แนะนำการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน สำหรับมือใหม่ จาก Recruiter มือเก่า

ก่อนอื่นแนะนำตัวสั้นๆ เราเองทำงานด้าน Recruiter มาเกือบสิบปี ทำงานมาแล้วหลายบริษัททั้งไทย เทศ องค์กรไทย ต่างชาติผ่านมาหมด จึงคิดว่า อยากแชร์ประสบการ์ให้น้องๆ หรือ คนที่เริ่มหางาน แล้วอาจจะไม่รู้ว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับการไปสัมภาษณ์ รวมถึงคนอื่นๆที่ไม่ค่อยได้สัมภาษณ์งานบ่อยๆ ให้ได้อ่านกัน ลองดูตามคำแนะนำของเราเผื่อเป็นประโยชน์ ด้านล่างเลยจ้า
 
1. ก่อนไปสัมภาษณ์ควรอ่าน JD ของตำแหน่งงานที่กำลังไปสัมภาษณ์ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่างานนั้นๆเค้าต้องอะไรจากเรา เราจะได้รู้ว่าเราเองมีคุณสมบัติอะไร นิสัยแบบไหน ที่เหมาะกับงานนี้ และเราจะได้ตอบคำถามได้ตรงกับสิ่งที่เค้าต้องการ นอกจาก JD แล้ว ควรดูข้อมูลบริษัท , วัฒนธรรมการทำงาน หรือ นิสัยของคนในบริษัทนั้นๆไว้บ้างหากสืบได้ เพราะ หลายครั้งกรรมการชอบเลือกคนจาก "ความเหมือนกับตัวเอง , นิสัยเข้ากับทีมบริษัทได้มั๊ย หรือ คนแบบนี้จะอยู่กับบริษัทเราได้มั๊ย" เช่น บางที่ไม่อยากรับเด็กที่มีแผนไปเรียนต่อ หรือ ทำธุรกิจส่วนตัว หากคุณไม่รู้มาก่อนว่าเค้าไม่ชอบแนวนี้ ดันตอบไปว่า "อ่อกะทำสามปีแล้วออกไปเรียนล่ะ" งี้ พับผ้ากลับบ้านเลย
2. ตอนสัมภาษณ์ พวกกรรมการโดยมากชอบฟังอะไรที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่หลง วนประเด็นพางง แล้วแบบไหนล่ะ จะตอบได้ดี แนะนำควรตอบงี้ :
- การแนะนำตัวเอาคร่าวๆไม่ต้องยาว มาเน้นเรื่องกิจกรรมในมหาวิทยาลัย(เอาที่คิดว่าเด่นสุดพอ) หรือ ตอนฝึกงานดีกว่า โดยจะต้องเล่าให้ชัดเจนว่า ทำอะไร มีหน้าที่อะไร และจบกิจกรรมนั้นแล้ว พอใจหรือไม่ยังไง หาฝึกงาน เล่าไปเลยว่า ฝึกที่ไหน แผนกใด หน้าที่รับผิดชอบอะไร มีโปรเจคพิเศษป่าว ฝึกกี่เดือน เป็นต้น
- กา 3 ดาวเลยนะ *** การตอบคำถามทุกครั้ง ทุกเรื่อง ให้เรียงเนื้อหาแบบนี้ คือ บริบท(Context) , การกระทำ(Action) และ ผลที่ได้(Result) เช่น เคยอยู่ชมรมวิชาการ ทำหน้าที่เป็น เหรัญญิก(Context) โดยต้องทำหน้าที่สรุปบัญชี รับจ่ายส่งประธานชมรม และ อาจารย์ทุกวันที่ 25 ทุกเดือน(Action) โดยที่ตลอดเวลา 1ปี ที่ทำหน้าที่นี้ ไม่เคยลงบัญชีผิด แต่มีบ้างที่ส่งบันทึกเลยกำหนด แต่ไม่เกิน 2-3 ครั้ง(Result) เป็นต้น ย้ำเลย นึกไรไม่ออกท่องไว้ว่า ต้องเรียงแบบนี้ บริบิท, การกระทำ และ ผลที่ได้ เราจะตอบได้ชัดเจน ไม่หลงทางแน่ๆ
3. คำถามยอดฮิตที่ชอบโดนถาม
- "คิดว่าตัวเองมีข้อดี ข้อเสียยังไง" เราไม่แนะการตอบข้อดีล่ะกัน แต่จะแนะการตอบข้อเสียแทน เด็ก/คน ส่วนใหญ่ ชอบเปิดเน็ตแล้วตอบไปตามคำแนะนำ ซึ่งชอบแนะกันว่าให้ตอบข้อเสียที่มองว่าเป็นข้อดีได้(ที่ฮิตตอบกันมากคือ "เป็นคนเครียดง่าย เพราะตั้งใจกับการทำงานมากไป") กรรมการเค้าไม่ได้ต้องการไรแบบนั้นเลยนะ การตอบข้อนี้ต้อง ตอบข้อเสียที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นรูปธรรม ที่เรารู้ตัว และ เราได้พยายามแก้ปัญหา(ตรงนี้เน้นเลย) เช่น เป็นคนขี้ลืม ก็ตอบเลยว่า ข้อเสียคือลืมง่าย แต่ได้พยายามจดให้มากในสมุด , บันทึกลงมือถือ และ พิมพ์ลงใน Calendar ของ Outlook ทุกครั้ง กันลืม เป็นต้น
- ทำไมถึงอยากร่วมงานกับบริษัทเรา อันนี้ต้องตอบแบบความจริง แต่ต้องเป็นความจริงที่ดูสวย อย่าไปตอบแบบ อ๋ออยากทำเพราะว่างงาน งี้ก็กลับบ้านเถอะ(แม้ว่าจะจริงแรงๆก็ตาม) ให้ตอบเช่น อยากทำที่นี่ เพราะอ่าน JD และเราชอบเพราะ......อะไรว่าไป ให้ยึดหลักการตอบแบบ กา  3 ดาว ไว้ ประกอบอ่านข้อมูลบริษัทแล้ว ชอบโดยเฉพาะ วิสัยทัศน์ในข้อ..... ไรว่าไป
- มีอะไรอยากถามเพิ่มมั๊ย คำถามนี้ คนกลัวว่าเอ๊ะ จะถามดีมั๊ยว่ะ กูจะถามว่าไร จริงจังป่ะเนี่ย เอาจริงๆกรรมการเค้าจริงจังนะ เค้าอยากรู้ว่า คำถามที่จะถาม มันสะท้อนหรือเปล่า ว่าอยากร่วมงานกันมั๊ย เพราะ ฉะนั้นให้ถามกลับในเรื่องหน้าที่งาน ความคาดหวังต่างๆ หรือ อาจจะถามว่า สไตล์การทำงานของที่นี่ เป็นยังไงบ้าง *** ไม่ควรถามเรื่องเงินเดือน สวัสดิการไรต่างๆ ในห้องสัมภาษณ์ หากบริษัทที่สวัสดิการดี เค้าจะบอกเอง

ขอย้ำแรงๆอีกครั้งว่า การสัมภาษณ์งานนั้น เราต้องตอบชัดเจน ตรงไปตรงมา(แบบโลกสวยนิดๆไม่ต้องเว่อร์) เพื่ออุดช่องว่าง ความสงสัยในตัวเรา เพราะเมื่อไหร่ที่เราตอบไรไม่ชัด กรรมการจะเริ่มสงสัย และเดาไปต่างๆว่า เรารู้จริงหรอ , ทำกิจกรรมจริงป่ะ , อยากทำงานกับเราจริงๆ หรือ ทำเพื่ออะไรหรือเปล่า เป็นต้น และเมื่อเค้าสงสัย เค้าจะลังเลที่จะรับเราทันที ฉะนั้นนึกไรไม่ออก ท่องไว้ Context, Action, Result หากเป็นคนพูดไม่เก่งล่ะทำไง ไม่ใช่ปัญหานะ แต่คนพูดไม่เก่ง เวลาพูด คุณต้องพูดให้รู้เรื่อง ไปฝึกพูดให้ชัดเจน ไม่หลง งง วนประเด็น 
*** โน๊ตนิดนึงว่า การสัมภาษณ์งานบางที อย่างที่บอก กรรมการเค้ามีธงอยู่แล้วในในว่าเค้าต้องการคนแบบไหน เช่น ไม่อยากได้เด็กมีแผนเรียนต่อ , ไม่อยากได้คนเรียนเก่งมากกลัวมาเถียง , ไม่อยากได้แบบนี้แบบนั้น เยอะไปหมด หรือ แม้กระทั่งชอบคนหน้าตาดี ชอบเด็กจากมหาวิทยาลัยนี้ ก็มีผล ซึ่งต่อให้เราเก่งแค่ไหน ถ้าไม่ตรงธงของเค้า เราก็ไม่ผ่านอยู่ดี การสัมภาษณ์งานจึงเหมือนการเสี่ยงดวงส่วนนึง ว่าเราจะตรงใจเค้ามั๊ย บางที่เราสัมภาษณ์ไม่ผ่าน ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่มันเพราะ เรากับกรรมการ ดวงไม่ตรงกันจริงๆ เราก็อย่าไปเสียใจ ฟูมฟาย ให้เดินหน้าต่อไปโดยเร็ว......หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่