สารานุกรมปืนตอนที่ 346 ประวัติของปืนกลมือทอมป์สัน



ปืนกลมือทอมป์สันเป็นปืนกลมือสัญชาติอเมริกันที่ถูกคิดค้นโดย John T. Thompson ในปี ค.ศ. 1918 ซึ่งต่อมามันมีชื่อเสียงจากการที่เป็นอาวุธยอดนิยมในช่วงยุคต้องห้ามสุรา (Prohibition)  ปืนถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและอาชญากรหรือมาเฟีย ปืนกลมือทอมป์สันยังเป็นที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการ ได้แก่ "ปืนทอมมี่", "แอนนิฮิเลเตอร์", "ชิคาโก้ ไทป์ไวร์เตอร์", "ชิคาโก้ เปียโน", "ชิคาโก้ สไตล์", "Chicago Organ Grinder", "Trench Broom", "Trench Sweeper", "เดอะ ช็อปเปอร์", และคำว่า "เดอะ ทอมป์สัน"  ปืนกลมือทอมป์สันคือ Generation แรกๆของอาวุธปืนอัตโนมัติที่เหมาะสำหรับทหารราบใช้งานได้โดยทหารเพียงนายเดียวเท่านั้นเป็นอาวุธปืนที่เป็นทั้งสัญลักษณ์ของยุคมาเฟียรุ่งเรืองในอเมริกาและเป็นอาวุธของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในบทนี้จะนำเสนอข้อมูลและประวัติของปืนกลมือชนิดนี้โดยเริ่มจาก...

ประวัติของ John T. Thompson



John Taliaferro Thompson ( ชื่อกลาง Taliaferro ของเขามาจากแม่ของเขา Maria Taliaferro ซึ่งมีเชื้อสายอิตาลีรวมกับนามสกุลของพ่อเขาคือ Lt. Col. James Thompson แต่ชื่อกลางในภาษาอังกฤษของเขาคือ Tolliver )
Thompson เกิดในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1860 ในนิวพอร์ต รัฐเคนตักกี้ เมื่ออายุสิบหกปีก็เข้ารับราชการทหารหลังจากเข้ารับการศึกษาอยู่หนึ่งปีที่มหาวิทยาลัยอินดีแอนาในปี 1877 เขาได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารสหรัฐฯซึ่งสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1882 หน้าที่แรกของเขาคือเป็นนายทหารปืนใหญ่ยศร้อยตรีในบ้านเกิดของเขาจากนั้นเขาเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวิศวกรรมและปืนใหญ่และในที่สุดก็ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรมสรรพาวุธทหารบกในปี ค.ศ. 1890 ซึ่งเขาใช้เวลาว่างที่เหลือในอาชีพทหารของเขาศึกษาความรู้ความเชี่ยวชาญการสร้างปืนเล็กชนิดต่างๆ
ในปี 1898 เกิดสงคราม Spanish–American War (ที่ความจริงก็คือการเข้ามามีส่วนร่วมของอเมริกันในความพยายามปลดปล่อยตนเองของคิวบาเเละฟิลิปปินส์ จากการเป็นอาณานิคมสเปน ผลคืออเมริกาชนะสเปนเเละได้ฟิลิปปินส์เป็น commonwealth ของสหรัฐ คิวบากลายเป็นสาธารณรัฐ) Thompson ได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโทและเข้าประจำการใน แทมปา ฟลอริด้า เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสรรพาวุธสำหรับผู้บัญชาการในการบุกคิวบา Thompson สามารถจัดการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพสหรัฐในคิวบาอย่างมีประสิทธิภาพอาวุธมากกว่า 18,000 ตันถูกย้ายไปยังสนามรบจากการบังคับบัญชาของเขาของแทมปาโดยไร้ซึ่งปัญหาใด ๆ Thompson ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพันเอกซึ่งเป็นพันเอกที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพในเวลานั้น ในสงครามครั้งนี้เองที่ Thompson ได้สัมผัสกับพลังของอาวุธอัตโนมัติเป็นครั้งแรกเมื่อ Lt. John H. Parker ร้องขอปืน Gatling ซึ่ง Thompson ได้จัดส่งปืนตามที่ได้รับการร้องขอเป็นจำนวนสิบห้ากระบอกพร้อมกระสุนเต็มอัตราซึ่งปืนพวกนี้ถูกนำไปใช้ในการรบที่ San Juan Hill ซึ่งกลายการรบที่มีชื่อเสียงในสงครามครั้งนั้น







(ที่จริงจะเรียกปืน Gatling ว่าเป็นอาวุธอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนักเพราะระบบการทำงานของมันยังเป็นแบบต้องใช้มือหมุนอยู่ฉะนั้นคำที่ควรใช้เรียกอาวุธปืน Gatling ควรจะเป็นคำว่าอาวุธปืนยิงเร็ว Rapid-fire gun มากกว่า)

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ในปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้นในยุโรปแต่สหรัฐยังคงวางตัวเป็นกลาง Thompson เกษียณจากกองทัพในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันหลังจากรับใช้ชาติมาเป็นเวลา 32 ปีจากนั้นก็เข้าทำงานกับบริษัท Remington Arms Company ในตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรในการสร้างคลังแสง Eddystone ใน เชสเตอร์ เพนซิลเวเนีย ซึ่งในเวลานั้นเป็นโรงงานผลิตอาวุธปืนเล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยผลิตปืนเล็กยาว Pattern 1914 Enfield สำหรับกองทัพอังกฤษและปืนเล็กยาว Mosin–Nagant สำหรับกองทัพรัสเซีย

สงครามสนามเพลาะ







เมื่อการสู้รบดำเนินไปทั้งสองฝ่ายก็เริ่มจะตั้งมั่นในพื้นที่ยึดครองของตนเองด้วยการขุดหลุมเป็นแนวยาวมีลักษณะคล้ายคูน้ำที่ต่อมามีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าสนามเพลาะที่เสริมความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการป้องกันด้วยกระสอบทรายลวดหนามและที่สำคัญที่สุดคือ 'ปืนกล' โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนกล Maxim ที่ออกแบบโดย Sir Hiram Stevens Maxim ที่มีใช้งานอยู่ในกองทัพเยอรมัน รัสเซีย อังกฤษ และชาติอื่นๆที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมไปถึงปืนกลชนิดอื่นๆอีกจำนวนมากสามารถสร้างความหายนะแก่ชีวิตของทหารราบที่บุกเข้าใส่สนามเพลาะของอีกฝ่ายปืนกลเพียง 2-3 กระบอกก็สามารถหยุดทหารหลายกองพันได้แล้วเพราะในสมัยนั้นยังไม่มีรถถังจนถึงช่วงปลายสงครามทหารราบไม่มีอะไรจะปกป้องพวกเขาจากกระสุนของปืนกลได้ทำให้ทุกครั้งที่มีการบุกเข้าตีไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหนก็ตามก็ล้วนแต่ต้องพบกับความสูญเสียชีวิตทหารเป็นจำนวนมากเพราะปืนกลเหล่านี้ จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทำให้ Thompson มีแนวคิดที่จะสร้างอาวุธปืนอัตโนมัติขึ้นสำหรับใช้โดยทหารนายเดียวมีความคล่องตัวสูงพกพาสะดวกสามารถเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วในการที่จะกวาดล้างทหารราบในสนามเพลาะของฝ่ายเยอรมันด้วยเงินทุนจาก Thomas Fortune Ryan ในปี ค.ศ 1916 Thompson ก็ก่อตั้งบริษัท Auto-Ordnance Company ในคลีฟแลนด์,โอไฮโอ โดยเขาได้พบว่าระบบปฏิบัติการ Blowback,Blish Lock ของ John Bell Blish อดีตผู้บัญชาการของกองทัพเรือสหรัฐที่ได้จดสิทธิบัตรไว้ในปี ค.ศ 1915 เหมาะจะนำมาใช้ในการสร้างต้นแบบอาวุธปืนอัตโนมัติของเขาและ Blish ก็ได้ขายสิทธิบัตรให้แก่ Thompson เช่นกันโดยในทีมวิศวกรของ Auto-Ordnance Company ที่ประกอบไปด้วย Theodore H. Eickhoff Oscar V. Payne และ George E. Goll



Thomas Fortune Ryan (17 ตุลาคม 1851–23 พฤศจิกายน 1928) 



ภาพของระบบปฏิบัติการ Blish Lock ที่ใช้ประกอบสิทธิบัตร



John Bell Blish (8 กันยายน 1860 - 22 ธันวาคม 1921)

นปี ค.ศ. 1917 ( ในปีนี้สหรัฐเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว Thompson ได้กลับเข้ารับราชการทหารอีกครั้งในยศพลจัตวาโดยทำหน้าที่ควบคุมคลังแสงของกองทัพสหรัฐและเกษียณอีกครั้งในปี ค.ศ. 1918 ) ทีมวิศวกรของ Auto-Ordnance ได้พบว่าระบบปฏิบัติการ Blish Lock นั้นใช้ไม่ได้ดีกับกระสุนปืนไรเฟิลขนาด .30-06 Springfield แต่มีประสิทธิภาพมากถ้าใช้กับกระสุนปืนพกขนาด .45 ACP  ต่อมา Thompson ได้วางแนวคิดในการออกแบบคือ "one-man, hand-held machine gun" ปืนกลที่สามารถใช้งานได้ด้วยทหารเพียงคนเดียวในการเข้ากวาดล้างสนามเพาะ "trench broom" เพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในชื่อโครงการ "Annihilator I" ในปี ค.ศ. 1917 โดยได้สร้างรุ่นต้นแบบออกมาดังนี้ ( ชื่อโครงการ Annihilator ก็เปลี่ยนเป็น "Thompson Submachine Gun" ภายหลังสงคราม )

1.  "Persuader"



รุ่นต้นแบบของ Oscar V. Payne ที่สร้างไม่เสร็จใช้การป้อนกระสุนด้วยสายกระสุน belt-fed version พัฒนาในปี 1917-18

2.  Annihilator Type XX



รุ่นต้นแบบของ Oscar V. Payne ที่ใช้ซองกระสุนแบบ 20 นัดแบบ Type XX สร้างขึ้นในกลางปี 1918 มีการทดลองใช้ของกองทัพสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน 1918 แต่ไม่ได้เข้าประจำการสามรุ่นต่อมาได้ถูกผลิตขึ้นมาทดลองรวมถึงแบบที่ป้อนกระสุนด้วยสายกระสุนและการออกแบบก็ได้รับการพัฒนาต่อไปยังรุ่น M1919 

3. M1919









M1919 No.11 Model E (Annihilator III) 
และจากรุ่น Model E นี่เองที่พัฒนาต่อจนเป็นรุ่น M1921 ที่ได้ผลิตอกกมาจำหน่ายในตลาดทหารและพลเรือน ถึงจะเป็นรุ่นต้นแบบเเต่กรมตำรวจเมืองนิวยอร์กเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของ M1919. มีบางต้นแบบที่ใช้กระสุนนอกจาก.45 ACP (11.4x23mm) คือ .22LR, .32 ACP, .38 ACP, และ 9mm นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ใช้กระสุน .351 WSL ลำกล้องยาว 20" นิ้ว อัตราการยิง 1000 นัดต่อนาที



Salesman's Kit Thompson



Model 1919 กระบอกนี้มีประวัติที่น่าสนใจย้อนกลับไปเมื่อปี 1920 เกิดสงครามโปแลนด์-โซเวียตซึ่งเป็นความขัดแย้งจากการที่โปแลนด์สามารถตั้งประเทศใหม่ได้อีกครั้งหลังการล่มสลายของจักรวรรดิเยอรมันซึ่งเป็นผลพวงจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 โปแลนด์ที่ก่อตั้งใหม่นั้นเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางทหารเมื่อพรรคบอลเชวิคที่ทำการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟและก่อตั้งสหภาพโซเวียตขึ้นต้องการจะช่วยเหลือการพยายามปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในสาธารณรัฐไวมาร์หรือเยอรมันนีแต่มีโปแลนด์เป็นทางผ่านพวกเขาจึงบุกโปแลนด์พยายามที่จะให้เกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในทั่วยุโรปฝั่งตะวันตกเป็นความทะเยอทะยานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จะปฏิวัติทั่วโลกกำลังทหารในสงครามครั้งนั้นคือกองทัพแดงของโซเวียตและกองทัพพันธมิตรร่วมระหว่างชาวโปแลนด์และยูเครนทั้งสองฝ่ายต่างทำสงครามกันอย่างดุเดือด สถานการณ์วิกฤตสำหรับโปแลนด์จนในที่สุดก็เกิดการสู้รบที่บริเวณแม่น้ำวิสตูลาซึ่งเหตุการณ์นั้นจะถูกเรียกขานว่าเป็นปาฏิหาริย์แห่งวิสตูลาเมื่อกองทัพโปแลนด์ได้รับชัยชนะดั่งปาฏิหารย์ สถานการณ์พลิกผันกองทัพแดงพ่ายแพ้และถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินโปแลนด์ในที่สุด ในช่วงที่สงครามยังไม่สิ้นสุด Auto-Ordnance Company ได้ส่งเซลล์แมนไปยังโปแลนด์เพื่อนำเสนอขายปืนกระบอกนี้ให้แก่ทหารโปแลนด์และยูเครนแต่สงครามสิ้นสุดลงเสียแล้วตอนเขาไปถึงและตัวปืนก็ไม่ได้รับความสนใจเมื่อพลาดโอกาสที่จะขายปืนกระบอกนี้ให้แก่ทหารโปแลนด์และยูเครนไปแล้วปืนกระบอกจึงตกเป็นของ พันเอก  Elbert Eli Farman, Jr ซึ่งในเวลานั้นมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐประจำโปแลนด์ (ไม่ทราบว่าเซลล์แมน Auto-Ordnance Company มอบให้หรือขายให้) เมื่อพันเอกเสียชีวิตลงปืนกระบอกนี้ก็กลายเป็นมรดกที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัวของเขาจนตกไปถึงรุ่นหลานก็คือพลจัตวา Robert Richardson III ซึ่งตัวเขาในวัยเด็กเคยนำปืนกระบอกนี้ไปใช้ยิงกระรอกในบริเวณค่ายทหารที่เขาเติบโตมาเวลาล่วงเลยไปจนถึงปี 1968 เมื่อมีการเปิดเสรีให้นำอาวุธปืนอัตโนมัติที่เคยอยู่ในสถานะผิดกฎหมายมาขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องปืนกระบอกนี้ก็เป็นหนึ่งในปืนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในครั้งนั้นและเป็นสมบัติของพลจัตวา Robert Richardson III จนถึงปี 2002
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่