มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบในครอบครัว
อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่าหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็คือ ‘พันธุกรรม’ ซึ่งทำให้บางครอบครัวต้องสูญเสียสมาชิกหลายคนไปด้วยโรคชนิดเดียวกัน พี่หมอขออนุญาตเล่าเคสของครอบครัวคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อ่านทุกคนนะครับ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ที่เสียคุณย่าไป เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 ปี คุณลุง คุณอาก็มาป่วยด้วยโรคนี้อีกถึง 3 คน และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เมื่อเร็วๆนี้ พี่สาวของคนไข้ก็เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดและเริ่มรักษาด้วยคีโม เพราะเพิ่งตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกเหมือนกัน!!!
ซึ่งคนไข้ยังได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่พาคุณย่าไปรักษา คุณหมอก็เคยเตือนให้พาคนในครอบครัวมาตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะญาติๆ หลายคนก็อายุมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เกิน 50 ทั้งนั้น ยิ่งมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้อีก ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่อาจจะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองสุขภาพแข็งแรง หรืออาจจะกลัวการส่องกล้อง ทำให้สุดท้ายเลยไม่มีใครมาตรวจ กว่าจะรู้อีกที ก็สายไปซะแล้ว เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่มักไม่แสดงอาการในตอนเริ่มต้น แต่อาการจะออกมาชัดเจนเมื่อเข้าสู่ภาวะแพร่กระจาย ซึ่งนั่นหมายความว่าคนไข้มีอาการหนักและอาจจะรักษาไม่ได้แล้ว
ฟังแล้ว พี่หมอรู้สึกเสียใจและเสียดายกับคนไข้และครอบครัวมากๆ เลย เพราะจริงๆ แล้ว โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งโดยการส่องกล้องและการตรวจยีน โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการเลยด้วยซ้ำ
ว่าแต่นอกเหนือจากพันธุกรรมและอายุแล้ว อยากรู้มั้ยครับว่ามีอะไรอีกบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ และวิธีการส่องกล้องและการตรวจยีนเป็นอย่างไร วันนี้พี่หมอมีรายละเอียดมาฝากกันเช่นเคยครับ
ปัจจัยเสี่ยง
· อายุมากกว่า 50 ปี
· ท้องผูกบ่อย
· ชอบรับประทานอาหารประเภทปิ้งย่าง โดยเฉพาะแบบไหม้เกรียม
· สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
· มีความเครียดสะสมเรื้อรัง
· มีบุคคลในครอบครัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จากพันธุกรรม
· มีประวัติญาติพี่น้องสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด มะเร็งทวารหนักและอื่นๆ มากกว่า 2 คนขึ้นไป หรือมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้เพียงคนเดียวในช่วงอายุน้อยกว่า 50 ปี
· ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้มีอินซูลินในร่างกายสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งอินซูลินจะไปกระตุ้นให้ติ่งเนื้อภายในลำไส้ใหญ่พัฒนาไปเป็นมะเร็งได้เร็วขึ้น
· ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease -NAFLD) ซึ่งจากสถิติพบว่า 86% ของผู้ป่วยด้วยโรคนี้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็งชนิดต่างๆ
การตรวจคัดกรองโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่
American Cancer Society แนะนำให้ทุกคนเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 45 ปี ยิ่งถ้าพบคนในครอบครัวเป็นมะเร็งมากกว่า 2 คนขึ้นไปหรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นแค่เพียงคนเดียวก็ยิ่งต้องรีบตรวจให้เร็วขึ้น การตรวจคัดกรองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ และยังช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อีกด้วย
สำหรับวิธีคำนวณหาอายุที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองสามารถทำได้โดยการนำอายุของคนในครอบครัวที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ลบด้วย 10 เช่น ถ้าคุณพ่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ปี ลบออกด้วย 10 ดังนั้น ลูกๆ ก็ควรเข้ารับการตรวจตอนอายุ 30 ปี โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ
ปัจจุบัน การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยผ่านทางกล้อง NBI (Narrow Band Image) ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็สามารถตัดติ่งเนื้อที่ผิดปกติออกได้ด้วยวิธี EMR (Endoscopic Mucosal Resection) และ ESD (Endoscopic Submucosal Dissection) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery - MIS) สามารถตัดก้อนเนื้อทั้งขนาดเล็กและใหญ่ออกจากลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหารได้โดยไม่ต้องทำการเปิดแผลที่หน้าท้อง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ทำให้ระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง ผู้ป่วยจึงสามารถฟื้นตัวและกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น
ซึ่งในกรณีที่ตรวจพบติ่งเนื้อขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำทุกๆ 1-3 ปี แต่ถ้าพบติ่งขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร ก็ควรตรวจซ้ำทุกๆ 3-5 ปี ส่วนผู้ที่ไม่พบติ่งเนื้อเลยก็อาจจะตรวจอีกครั้งในระยะเวลา 5-10 ปี เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนการส่องกล้อง
· งดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการส่องกล้องอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อเป็นการทำความสะอาดลำไส้
· รับประทานยาระบายที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
· หลังขับถ่ายจนสำไส้สะอาด แพทย์จะฉีดยานอนหลับให้กับผู้ที่จะเข้ารับการตรวจ ส่วนผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว แพทย์อาจใช้วิธีดมยานอนหลับ
ชนิดไม่รุนแรงและหมดฤทธิ์เร็ว
· เวลาในการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 20-30 นาที แต่ถ้าพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติอื่นๆก็อาจใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
· รวมระยะเวลาที่ต้องใช้ทั้งสิ้นประมาณครึ่งวัน
การตรวจคัดกรองโดยการตรวจยีน
มนุษย์ทุกคนต่างก็มียีนก่อมะเร็งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่ายีนนั้นจะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งหรือไม่
ซึ่งสาเหตุก็มาจากสิ่งแวดล้อม สารเคมี พฤติกรรมการใช้ชีวิต ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม ดังนั้น การตรวจยีนมะเร็งจึงช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงและวางแผนการใช้ชีวิตในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังสามารถทำในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อช่วยหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้อีกด้วยนะครับ
ยีนมะเร็งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
· ยีนก่อมะเร็ง (Oncogenes) เป็นยีนที่กระตุ้นเซลล์ธรรมดาให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
· ยีนต้านมะเร็ง (Tumor Suppressor Genes) เป็นยีนปกติที่ช่วยซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย มีหน้าที่คอยตรวจจับยีนก่อมะเร็งที่เริ่มผิดปกติให้หยุดทำงาน ไม่ให้กลายเป็นมะเร็ง
การตรวจยีนสามารถตรวจได้จากเลือด น้ำลาย หรือเซลล์กระพุ้งแก้ม โดยที่ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร และรอผลประมาณ 30 วัน ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้กับมะเร็งทุกชนิด โดยเฉพาะมะเร็งที่พบบ่อย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากมะเร็งทั้ง 3 ชนิดนี้ส่งผลทางพันธุกรรมอย่างชัดเจน
ปัจจุบันสามารถตรวจหาความผิดปกติของยีนด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing ที่มีความแม่นยำมากถึง 90% มีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านพันธุศาสตร์และโรคซ้ำซ้อนในครอบครัวให้คำปรึกษาและคำแนะนำ สามารถตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งอื่นๆ และช่วยวางแผนป้องกันในระยะยาวได้อีกด้วยครับ
แม้มะเร็งลำไส้ใหญ่จะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยบวกกับความไม่นิ่งนอนใจของเรา โอกาสที่จะตรวจเจอและรักษาให้หายขาดได้ก็มีไม่น้อยเลยนะครับ
ช่วงนี้อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพ กันด้วยนะครับทุกคนนนน 😘😘😘
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบในครอบครัว
อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่าหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็คือ ‘พันธุกรรม’ ซึ่งทำให้บางครอบครัวต้องสูญเสียสมาชิกหลายคนไปด้วยโรคชนิดเดียวกัน พี่หมอขออนุญาตเล่าเคสของครอบครัวคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อ่านทุกคนนะครับ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ที่เสียคุณย่าไป เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 ปี คุณลุง คุณอาก็มาป่วยด้วยโรคนี้อีกถึง 3 คน และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เมื่อเร็วๆนี้ พี่สาวของคนไข้ก็เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดและเริ่มรักษาด้วยคีโม เพราะเพิ่งตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกเหมือนกัน!!!
ซึ่งคนไข้ยังได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่พาคุณย่าไปรักษา คุณหมอก็เคยเตือนให้พาคนในครอบครัวมาตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะญาติๆ หลายคนก็อายุมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เกิน 50 ทั้งนั้น ยิ่งมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้อีก ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่อาจจะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองสุขภาพแข็งแรง หรืออาจจะกลัวการส่องกล้อง ทำให้สุดท้ายเลยไม่มีใครมาตรวจ กว่าจะรู้อีกที ก็สายไปซะแล้ว เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่มักไม่แสดงอาการในตอนเริ่มต้น แต่อาการจะออกมาชัดเจนเมื่อเข้าสู่ภาวะแพร่กระจาย ซึ่งนั่นหมายความว่าคนไข้มีอาการหนักและอาจจะรักษาไม่ได้แล้ว
ฟังแล้ว พี่หมอรู้สึกเสียใจและเสียดายกับคนไข้และครอบครัวมากๆ เลย เพราะจริงๆ แล้ว โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งโดยการส่องกล้องและการตรวจยีน โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการเลยด้วยซ้ำ
ว่าแต่นอกเหนือจากพันธุกรรมและอายุแล้ว อยากรู้มั้ยครับว่ามีอะไรอีกบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ และวิธีการส่องกล้องและการตรวจยีนเป็นอย่างไร วันนี้พี่หมอมีรายละเอียดมาฝากกันเช่นเคยครับ
ปัจจัยเสี่ยง
· อายุมากกว่า 50 ปี
· ท้องผูกบ่อย
· ชอบรับประทานอาหารประเภทปิ้งย่าง โดยเฉพาะแบบไหม้เกรียม
· สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
· มีความเครียดสะสมเรื้อรัง
· มีบุคคลในครอบครัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จากพันธุกรรม
· มีประวัติญาติพี่น้องสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด มะเร็งทวารหนักและอื่นๆ มากกว่า 2 คนขึ้นไป หรือมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้เพียงคนเดียวในช่วงอายุน้อยกว่า 50 ปี
· ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้มีอินซูลินในร่างกายสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งอินซูลินจะไปกระตุ้นให้ติ่งเนื้อภายในลำไส้ใหญ่พัฒนาไปเป็นมะเร็งได้เร็วขึ้น
· ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease -NAFLD) ซึ่งจากสถิติพบว่า 86% ของผู้ป่วยด้วยโรคนี้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็งชนิดต่างๆ
การตรวจคัดกรองโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่
American Cancer Society แนะนำให้ทุกคนเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 45 ปี ยิ่งถ้าพบคนในครอบครัวเป็นมะเร็งมากกว่า 2 คนขึ้นไปหรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นแค่เพียงคนเดียวก็ยิ่งต้องรีบตรวจให้เร็วขึ้น การตรวจคัดกรองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ และยังช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อีกด้วย
สำหรับวิธีคำนวณหาอายุที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองสามารถทำได้โดยการนำอายุของคนในครอบครัวที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ลบด้วย 10 เช่น ถ้าคุณพ่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ปี ลบออกด้วย 10 ดังนั้น ลูกๆ ก็ควรเข้ารับการตรวจตอนอายุ 30 ปี โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ
ปัจจุบัน การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยผ่านทางกล้อง NBI (Narrow Band Image) ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็สามารถตัดติ่งเนื้อที่ผิดปกติออกได้ด้วยวิธี EMR (Endoscopic Mucosal Resection) และ ESD (Endoscopic Submucosal Dissection) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery - MIS) สามารถตัดก้อนเนื้อทั้งขนาดเล็กและใหญ่ออกจากลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหารได้โดยไม่ต้องทำการเปิดแผลที่หน้าท้อง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ทำให้ระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง ผู้ป่วยจึงสามารถฟื้นตัวและกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น
ซึ่งในกรณีที่ตรวจพบติ่งเนื้อขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำทุกๆ 1-3 ปี แต่ถ้าพบติ่งขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร ก็ควรตรวจซ้ำทุกๆ 3-5 ปี ส่วนผู้ที่ไม่พบติ่งเนื้อเลยก็อาจจะตรวจอีกครั้งในระยะเวลา 5-10 ปี เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนการส่องกล้อง
· งดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการส่องกล้องอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อเป็นการทำความสะอาดลำไส้
· รับประทานยาระบายที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
· หลังขับถ่ายจนสำไส้สะอาด แพทย์จะฉีดยานอนหลับให้กับผู้ที่จะเข้ารับการตรวจ ส่วนผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว แพทย์อาจใช้วิธีดมยานอนหลับชนิดไม่รุนแรงและหมดฤทธิ์เร็ว
· เวลาในการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 20-30 นาที แต่ถ้าพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติอื่นๆก็อาจใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
· รวมระยะเวลาที่ต้องใช้ทั้งสิ้นประมาณครึ่งวัน
การตรวจคัดกรองโดยการตรวจยีน
มนุษย์ทุกคนต่างก็มียีนก่อมะเร็งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่ายีนนั้นจะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งหรือไม่
ซึ่งสาเหตุก็มาจากสิ่งแวดล้อม สารเคมี พฤติกรรมการใช้ชีวิต ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม ดังนั้น การตรวจยีนมะเร็งจึงช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงและวางแผนการใช้ชีวิตในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังสามารถทำในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อช่วยหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้อีกด้วยนะครับ
ยีนมะเร็งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
· ยีนก่อมะเร็ง (Oncogenes) เป็นยีนที่กระตุ้นเซลล์ธรรมดาให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
· ยีนต้านมะเร็ง (Tumor Suppressor Genes) เป็นยีนปกติที่ช่วยซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย มีหน้าที่คอยตรวจจับยีนก่อมะเร็งที่เริ่มผิดปกติให้หยุดทำงาน ไม่ให้กลายเป็นมะเร็ง
การตรวจยีนสามารถตรวจได้จากเลือด น้ำลาย หรือเซลล์กระพุ้งแก้ม โดยที่ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร และรอผลประมาณ 30 วัน ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้กับมะเร็งทุกชนิด โดยเฉพาะมะเร็งที่พบบ่อย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากมะเร็งทั้ง 3 ชนิดนี้ส่งผลทางพันธุกรรมอย่างชัดเจน
ปัจจุบันสามารถตรวจหาความผิดปกติของยีนด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing ที่มีความแม่นยำมากถึง 90% มีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านพันธุศาสตร์และโรคซ้ำซ้อนในครอบครัวให้คำปรึกษาและคำแนะนำ สามารถตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งอื่นๆ และช่วยวางแผนป้องกันในระยะยาวได้อีกด้วยครับ
แม้มะเร็งลำไส้ใหญ่จะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยบวกกับความไม่นิ่งนอนใจของเรา โอกาสที่จะตรวจเจอและรักษาให้หายขาดได้ก็มีไม่น้อยเลยนะครับ
ช่วงนี้อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพ กันด้วยนะครับทุกคนนนน 😘😘😘