera) สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก

 “โควิด-19” อาจเป็นไวรัสพันธุ์ผสม ที่เกิดจากไวรัสในสัตว์สองชนิด



และในบรรดาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่ออกมานั้น ล่าสุดก็มีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เพราะในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ รองศาสตราจารย์ Alexandre Hassanin ออกมาเปิดเผยว่า  ไวรัส “SARS-CoV-2” ซึ่งก่อให้เกิดโรคโควิด-19นั้น แท้จริงแล้วอาจจะเป็นไวรัสพันธุ์ผสม ที่เกิดขึ้นมาจากไวรัสอื่นๆ ในสัตว์สองชนิดก็เป็นได้

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2020 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบ DNA ในเบื้องต้นของ ไวรัส SARS-CoV-2 และพบว่ามันมีโมเลกุล RNA ประมาณ 30,000 ตัว และส่วนใหญ่มีความใกล้เคียงกับไวรัสที่มักถูกพบในค้างคาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัส “RaTG13” ที่มีความคล้ายคลึงกันถึง 96%

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 นักวิทยาศาสตร์กลับพบความจริงใหม่คือ   เมื่อพวกเขาพบไวรัสที่มีความคล้ายคลึงกับ ไวรัส SARS-CoV-2 สูงถึง 99% ในตัวลิ่น   ทำให้สัตว์ตัวนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นต้นกำเนิดโรคร้ายนี้มากกว่าค้างคาว  ตัวเลขที่ใกล้เคียงมากทั้งสองชิ้นนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งมองว่าไวรัสตัวนี้อาจเกิดขึ้นจากการผสมกันระหว่างไวรัสสองตัวก็เป็นได้

เพราะแม้ว่าไวรัสในลิ่นจะมีความคล้ายกับ ไวรัส SARS-CoV-2  แต่ไวรัสที่มีอยู่ในตัวลิ่นที่พบในจีนและลิ่นมาเลเซียกลับมีความสอดคล้องของจีโนมเพียงแค่ 90% เท่านั้น ทำให้มันไม่น่าจะเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายในจีนได้

ในขณะที่ ไวรัส RaTG13 เองก็มีกรดอะมิโนซึ่งตามปกติไวรัสโคโรนาลักลอบเข้าสู่เซลล์คล้ายกับ ไวรัส SARS-CoV-2เพียง 77% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าไวรัสที่มาจาก RaTG13 นั้นไม่น่าจะมีความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จึงคิดว่า  มีความเป็นไปได้ใหม่ที่ว่าไวรัส SARS-CoV-2 อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดจากไวรัสในค้างคาวกับตัวลิ่นรวมกัน โดยไวรัสตัวนี้อาจจะได้รับกรดอะมิโนซึ่งประกอบเป็น ACE2 (Angiotensin Converting Enzyme 2) มาจากตัวลิ่นในขณะที่โครงสร้างอื่นๆ มาจาก RaTG13 ของค้างคาวอีกที

ถึงอย่างนั้นแนวคิดที่ออกมาก็จะยังคงทำให้เกิดคำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้อยู่หลายข้อ เช่น “การรวมตัวของไวรัสที่ว่านี้เกิดขึ้นภายในสัตว์อะไร” (ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้ง ค้างคาว ลิ่น หรือแม้แต่งู) หรือ “เพราะเหตุใดกับไวรัสทั้งสองนี้จึงได้สามารถรวมตัวกันแบบนี้ได้” 

ที่มา theconversation, jvi และ sciencealert
Cr.https://www.catdumb.tv/two-viruses-may-have-combined-to-create-coronavirus-378/ By เหมียวศรัทธา




 ภาพบรรยากาศถนนในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ที่ว่างเปล่า

 

ตั้งแต่ที่โรคโควิด-19 ระบาดหลายๆ ประเทศในโลกก็เริ่มที่จะมีที่จะออกมาตรการต่างๆ เพื่อที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ออกมากันเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในมาตรการที่หลายๆ ประเทศเลือกใช้ก็คงจะไม่พ้นมาตรการ “กักตัว” ผู้คนในประเทศ หรืออย่างน้อยๆ ก็ลดการเดินทางของคนในประเทศลง
ด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นภาพของท้องถนนในสภาพโล่งๆ ที่ไร้ซึ่งผู้คนโดยสิ้นเชิง ซึ่งตามปกติแล้วเราคงจะไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เห็น

ภาพท้องถนนของอู่ฮั่น



อาคารและท้องถนนแห่งปราก



ประตูเมืองบรันเดนบูร์กในเบอร์ลิน



ท้องถนนแห่งโปแลนด์



ไทม์สแควร์ แห่งนิวยอร์ก



สะพานบรูคลิน



เขตการเงินหลูเจียสุยในผู่ตง เซี่ยงไฮ้



Plaza de Armas ในลาปาซ ประเทศโบลิเวีย ที่ในปัจจุบันมีแต่นกพิราบ



ถนนเปล่าๆ ในซานฟรานซิสโก



Marine Drive หนึ่งในถนนที่เคยคึกคักที่สุดในมุมไบ



ที่มา amusingplanet
Cr.https://www.catdumb.tv/the-worlds-streets-emptied-378/  By เหมียวศรัทธา




สาวน้อยต้านโลกร้อน “เกรต้า ธันเบิร์ก” ติดโควิด-19



 ( 25 มี.ค. 63 )เกรต้า ธันเบิร์ก สาวน้อยชาวสวีเดนนักเคลื่อนไหวต่อต้านโลกร้อนคนดัง โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เธอแน่ใจอย่างยิ่งว่าเธอติดโควิด19 และกักตัวเองไม่ออกไปไหนมานาน 2 สัปดาห์

เกรต้าเดินทางกลับสวีเดน หลังจากเดินทางไปทั่วยุโรปกลาง พร้อมกับบิดา และบิดาของเธอก็น่าจะติดเชื้อโควิด19 เช่นกัน ทำให้ทั้ง 2 คนแยกกันกักตัว โดยเช่าอพาร์ทเมนท์คนละห้อง ห่างไกลจากบ้านซึ่งมีแม่และน้องสาว

เกรต้าเล่าอาการของตัวเองว่า เริ่มมีอาการหลังจากเดินทางออกจากกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยี่ยม และกลับถึงสวีเดนได้ 10 วัน เธอไม่มีไข้ แต่รู้สึกเหนื่อย ตัวสั่น เจ็บคอและไอ ส่วนบิดาของเธอมีอาการหนักกว่าโดยมีไข้ด้วย  เกรต้าไม่ได้รับการตรวจโควิด19 หลังจากสวีเดนเปลี่ยนนโยบายการตรวจโควิด19 โดยไม่ตรวจผู้ติดเชื้อต้องสงสัยทุกคน แต่จะตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น เพื่อสงวนทรัพยากรในการรักษาให้แก่ผู้ที่มีอาการหนัก ส่วนผู้ที่มีอาการคล้ายกับเป็นไข้หวัดให้พักอยู่กับบ้าน

อย่างไรก็ตาม เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติแล้ว และเตือนว่าในช่วงที่เธอป่วยนั้น เธอรู้สึกเกือบเหมือนปกติ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ไวรัสนี้อันตรายมาก
ธันเบิร์กบอกว่า คนหนุ่มสาวอาจไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองป่วยอยู่ และส่งต่อไปให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเธอได้แนะนำให้คนหนุ่มสาว ทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และอยู่แต่ในบ้าน เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัส
ที่มา
website: www.TNNThailand.com  
สำนักข่าวไทย
Cr.https://www.tnnthailand.com/content/33306




กองทัพอิตาลีขนศพโควิด-19 จำนวนมากไปเผานอกเมือง 



เผยภาพอันเศร้าสลด กองทัพอิตาลีขนศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-10 จำนวนมาก  จากเมืองแบร์กาโม ไปเผายังเมืองต่างๆ เนื่องจากไม่มีพื้นที่เพียงพอรับได้อีกแล้ว อีกทั้งโรงเผาศพสามารถเผาได้วันละ 25 ศพเท่านั้น

และที่น่าเศร้าใจ ครอบครัวและญาติไม่สามารถเข้าใกล้ศพหรือนำไปทำพิธีฌาปนกิจเองได้ ศพของผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 จะต้องถูกจัดการโดยรัฐเท่านั้นเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส
เดลีเมล์ รายงานสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดในอิตาลีล่าสุดว่า  เมื่อ 24 มี.ค. ยอดรวมผู้เสียชีวิตภายใน 1 วัน มียอดถึง 743 ราย เป็นสถิติสูงสุดอันดับสอง รองจากเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มี.ค.ที่ผ่ามา คือสูงสุด 793 ราย อย่างไรก็ตาม อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอิตาลีเพิ่มเป็น 6,820 ราย ซึ่งสูงที่สุดในโลก ห่างจากจีน อันดับสอง  ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมมี 69,176 คน เพิ่มขึ้นภายในวันเดียวถึง 5,249 คน อย่างไรก็ตามก็มีผู้ฝ่าฝืนจนถูกจับปรับมาแล้ว 100,000 คน ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ในนครมิลานใช้กฎเข้มโดยทางการอนุญาตให้ออกมาซื้ออาหารเท่านั้น หากฝ่าฝืนปรับทันที 5,000 ยูโร (ราว 1.7 แสนบาท ) 

Cr.https://board.postjung.com/1204882  โพสท์โดย: Ryuki7h  



การระบาดครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร



การระบาดของไวรัสโคโรนากำลังแพร่กระจายเป็นวงกว้างโดยเฉพาะในแถบยุโรป ถนนหนทางที่เคยคราคร่ำไปด้วยผู้คนกลับเงียบสงัด ราวกับเมืองร้าง หลังมาตรการเข้มงวด เช่น ปิดสถานศึกษา หรือ จำกัดการเดินทาง ถูกนำมาบังคับใช้
แม้หลายประเทศทั่วโลกกำลังนำข้อบังคับดังกล่าวมาปฏิบัติเพื่อต่อกรกับไวรัสชนิดนี้ แต่อีกหนึ่งคำถามสำคัญ คือ เมื่อไรผู้คนจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง  ขณะนี้ยังไม่มีประเทศไหนในโลกที่มี "ยุทธศาสตร์ทางออก" จากปัญหานี้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อย่างน้อย 3 วิธี 

1. รอวัคซีน อีก 12 -18 เดือน เป็นอย่างต่ำ

วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันหากได้รับเชื้อไวรัส หาก 60% ของประชากรทั้งหมด ได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่อีกต่อไป หรือที่เรียกกันว่า "ภูมิคุ้มกันหมู่" ซึ่งมีมนุษย์คนแรกได้รับการทดลองวัคซีนในสหรัฐอเมริกานี้แล้ว เนื่องจากนักวิจัยได้รับอนุญาตให้ข้ามขั้นตอนการทดสอบในสัตว์ที่จำเป็นต้องปฏิบัติในสถานการณ์ปกติ

อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าวัคซีนดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังต้องกระจายให้ประชากรทั่วทั้งโลกอีกด้วยจึงจะยับยั้งการระบาดได้   การคาดการณ์ประเมินไว้ว่าต้องรออย่างน้อย 12 - 18 เดือน หากการทดลองดำเนินไปอย่างราบรื่น ซึ่งก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเมื่อเทียบกับผลกระทบทางด้านสังคมจากมาตรการอันเข้มงวดที่กำลังบังคับใช้กันอยู่ขณะนี้

2. ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ อย่างน้อย 2 ปี

มาตรการระยะสั้นของอังกฤษ คือ การควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบสาธารณสุข หากเตียงผู้ป่วยล้น อัตราการเสียชีวิตก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย   เมื่อสถานการณ์เริ่มทรงตัว มาตรการเข้มงวดก็อาจลดหย่อนลงได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสเริ่มตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง จึงค่อยนำข้อบังคับต่าง ๆ กลับมาใช้

แม้วิธีเช่นนี้อาจดูไม่แน่นอน แต่เซอร์ แพทริก วัลแลนซ์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษ กล่าวว่า "การจะกำหนดระยะเวลาให้เฉพาะเจาะจงในแผนนั้นเป็นไปไม่ได้"  หากดำเนินตามหนทางนี้ ก็อาจทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นเองในที่สุด เนื่องจากผู้คนทยอยติดเชื้อไวรัสกันนั่นเอง ซึ่งศาสตราจารย์ นีล เฟอร์กูสัน จาก อิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่าต้องใช้เวลาหลายปี

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าภูมิคุ้มกันดังกล่าวจะคงอยู่ยาวนานเพียงใด หากนำเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดามาเทียบเคียงแล้วก็จะพบว่า ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นคงอยู่เพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้มนุษย์ติดเชื้อตัวเดิมได้หลายครั้ง

3. ทางเลือกอื่น ๆ ที่ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่

แผนการนี้หมายรวมถึงการบังคับใช้มาตรการเข้มงวดบางอย่างเช่นเดิม หรือการมุ่งหน้าตรวจผู้ติดเชื้ออย่างขะมักเขม้นแล้วกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง
การพัฒนายารักษาโควิด-19 ก็นับเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งเช่นกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ทันทีที่ผู้ป่วยแสดงอาการ และหยุดยั้งการส่งต่อให้ผู้อื่น
นอกจากนี้ การรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลให้มีอาการดีขึ้นจนไม่จำเป็นต้องพึ่งการดูแลอย่างเข้มข้นในห้องไอซียู หรือ การเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินก็ช่วยได้เช่นกัน

ศาสตราจารย์ คริส วิตที หัวหน้าที่ปรึกษารัฐบาลด้านการแพทย์ของรัฐบาลอังกฤษ กล่าวว่า "ยุทธศาสตร์ทางออก" ของเขา คือ "ในระยะยาว เป็นที่ชัดเจนว่าวัคซีนคือทางออก และพวกเราก็หวังว่ามันจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทั่วทั้งโลก จะช่วยกันใช้วิทยาศาสตร์หาทางออก"
Cr.https://www.bbc.com/thai/51982927

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่