บันทึกการเดินทางไปปัตตานี ต่อจากกระทู้นี้ครับ
https://pantip.com/topic/39659939
เช้าวันอาทิตย์ที่ 9 ตื่นลงมาร่วมงานตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ทางศาลเจ้าเริ่มพิธีแห่เกี้ยวพระ โดยมีทั้งหมด 8 เกี้ยว (จำไม่ได้ว่ามีพระอะไรบ้าง) ซึ่งของศาลเจ้าที่นี่จะเป็นการแห่แบบตามกันไป ไม่เดินกระจัดกระจายแบบทางศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว ทำให้ง่ายต่อการตามไปถ่ายรูป ส่วนการแห่ก็เป็นแบบทางจังหวัดปัตตานีคือ ชาวบ้านจะมาตั้งโต๊ะและอัญเชิญพระเข้าบ้าน ซึ่งจากการบอกเล่าของคนในพื้นที่ การอัญเชิญพระเข้าบ้าน ขึ้นอยู่กับองค์พระ บางองค์ไม่ยอมเข้า ต่อให้ดึงยังไงก็ไม่เข้า (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) และก็จะมีการจุดประทัดเช่นกัน ให้คนแบกเกี้ยวหามพระลุยเล่นกับประทัด
ในส่วนของคนแบกเกี้ยว เนื่องด้วยเป็นศาลเจ้าของอำเภอไม่ใหญ่มาก ทางศาลเจ้าจึงอนุญาตให้ใครก็ได้ที่อยากลองแบกเกี้ยวได้ลองกัน ส่วนตัวผมไม่ได้ลอง เพราะหอบกล้องพะรุงพะรังและยังไม่อยากลอง แต่จากการสอบถามพี่คนพื้นที่ได้ความว่า เคยได้ลองแบกดู ที่เราเห็นว่าคนแบกแล้วหมุนเกี้ยวไปมาหรือหัวปักดินทิ่มพื้นกัน เป็นเพราะการบังคับขององค์พระ ไม่ใช่การเดินเองสะเปะสะปะของคนหาม (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ลองมาพิสูจน์กันได้
เกี้ยวของพระประธานออกจากศาลเจ้าและเริ่มหมุนวนบนลานทรายหน้าศาลเจ้า ก่อนจะปักหัวลงไปกับพื้นทราย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำกระดาษไปว้เจ้ามาฝังไว้ตรงจุดที่เกี้ยวปักหัวลงไปและปักธูปเทียนตามลงไป แล้วนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณนั้นไว้ ซึ่งในช่วงบ่ายจะเป็นจุดที่ก่อกองไฟในพิธีลุยไฟ
เก็บภาพเด็กๆที่มานั่งรอขบวนแห่เกี้ยว
ขบวนเกี้ยวเริ่มทยอยออกจากศาลเจ้าและวนอยู่หน้าศาลเจ้าพักใหญ่ๆ มีบางเกี้ยวขึ้นไปบนเวทีซึ่งมีคณะมโนราห์อยู่ด้านบน ได้ยินมาจากคนพื้นที่ว่า พระที่นี่ชอบดูมโนราห์ จึงมีการจัดมโนราห์มารำถวาย
ขบวนเริ่มเดินไปตามทาง มีชาวบ้านมาตั้งโต๊ะเพื่อรับพระ บ้างก็แค่จุดธูปเตรียมสักการะและปักที่เกี้ยว บางบ้านก็เชิญพระเข้าบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลกับครอบครัว และอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า เกี้ยวพระไม่ได้เข้าไปทุกบ้าน พระบางองค์อาจจะไม่เข้าบางบ้าน ได้ยินมาว่า ขึ้นอยู่องค์พระที่อยู่บนเกี้ยวจะบังคับให้คนแบกเกี้ยวพาเข้าหรือไม่เข้าแต่ละที่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
การจุดประทัดและเดินลุยเข้าไปในดงประทัดก็เป็นภาพปกติที่จะได้เห็นอยู่ระหว่างตามขบวนแห่ไป
สำลีอุดหูและกางเกงขายาวเป็นสิ่งที่ควรใช้ถ้าอยากได้รูปใกล้ๆ
และก็เช่นกัน งานนี้มีอาหารให้กินระหว่างทาง ผมเห็นอยู่ 2 จุดคือหน้าโรงเรียนและหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งหน้าโรงเรียนมีข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย เผือก สังขยา และปลา พร้อมทั้งน้ำดื่มวางไว้ให้หยิบกินกันฟรี ส่วนหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวผัดก็มีการผัดเส้นเล็กแห้งตักใส่จานมาแจกจ่าย พร้อมทั้งน้ำแข็งไสและน้ำดื่ม
ส่วนช่วงกลางวันมีแพปลาแห่งหนึ่งทำอาหารเลี้ยงคนที่ไปร่วมงาน ซึ่งผมไม่ได้ไปกินจึงไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่กลับมากินที่ศาลเจ้าแทน
ตลอดระยะเวลางาน 2 วันก็ได้แต่อาศัยอาหารฟรีจากศาลเจ้าจนแทบจะไม่ได้ใช้เงินซื้อของกินเลย
เนื่องด้วยอำเภอสายบุรีเป็นอำเภอติดทะเล จึงมีแพปลาหลายแห่งซึ่งเจ้าของแพปลาก็จะเชิญพระเข้าไปในพื้นที่ตัวเองด้วย มีการเชิญคณะมโนราห์มารอองค์พระเช่นกัน
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขบวนแห่ก็มุ่งหน้าสู่หาดวาสุกรี อัญเชิญองค์พระลงไปเล่นน้ำทะเลที่ชายหาด
ปีที่แล้วมีช่างภาพมาถ่ายรูปแล้วส่งประกวดได้รางวัล ปีนี้เลยจะเห็นช่างภาพมากันหลายสิบคน ก็อาจจะบังมุมกันนิดหน่อย ต้องหาจังหวะกันเอาเอง เพราะแต่ละคนใช้เลนส์ไวด์กันทั้งนั้น
ช่วงบ่าย งานดำเนินต่อด้วยการแห่ขบวนไปทางตลาด และไปจบที่หน้าถ้ำ โดยวนเล่นกันอยู่หน้าถ้ำราวชั่วโมงนึง จึงกลับมาที่ศาลเจ้า
ที่ลานทรายหน้าถ้ำ ผมเริ่มเห็นมีคนมาสลับสับเปลี่ยนกันแบกเกี้ยวมากมาย น่าจะเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง บางเกี้ยวก็หน้าทิ้มทรายล้มลุกคลุกคลานกันไป จะสังเกตได้จากเสียงรัวของคนตีฆ้องข้างเกี้ยวแต่ละเกี้ยว ถ้าคนตีฆ้องรัวมากๆ เกี้ยวนั้นก็จะหมุนวนมากๆจนคนแบกเกี้ยวโดนเหวี่ยงไม่ก็หัวปักพื้นไป เห็นเค้าว่าเป็นเพราะองค์พระบนเกี้ยวบังคับให้เป็นแบบนั้น (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
ราวๆ 4 โมงเย็น เริ่มพิธีลุยไฟ แต่ละบ้านที่มีพระที่บูชาของบ้านตัวเองก็จะนำองค์พระมาลุยไฟกันด้วย โดยจะลุยไฟไป-กลับ 1 รอบ ส่วนคนแบกเกี้ยวทั้ง 8 เกี้ยวก็ลุยกัน 3 รอบ โดยสลับสับเปลี่ยนคนที่อยากแบกลุยไฟกัน และอีกเช่นเคย งานนี้เข้าไปถ่ายใกล้ๆได้เหมือนเดิม
ทีมงานทำกองไฟเป็นทีมเดียวกันกับทีมที่ทำกองไฟในงานศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีคนคอยให้สัญญาณให้ข้ามกองไฟเมื่อเห็นว่าเปลวไฟลุกขึ้นสูงแล้ว ทำให้พอมีจังหวะในการปักหลักเพื่อเล็งมุมและเซ็ตค่ากล้องได้
เป็นอันจบงานหลักๆของทางศาลเจ้าเล่าเอี๊ยะกงของอำเภอสายบุรี
วันจันทร์ที่ 10 ช่วงเช้า เจ้าบ้านก็พาพวกผมออกไปหาอาหารพื้นเมืองมากิน ประกอบไปด้วยข้าวราดผัดเนื้อแดงๆ รสชาติคล้ายๆหมูแดง อีกอย่างคือกุ้งผัดพริกแกงกับผักและสตอ ไม่เผ็ดมาก รสชาติโดยรวมจะออกหวานนิดหน่อย
อาหารอีกอย่างคือ “นาซิดาแย” เป็นข้าวเหนียวหุงคล้ายๆข้าวเหนียวมูน แต่รสอ่อนกว่า โรยด้วยมะพร้าวขูดหวานๆ (สีน้ำตาล) กินกับแกงไก่ ไข่ต้ม ปลา รสชาติโดยรวมจะออกหวานหน่อยๆเช่นกัน มื้อนี้ราวๆ 300 บาท กินกันกับครอบครัวพี่คนสายบุรีที่ไปพักบ้านเค้าระหว่างงานศาลเจ้า ไม่ได้ออกเงินเองเนื่องจากทางเจ้าบ้านเลี้ยงก่อนจะขับรถไปส่งที่ยะลา
มาถึงยะลาราวๆ 10 โมงครึ่ง ถนนจากสายบุรีมายะลาดีเช่นกัน ระยะทางประมาณ 50 กม. ระหว่างทางที่นั่งรถมา พี่คนที่ขับรถมาส่งก็จะชี้แต่ละจุดและเล่าให้ฟังว่าเคยเกิดเหตุอะไรบ้าง
ไปแวะสถานีรถไฟก่อน เพราะน้องที่มาด้วยกันจะมาเลื่อนวันกลับจากเดิมวันที่ 12 ไปเป็นวันที่ 15 เพราะงานที่กรุงเทพเลื่อนจากเหตุกังวลของไวรัสระบาด ก็เลยตัดสินใจอยู่ต่อคนเดียวเพื่อไปเที่ยวหลีเป๊ะก่อน เปลี่ยนตั๋วและจ่ายค่าเปลี่ยนเวลาไป 50 บาท ส่วนของผมเปลี่ยนจากเตียงบนลงมาเตียงล่าง จ่ายไป 100 บาท แล้วก็ไปคิวรถตู้ยะลา-เบตงของสหยะลาขนส่ง ได้รถรอบ 11.20 น. ค่าตั๋วคนละ 140 บาท เกือบบ่าย 2 ก็มาถึงเบตง เขาโรงแรมที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ
จองที่พักไว้ที่โรงแรมการ์เด้นท์วิว เบตง ผ่าน booking.com คืนละ 667 บาท ไม่มีอาหารเช้าให้ รถตู้มาส่งถึงโรงแรมเลย
สภาพภายในห้องพักก็ทั่วไปตามเกรดโรงแรม 2-3 ดาว ไม่ค่อยแนะนำโรงแรมนี้เท่าไหร่ เพราะอยู่ห่างจากวงเวียนหอนาฬิการาวๆ 7-800 เมตร เวลาจะหาอะไรกินต้องเดินลอดอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ทุกครั้ง ตอนกดจองหา ไม่เจอโรงแรมใกล้หอนาฬิกา ก็เลจองที่นี่ไป และช่วงกลางคืน ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีผับเปิดเพลงเสียงดัง ได้ยินเสียงจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ยังได้ยินอยู่
แนะนำสำหรับคนที่จะมาค้างเบตง ผมเห็นอยู่ 2 โรงแรมที่น่าจะดีกว่าคือ โรงแรม Hello Hotel จะอยู่ระหว่างอุโมงค์กับวงเวียนหอนาฬิกา อยู่ติดกับร้านติ่มซำไทซีฮี้
อีกโรงแรมนึงคือ โมเดิร์นไทยโฮเต็ล อยู่ห่างจากวงเวียนหอนาฬิกาไปไม่น่าเกิน 150 เมตร
หลังจากเก็บของแล้วก็ออกเดินไปวนเวียนหอนาฬิกาเพื่อไปหาคิวรถตู้ที่จะไปหาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น จากที่พักเดินลอดอุโมงค์แล้วตรงไปหอนาฬิกาแล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อไปจองรถตู้กลับหาดใหญ่เอาไว้ก่อน คิวรถอยู่หน้าร้านอาหารต้าเหยิน จากเบตงไปหาดใหญ่คนละ 260 บาท ใช้เวลา 4 ชั่วโมง จองรอบเที่ยงไว้ เผื่อช่วงเช้าจะไปเดินเล่นและเที่ยวบริเวณใกล้ๆก่อน สามารถแจ้งให้รถมารับที่โรงแรมได้ ไม่ต้องลากกระเป๋าไปขึ้นตรงคิว เจ้าหน้าที่แนะนำให้แจ้งคนขับรถว่าลงหน้าเซ็นทรัลหาดใหญ่ จะได้หารถสองแถวไปต่อได้ง่ายกว่าไปลงที่ขนส่ง
ไหนๆก็อยู่ตรงร้านต้าเหยินแล้ว มีคนแนะนำให้ลองเมนูไก่เบตง กบภูเขา ก็เลยเข้าไปจัดการกันเลย
สั่งกบภูเขาผัดพริกแห้ง ราคา 220 บาท รสชาติออกหวานนิดๆ ไม่ค่อยมีรสเผ็ด กบเนื้อนุ่ม ถ้าไม่บอกว่าเป็นกบคงนึกว่าเนื้อไก่
เต้าหู้น้ำแดง ราคา 100 บาท ตัวน้ำซอสออกเค็มติดเปรี้ยว ราดข้าวอร่อย เต้าหู้นุ่ม กุ้งหวานสดกรอบ
ผักน้ำผัดน้ำมันหอย ราคา 70 บาท ผัดมารสชาติกำลังดี ผักกรอบ
รวมข้าว 3 ถ้วย น้ำ 1 ขวด+น้ำแข็ง มื้อนี้จ่ายไป 447 บาท
ไปต่อกันที่ความเห็น 1 ครับ
[CR] ล่องใต้ไปร่วมงานประจำปี ศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี แวะเบตงและหาดใหญ่อีกนิดหน่อย (ภาคจบ)
https://pantip.com/topic/39659939
เช้าวันอาทิตย์ที่ 9 ตื่นลงมาร่วมงานตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ทางศาลเจ้าเริ่มพิธีแห่เกี้ยวพระ โดยมีทั้งหมด 8 เกี้ยว (จำไม่ได้ว่ามีพระอะไรบ้าง) ซึ่งของศาลเจ้าที่นี่จะเป็นการแห่แบบตามกันไป ไม่เดินกระจัดกระจายแบบทางศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว ทำให้ง่ายต่อการตามไปถ่ายรูป ส่วนการแห่ก็เป็นแบบทางจังหวัดปัตตานีคือ ชาวบ้านจะมาตั้งโต๊ะและอัญเชิญพระเข้าบ้าน ซึ่งจากการบอกเล่าของคนในพื้นที่ การอัญเชิญพระเข้าบ้าน ขึ้นอยู่กับองค์พระ บางองค์ไม่ยอมเข้า ต่อให้ดึงยังไงก็ไม่เข้า (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) และก็จะมีการจุดประทัดเช่นกัน ให้คนแบกเกี้ยวหามพระลุยเล่นกับประทัด
ในส่วนของคนแบกเกี้ยว เนื่องด้วยเป็นศาลเจ้าของอำเภอไม่ใหญ่มาก ทางศาลเจ้าจึงอนุญาตให้ใครก็ได้ที่อยากลองแบกเกี้ยวได้ลองกัน ส่วนตัวผมไม่ได้ลอง เพราะหอบกล้องพะรุงพะรังและยังไม่อยากลอง แต่จากการสอบถามพี่คนพื้นที่ได้ความว่า เคยได้ลองแบกดู ที่เราเห็นว่าคนแบกแล้วหมุนเกี้ยวไปมาหรือหัวปักดินทิ่มพื้นกัน เป็นเพราะการบังคับขององค์พระ ไม่ใช่การเดินเองสะเปะสะปะของคนหาม (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ลองมาพิสูจน์กันได้
เกี้ยวของพระประธานออกจากศาลเจ้าและเริ่มหมุนวนบนลานทรายหน้าศาลเจ้า ก่อนจะปักหัวลงไปกับพื้นทราย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำกระดาษไปว้เจ้ามาฝังไว้ตรงจุดที่เกี้ยวปักหัวลงไปและปักธูปเทียนตามลงไป แล้วนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณนั้นไว้ ซึ่งในช่วงบ่ายจะเป็นจุดที่ก่อกองไฟในพิธีลุยไฟ
เก็บภาพเด็กๆที่มานั่งรอขบวนแห่เกี้ยว
ขบวนเกี้ยวเริ่มทยอยออกจากศาลเจ้าและวนอยู่หน้าศาลเจ้าพักใหญ่ๆ มีบางเกี้ยวขึ้นไปบนเวทีซึ่งมีคณะมโนราห์อยู่ด้านบน ได้ยินมาจากคนพื้นที่ว่า พระที่นี่ชอบดูมโนราห์ จึงมีการจัดมโนราห์มารำถวาย
ขบวนเริ่มเดินไปตามทาง มีชาวบ้านมาตั้งโต๊ะเพื่อรับพระ บ้างก็แค่จุดธูปเตรียมสักการะและปักที่เกี้ยว บางบ้านก็เชิญพระเข้าบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลกับครอบครัว และอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า เกี้ยวพระไม่ได้เข้าไปทุกบ้าน พระบางองค์อาจจะไม่เข้าบางบ้าน ได้ยินมาว่า ขึ้นอยู่องค์พระที่อยู่บนเกี้ยวจะบังคับให้คนแบกเกี้ยวพาเข้าหรือไม่เข้าแต่ละที่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
การจุดประทัดและเดินลุยเข้าไปในดงประทัดก็เป็นภาพปกติที่จะได้เห็นอยู่ระหว่างตามขบวนแห่ไป
สำลีอุดหูและกางเกงขายาวเป็นสิ่งที่ควรใช้ถ้าอยากได้รูปใกล้ๆ
และก็เช่นกัน งานนี้มีอาหารให้กินระหว่างทาง ผมเห็นอยู่ 2 จุดคือหน้าโรงเรียนและหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งหน้าโรงเรียนมีข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย เผือก สังขยา และปลา พร้อมทั้งน้ำดื่มวางไว้ให้หยิบกินกันฟรี ส่วนหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวผัดก็มีการผัดเส้นเล็กแห้งตักใส่จานมาแจกจ่าย พร้อมทั้งน้ำแข็งไสและน้ำดื่ม
ส่วนช่วงกลางวันมีแพปลาแห่งหนึ่งทำอาหารเลี้ยงคนที่ไปร่วมงาน ซึ่งผมไม่ได้ไปกินจึงไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่กลับมากินที่ศาลเจ้าแทน
ตลอดระยะเวลางาน 2 วันก็ได้แต่อาศัยอาหารฟรีจากศาลเจ้าจนแทบจะไม่ได้ใช้เงินซื้อของกินเลย
เนื่องด้วยอำเภอสายบุรีเป็นอำเภอติดทะเล จึงมีแพปลาหลายแห่งซึ่งเจ้าของแพปลาก็จะเชิญพระเข้าไปในพื้นที่ตัวเองด้วย มีการเชิญคณะมโนราห์มารอองค์พระเช่นกัน
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขบวนแห่ก็มุ่งหน้าสู่หาดวาสุกรี อัญเชิญองค์พระลงไปเล่นน้ำทะเลที่ชายหาด
ปีที่แล้วมีช่างภาพมาถ่ายรูปแล้วส่งประกวดได้รางวัล ปีนี้เลยจะเห็นช่างภาพมากันหลายสิบคน ก็อาจจะบังมุมกันนิดหน่อย ต้องหาจังหวะกันเอาเอง เพราะแต่ละคนใช้เลนส์ไวด์กันทั้งนั้น
ช่วงบ่าย งานดำเนินต่อด้วยการแห่ขบวนไปทางตลาด และไปจบที่หน้าถ้ำ โดยวนเล่นกันอยู่หน้าถ้ำราวชั่วโมงนึง จึงกลับมาที่ศาลเจ้า
ที่ลานทรายหน้าถ้ำ ผมเริ่มเห็นมีคนมาสลับสับเปลี่ยนกันแบกเกี้ยวมากมาย น่าจะเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง บางเกี้ยวก็หน้าทิ้มทรายล้มลุกคลุกคลานกันไป จะสังเกตได้จากเสียงรัวของคนตีฆ้องข้างเกี้ยวแต่ละเกี้ยว ถ้าคนตีฆ้องรัวมากๆ เกี้ยวนั้นก็จะหมุนวนมากๆจนคนแบกเกี้ยวโดนเหวี่ยงไม่ก็หัวปักพื้นไป เห็นเค้าว่าเป็นเพราะองค์พระบนเกี้ยวบังคับให้เป็นแบบนั้น (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
ราวๆ 4 โมงเย็น เริ่มพิธีลุยไฟ แต่ละบ้านที่มีพระที่บูชาของบ้านตัวเองก็จะนำองค์พระมาลุยไฟกันด้วย โดยจะลุยไฟไป-กลับ 1 รอบ ส่วนคนแบกเกี้ยวทั้ง 8 เกี้ยวก็ลุยกัน 3 รอบ โดยสลับสับเปลี่ยนคนที่อยากแบกลุยไฟกัน และอีกเช่นเคย งานนี้เข้าไปถ่ายใกล้ๆได้เหมือนเดิม
ทีมงานทำกองไฟเป็นทีมเดียวกันกับทีมที่ทำกองไฟในงานศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีคนคอยให้สัญญาณให้ข้ามกองไฟเมื่อเห็นว่าเปลวไฟลุกขึ้นสูงแล้ว ทำให้พอมีจังหวะในการปักหลักเพื่อเล็งมุมและเซ็ตค่ากล้องได้
เป็นอันจบงานหลักๆของทางศาลเจ้าเล่าเอี๊ยะกงของอำเภอสายบุรี
วันจันทร์ที่ 10 ช่วงเช้า เจ้าบ้านก็พาพวกผมออกไปหาอาหารพื้นเมืองมากิน ประกอบไปด้วยข้าวราดผัดเนื้อแดงๆ รสชาติคล้ายๆหมูแดง อีกอย่างคือกุ้งผัดพริกแกงกับผักและสตอ ไม่เผ็ดมาก รสชาติโดยรวมจะออกหวานนิดหน่อย
อาหารอีกอย่างคือ “นาซิดาแย” เป็นข้าวเหนียวหุงคล้ายๆข้าวเหนียวมูน แต่รสอ่อนกว่า โรยด้วยมะพร้าวขูดหวานๆ (สีน้ำตาล) กินกับแกงไก่ ไข่ต้ม ปลา รสชาติโดยรวมจะออกหวานหน่อยๆเช่นกัน มื้อนี้ราวๆ 300 บาท กินกันกับครอบครัวพี่คนสายบุรีที่ไปพักบ้านเค้าระหว่างงานศาลเจ้า ไม่ได้ออกเงินเองเนื่องจากทางเจ้าบ้านเลี้ยงก่อนจะขับรถไปส่งที่ยะลา
มาถึงยะลาราวๆ 10 โมงครึ่ง ถนนจากสายบุรีมายะลาดีเช่นกัน ระยะทางประมาณ 50 กม. ระหว่างทางที่นั่งรถมา พี่คนที่ขับรถมาส่งก็จะชี้แต่ละจุดและเล่าให้ฟังว่าเคยเกิดเหตุอะไรบ้าง
ไปแวะสถานีรถไฟก่อน เพราะน้องที่มาด้วยกันจะมาเลื่อนวันกลับจากเดิมวันที่ 12 ไปเป็นวันที่ 15 เพราะงานที่กรุงเทพเลื่อนจากเหตุกังวลของไวรัสระบาด ก็เลยตัดสินใจอยู่ต่อคนเดียวเพื่อไปเที่ยวหลีเป๊ะก่อน เปลี่ยนตั๋วและจ่ายค่าเปลี่ยนเวลาไป 50 บาท ส่วนของผมเปลี่ยนจากเตียงบนลงมาเตียงล่าง จ่ายไป 100 บาท แล้วก็ไปคิวรถตู้ยะลา-เบตงของสหยะลาขนส่ง ได้รถรอบ 11.20 น. ค่าตั๋วคนละ 140 บาท เกือบบ่าย 2 ก็มาถึงเบตง เขาโรงแรมที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ
จองที่พักไว้ที่โรงแรมการ์เด้นท์วิว เบตง ผ่าน booking.com คืนละ 667 บาท ไม่มีอาหารเช้าให้ รถตู้มาส่งถึงโรงแรมเลย
สภาพภายในห้องพักก็ทั่วไปตามเกรดโรงแรม 2-3 ดาว ไม่ค่อยแนะนำโรงแรมนี้เท่าไหร่ เพราะอยู่ห่างจากวงเวียนหอนาฬิการาวๆ 7-800 เมตร เวลาจะหาอะไรกินต้องเดินลอดอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ทุกครั้ง ตอนกดจองหา ไม่เจอโรงแรมใกล้หอนาฬิกา ก็เลจองที่นี่ไป และช่วงกลางคืน ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีผับเปิดเพลงเสียงดัง ได้ยินเสียงจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ยังได้ยินอยู่
แนะนำสำหรับคนที่จะมาค้างเบตง ผมเห็นอยู่ 2 โรงแรมที่น่าจะดีกว่าคือ โรงแรม Hello Hotel จะอยู่ระหว่างอุโมงค์กับวงเวียนหอนาฬิกา อยู่ติดกับร้านติ่มซำไทซีฮี้
อีกโรงแรมนึงคือ โมเดิร์นไทยโฮเต็ล อยู่ห่างจากวงเวียนหอนาฬิกาไปไม่น่าเกิน 150 เมตร
หลังจากเก็บของแล้วก็ออกเดินไปวนเวียนหอนาฬิกาเพื่อไปหาคิวรถตู้ที่จะไปหาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น จากที่พักเดินลอดอุโมงค์แล้วตรงไปหอนาฬิกาแล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อไปจองรถตู้กลับหาดใหญ่เอาไว้ก่อน คิวรถอยู่หน้าร้านอาหารต้าเหยิน จากเบตงไปหาดใหญ่คนละ 260 บาท ใช้เวลา 4 ชั่วโมง จองรอบเที่ยงไว้ เผื่อช่วงเช้าจะไปเดินเล่นและเที่ยวบริเวณใกล้ๆก่อน สามารถแจ้งให้รถมารับที่โรงแรมได้ ไม่ต้องลากกระเป๋าไปขึ้นตรงคิว เจ้าหน้าที่แนะนำให้แจ้งคนขับรถว่าลงหน้าเซ็นทรัลหาดใหญ่ จะได้หารถสองแถวไปต่อได้ง่ายกว่าไปลงที่ขนส่ง
ไหนๆก็อยู่ตรงร้านต้าเหยินแล้ว มีคนแนะนำให้ลองเมนูไก่เบตง กบภูเขา ก็เลยเข้าไปจัดการกันเลย
สั่งกบภูเขาผัดพริกแห้ง ราคา 220 บาท รสชาติออกหวานนิดๆ ไม่ค่อยมีรสเผ็ด กบเนื้อนุ่ม ถ้าไม่บอกว่าเป็นกบคงนึกว่าเนื้อไก่
เต้าหู้น้ำแดง ราคา 100 บาท ตัวน้ำซอสออกเค็มติดเปรี้ยว ราดข้าวอร่อย เต้าหู้นุ่ม กุ้งหวานสดกรอบ
ผักน้ำผัดน้ำมันหอย ราคา 70 บาท ผัดมารสชาติกำลังดี ผักกรอบ
รวมข้าว 3 ถ้วย น้ำ 1 ขวด+น้ำแข็ง มื้อนี้จ่ายไป 447 บาท
ไปต่อกันที่ความเห็น 1 ครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้