สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ชำแหละเบื้องหลังเก็บ‘เบอร์รี่’เคล้าน้ำตา การต่อสู้ของคนงานชาวไทยในฟินแลนด์
แคมป์คนงานที่ Saarijarvi
แคมป์แห่งนี้ เป็นบ้านของคนฟินน์ที่ต้องการหารายได้พิเศษ จึงแบ่งพื้นบ้าน และห้องว่างที่ให้คนไทยไปพัก แต่พื้นที่ที่มีเพียงตัวบ้านและโรงเรียน เก็บของหลังเล็กหนึ่งหลัง ไม่มีศักยภาพพอ ที่จะรองรับคนงานจำนวนถึง 74 คน พวกคนงานจึงต้องอยู่กันอย่างแออัด และบางคนก็ต้องนอนในรถหรือในรถพวง
คนเก็บเบอร์รี่บอกว่า นี่เป็นลักษณะที่พักในแคมป์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ที่พวกเขาต้องเข้าคิวกันใช้ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องอาบน้ำที่มีอย่างละห้องเดียวเท่านั้น กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่น และต้องตื่นแต่ตีสามตีสี่ คนงานบางกลุ่มต้องทำอาหารและกินกันในพื้นที่ที่ควรจะเป็นที่นอน กระนั้นบางคนก็ต้องนอนในรถและนอนในรถพ่วง
คนงานนักท่องเที่ยวชาวไทยเหล่านี้ - ทั้งเขาและเธอ - มีหน้าตาซูบซีดและผ่ายผอม ทั้งจากการกินอยู่อย่างอดยาก และจากการไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะต้องเดินทางไกลวันละกว่าร้อยกิโลเมตรเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ดก และจากการเดินขึ้นเขาลงเขาเก็บเบอร์รี่กันวันละ 13 - 15 ชั่วโมง
คนงานส่วนใหญ่บอกว่านอนเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่มีใครนอนเกินวันละ 5 ชั่วโมงนับตั้งแต่เดินทางมาถึงฟินแลนด์เมื่อวันที่ 29 และ 30 กรกฎาคม 2556
จะส่งกลับ-จะเรียกตำรวจ
วันที่ 10 กันยายน เมื่อตัวแทนบริษัทเดินทางมาแจกแจงตัวเลขคร่าว ๆ ว่า การทำงานทุกวัน ๆ ละ 12 -15 ชั่วโมงของพวกเขา ตลอด 5 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ไม่มีกำไรเลย เมื่อบริษัทบอกว่า ยอดเงินที่บริษัทจะหักออกจากรายได้พวกเขาสูงถึง 2,900 ยูโร และบางคนก็ยังหาเบอร์รี่ไม่พอกับจำนวนเงินที่จะหักนี้ มันก็ได้สร้างความโกลาหลให้กับกลุ่มคนงานไทยกลุ่มนี้อย่างทันที เพราะทุกคนต้องกู้หนี้ยืมสินกันมาคนละกว่าแสนบาท เพื่อจ่ายเป็นเงินค่าดำเนินการให้กับบริษัท และค่าใช้จ่ายเพื่อการทำงาน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเงินที่กู้หนี้ยืมสินกันมา โดยคนงานกว่าครึ่งกู้เงินจากธกส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และยังต้องต้องพากันกู้เงินนอกระบบอีกหลายหมื่นบาท จากนายทุนเงินกู้ หรือจากตัวแทนของบริษัท ที่คิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ถึง ร้อยละ 5 ต่อเดือน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว - ทั้งซื้ออาหาร ยา และอุปกรณ์การทำงานต่างๆ จากเมืองไทย
เมื่อบริษัทมีท่าทีกดดันมากขึ้น บอกกับเหล่าคนงานว่า “จะส่งกลับ และจะโทรเรียกตำรวจ” ซึ่งก็ทำจริง ๆ ซะด้วยในบ่ายวันนั้น โดยแจ้งให้ตำรวจจะมายึดรถ และไล่ให้คนงานออกจากแคมป์ แต่ตำรวจที่ฟินแลนด์ก็เที่ยงธรรมพอ บอกกับบริษัทว่าไม่สามารถ “บังคับ” ให้คนงานคืนรถและออกจากแคมป์ได้ คนงานต้องทำโดย “ความสมัครใจ”
เมื่อบริษัททำรุนแรงเช่นนี้ มันก็ถึงคราวถึงจุดสิ้นสุดความอดทน คนงาน 50 คน จึงประกาศจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ สู้เพื่อความยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องความเสียหาย และเมื่อได้รับคำชี้แจงข้อกฎหมายจากทนายความ พวกเขาตัดสินใจฟ้องร้องในคดี “ค้ามนุษย์” กับบริษัท และผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 11 กันยายน ณ สถานีตำรวจ ที่เมือง Saarijarvi
บริษัทเรียกตำรวจมาเพื่อให้ยึดรถจากคนงาน และให้ไล่คนงานออกจากที่พัก แต่ตำรวจที่นี่รู้จักเรื่องสิทธิมนุษยชนบอกว่า “ไม่สามารถบังคับได้ คนงานต้องทำโดยความสมัครใจ”
ความเป็นมา
คนงานที่ฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัท เป็นคนงานไทย 50 คนจากจำนวน 350 กว่าคน ที่ยอมจ่ายเงินค่านายหน้าให้กับบริษัทนายหน้า ซึ่งตัวแทนบริษัท ที่ประเทศไทย คนละ 68,000 บาท ภายใต้แรงจูงใจว่า “ถ้าไม่มีผลไม้บริษัทจะย้ายแคมป์ให้” และ “ปีนี้มีเบอร์รี่เยอะ” “จะมีคน “หาแหล่งเบอร์รี่ให้” และ “บริษัทจะให้เงินล่วงหน้าสัปดาห์ละ 100 ยูโรเพื่อการใช้จ่าย” ฯลฯ ทั้งนี้ คนงานที่มากับบริษัทนี้รับรู้ว่าพวกเขาจะต้องทำอาหารกินเอง และจ่ายค่ารถและค่าที่พักวันละ 16 ยูโร (640 บาท)
เมื่อรวมระหว่างเงินกู้เพื่อจ่ายค่าดำเนินการและกู้มาเพื่อซื้ออาหาร ยา และอุปกรณ์ทำงาน พวกเขาก็มีหนี้คนละ 100,000 - 130,000 บาทเข้าไปแล้ว
เมื่อมาถึงฟินแลนด์ – สภาพความเป็นอยู่และการทำงาน
แต่เมื่อมาถึงฟินแลนด์ หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทบอกไว้ ทั้งเรื่องที่พักที่แออัด ไม่มีการจัดหาคนหาแหล่งเบอร์รี่ให้ และที่สำคัญไม่ยอมย้ายแคมป์เมื่อไม่มีเบอร์รี่
เรื่องเงินจ่ายล่วงหน้าเพื่อการใช้จ่ายซื้อน้ำมัน อาหารและของจำเป็นที่บอกว่าจะจ่ายสัปดาห์ละ 100 ยูโรต่อสัปดาห์ แต่กลับจ่ายจริงเพียง 70 หรือ 50 ยูโรต่อสัปดาห์ ทำให้เมื่อใช้เงินส่วนใหญ่หมดไปกับค่าน้ำมัน คนงานนักท่องเที่ยว จะเหลือเงินซื้ออาหารกันเพียงวันละหนึ่งยูโร (40 บาท) เท่านั้นเอง ทำให้พวกเขาต้องประทังชีวิตด้วยอาหารที่หอบหิ้วกันมาจากเมืองไทย ซึ่งส่วนมากก็ไม่พ้นมาม่า ข้าวสวย และไข่ไก่
เพียงหนึ่งเดือนผ่านไป ทุกคนมีน้ำหนักลดกันตั้งแต่ 3 - 5 กิโลกรัม
ถ้าเก็บเห็ดและหาปลาได้ พวกเขาก็จะมีอาหารสุขภาพเสริมเข้ามา
ในจำนวนคนงาน 50 คนที่ต่อสู้ครั้งนี้ คนงาน 45 คน ถูกส่งไปยังแคมป์แรกที่เมือง Juva และอีก 5 คน ถูกส่งไปที่แคมป์แรกที่เมือง Kuhmo แต่หลังจากลงมือเก็บเบอร์รี่ไม่ถึงสัปดาห์ เมื่อบริษัทไม่ยอมให้ย้ายแคมป์ที่ต้งอยู่ที่เมือง Juva ตามคำขอของคนงาน เมื่อเจอคำพูดว่า “ถ้าไม่เก็บก็จะส่งกลับเมืองไทย” ก็ทำให้คนงานหวาดกลัว และยอมขับรถไกลเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ถึงขนาดที่คนงานเกือบทุกคนต้องนอนค้างอ้างแรมกันในป่าเพราะต้องการประหยัดน้ำมัน (คนงานกลุ่มนี้กว่าครึ่งมีประสบการณ์นอนในป่าที่หนาวเย็น)
คนงานอยู่กับรถทั้งวิ่งหาเบอร์รี่ และใช้นอนอาศัย - นี่คือค่าเช่าวันละ 16 ยูโร (640 บาท)
ราคาเบอร์รี่ปีนี้ก็ต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว บลูเบอร์รี่ที่เคยมีราคา 2 ยูโร/กก. ปีนี้รับซื้อที่ 1.4 ยูโร เมื่อผนวกกับการเก็บบลูเบอร์รี่ได้น้อย (ดูตัวเลขจำนวนบลูเบอร์รี่ที่เก็บในแผนภาพ) เมื่อถึงฤดูลินงอนเบอร์รี่ (คนงานเรียกว่า “หมากแดง”) พวกเขาก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะมีหมากแดงมากในบริเวณที่พวกเขาอยู่ เรื่องการขอย้ายแคมป์จึงกลายเป็นเรื่องการสู้เพื่อขออยู่ทีแคมป์นี้ต่อไป
และแม้ว่าจะไม่มีเบอร์รี่ และต้องเผชิญกับความยุ่งยากและลำบากมากมาย ทั้งยังต้องอยู่กินอย่างอัตคัด “หามนอน ห้ามป่วย ห้ามพัก” คนงานทั้ง 50 คน เก็บเบอร์รี่รวมกันให้บริษัท ได้ถึงแปดหมื่นกว่าตันในเดือนเดียว แต่จนถึงบัดนี้ ทุกคนก็ยังไม่ได้รับเงินค่าเก็บเบอร์รี่จากบริษัท
ผมก็อบมาจากเวบ เข้าไปอ่านรายละเอียดและดูรูปภาพได้จาก https://www.tcijthai.com/news/2013/09/scoop/3099
นี่คือภาพที่เคยจินตนาการไว้ถึงการไปเก็บเบอรี่
แคมป์คนงานที่ Saarijarvi
แคมป์แห่งนี้ เป็นบ้านของคนฟินน์ที่ต้องการหารายได้พิเศษ จึงแบ่งพื้นบ้าน และห้องว่างที่ให้คนไทยไปพัก แต่พื้นที่ที่มีเพียงตัวบ้านและโรงเรียน เก็บของหลังเล็กหนึ่งหลัง ไม่มีศักยภาพพอ ที่จะรองรับคนงานจำนวนถึง 74 คน พวกคนงานจึงต้องอยู่กันอย่างแออัด และบางคนก็ต้องนอนในรถหรือในรถพวง
คนเก็บเบอร์รี่บอกว่า นี่เป็นลักษณะที่พักในแคมป์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ที่พวกเขาต้องเข้าคิวกันใช้ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องอาบน้ำที่มีอย่างละห้องเดียวเท่านั้น กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่น และต้องตื่นแต่ตีสามตีสี่ คนงานบางกลุ่มต้องทำอาหารและกินกันในพื้นที่ที่ควรจะเป็นที่นอน กระนั้นบางคนก็ต้องนอนในรถและนอนในรถพ่วง
คนงานนักท่องเที่ยวชาวไทยเหล่านี้ - ทั้งเขาและเธอ - มีหน้าตาซูบซีดและผ่ายผอม ทั้งจากการกินอยู่อย่างอดยาก และจากการไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะต้องเดินทางไกลวันละกว่าร้อยกิโลเมตรเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ดก และจากการเดินขึ้นเขาลงเขาเก็บเบอร์รี่กันวันละ 13 - 15 ชั่วโมง
คนงานส่วนใหญ่บอกว่านอนเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่มีใครนอนเกินวันละ 5 ชั่วโมงนับตั้งแต่เดินทางมาถึงฟินแลนด์เมื่อวันที่ 29 และ 30 กรกฎาคม 2556
จะส่งกลับ-จะเรียกตำรวจ
วันที่ 10 กันยายน เมื่อตัวแทนบริษัทเดินทางมาแจกแจงตัวเลขคร่าว ๆ ว่า การทำงานทุกวัน ๆ ละ 12 -15 ชั่วโมงของพวกเขา ตลอด 5 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ไม่มีกำไรเลย เมื่อบริษัทบอกว่า ยอดเงินที่บริษัทจะหักออกจากรายได้พวกเขาสูงถึง 2,900 ยูโร และบางคนก็ยังหาเบอร์รี่ไม่พอกับจำนวนเงินที่จะหักนี้ มันก็ได้สร้างความโกลาหลให้กับกลุ่มคนงานไทยกลุ่มนี้อย่างทันที เพราะทุกคนต้องกู้หนี้ยืมสินกันมาคนละกว่าแสนบาท เพื่อจ่ายเป็นเงินค่าดำเนินการให้กับบริษัท และค่าใช้จ่ายเพื่อการทำงาน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเงินที่กู้หนี้ยืมสินกันมา โดยคนงานกว่าครึ่งกู้เงินจากธกส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และยังต้องต้องพากันกู้เงินนอกระบบอีกหลายหมื่นบาท จากนายทุนเงินกู้ หรือจากตัวแทนของบริษัท ที่คิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ถึง ร้อยละ 5 ต่อเดือน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว - ทั้งซื้ออาหาร ยา และอุปกรณ์การทำงานต่างๆ จากเมืองไทย
เมื่อบริษัทมีท่าทีกดดันมากขึ้น บอกกับเหล่าคนงานว่า “จะส่งกลับ และจะโทรเรียกตำรวจ” ซึ่งก็ทำจริง ๆ ซะด้วยในบ่ายวันนั้น โดยแจ้งให้ตำรวจจะมายึดรถ และไล่ให้คนงานออกจากแคมป์ แต่ตำรวจที่ฟินแลนด์ก็เที่ยงธรรมพอ บอกกับบริษัทว่าไม่สามารถ “บังคับ” ให้คนงานคืนรถและออกจากแคมป์ได้ คนงานต้องทำโดย “ความสมัครใจ”
เมื่อบริษัททำรุนแรงเช่นนี้ มันก็ถึงคราวถึงจุดสิ้นสุดความอดทน คนงาน 50 คน จึงประกาศจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ สู้เพื่อความยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องความเสียหาย และเมื่อได้รับคำชี้แจงข้อกฎหมายจากทนายความ พวกเขาตัดสินใจฟ้องร้องในคดี “ค้ามนุษย์” กับบริษัท และผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 11 กันยายน ณ สถานีตำรวจ ที่เมือง Saarijarvi
บริษัทเรียกตำรวจมาเพื่อให้ยึดรถจากคนงาน และให้ไล่คนงานออกจากที่พัก แต่ตำรวจที่นี่รู้จักเรื่องสิทธิมนุษยชนบอกว่า “ไม่สามารถบังคับได้ คนงานต้องทำโดยความสมัครใจ”
ความเป็นมา
คนงานที่ฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัท เป็นคนงานไทย 50 คนจากจำนวน 350 กว่าคน ที่ยอมจ่ายเงินค่านายหน้าให้กับบริษัทนายหน้า ซึ่งตัวแทนบริษัท ที่ประเทศไทย คนละ 68,000 บาท ภายใต้แรงจูงใจว่า “ถ้าไม่มีผลไม้บริษัทจะย้ายแคมป์ให้” และ “ปีนี้มีเบอร์รี่เยอะ” “จะมีคน “หาแหล่งเบอร์รี่ให้” และ “บริษัทจะให้เงินล่วงหน้าสัปดาห์ละ 100 ยูโรเพื่อการใช้จ่าย” ฯลฯ ทั้งนี้ คนงานที่มากับบริษัทนี้รับรู้ว่าพวกเขาจะต้องทำอาหารกินเอง และจ่ายค่ารถและค่าที่พักวันละ 16 ยูโร (640 บาท)
เมื่อรวมระหว่างเงินกู้เพื่อจ่ายค่าดำเนินการและกู้มาเพื่อซื้ออาหาร ยา และอุปกรณ์ทำงาน พวกเขาก็มีหนี้คนละ 100,000 - 130,000 บาทเข้าไปแล้ว
เมื่อมาถึงฟินแลนด์ – สภาพความเป็นอยู่และการทำงาน
แต่เมื่อมาถึงฟินแลนด์ หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทบอกไว้ ทั้งเรื่องที่พักที่แออัด ไม่มีการจัดหาคนหาแหล่งเบอร์รี่ให้ และที่สำคัญไม่ยอมย้ายแคมป์เมื่อไม่มีเบอร์รี่
เรื่องเงินจ่ายล่วงหน้าเพื่อการใช้จ่ายซื้อน้ำมัน อาหารและของจำเป็นที่บอกว่าจะจ่ายสัปดาห์ละ 100 ยูโรต่อสัปดาห์ แต่กลับจ่ายจริงเพียง 70 หรือ 50 ยูโรต่อสัปดาห์ ทำให้เมื่อใช้เงินส่วนใหญ่หมดไปกับค่าน้ำมัน คนงานนักท่องเที่ยว จะเหลือเงินซื้ออาหารกันเพียงวันละหนึ่งยูโร (40 บาท) เท่านั้นเอง ทำให้พวกเขาต้องประทังชีวิตด้วยอาหารที่หอบหิ้วกันมาจากเมืองไทย ซึ่งส่วนมากก็ไม่พ้นมาม่า ข้าวสวย และไข่ไก่
เพียงหนึ่งเดือนผ่านไป ทุกคนมีน้ำหนักลดกันตั้งแต่ 3 - 5 กิโลกรัม
ถ้าเก็บเห็ดและหาปลาได้ พวกเขาก็จะมีอาหารสุขภาพเสริมเข้ามา
ในจำนวนคนงาน 50 คนที่ต่อสู้ครั้งนี้ คนงาน 45 คน ถูกส่งไปยังแคมป์แรกที่เมือง Juva และอีก 5 คน ถูกส่งไปที่แคมป์แรกที่เมือง Kuhmo แต่หลังจากลงมือเก็บเบอร์รี่ไม่ถึงสัปดาห์ เมื่อบริษัทไม่ยอมให้ย้ายแคมป์ที่ต้งอยู่ที่เมือง Juva ตามคำขอของคนงาน เมื่อเจอคำพูดว่า “ถ้าไม่เก็บก็จะส่งกลับเมืองไทย” ก็ทำให้คนงานหวาดกลัว และยอมขับรถไกลเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ถึงขนาดที่คนงานเกือบทุกคนต้องนอนค้างอ้างแรมกันในป่าเพราะต้องการประหยัดน้ำมัน (คนงานกลุ่มนี้กว่าครึ่งมีประสบการณ์นอนในป่าที่หนาวเย็น)
คนงานอยู่กับรถทั้งวิ่งหาเบอร์รี่ และใช้นอนอาศัย - นี่คือค่าเช่าวันละ 16 ยูโร (640 บาท)
ราคาเบอร์รี่ปีนี้ก็ต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว บลูเบอร์รี่ที่เคยมีราคา 2 ยูโร/กก. ปีนี้รับซื้อที่ 1.4 ยูโร เมื่อผนวกกับการเก็บบลูเบอร์รี่ได้น้อย (ดูตัวเลขจำนวนบลูเบอร์รี่ที่เก็บในแผนภาพ) เมื่อถึงฤดูลินงอนเบอร์รี่ (คนงานเรียกว่า “หมากแดง”) พวกเขาก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะมีหมากแดงมากในบริเวณที่พวกเขาอยู่ เรื่องการขอย้ายแคมป์จึงกลายเป็นเรื่องการสู้เพื่อขออยู่ทีแคมป์นี้ต่อไป
และแม้ว่าจะไม่มีเบอร์รี่ และต้องเผชิญกับความยุ่งยากและลำบากมากมาย ทั้งยังต้องอยู่กินอย่างอัตคัด “หามนอน ห้ามป่วย ห้ามพัก” คนงานทั้ง 50 คน เก็บเบอร์รี่รวมกันให้บริษัท ได้ถึงแปดหมื่นกว่าตันในเดือนเดียว แต่จนถึงบัดนี้ ทุกคนก็ยังไม่ได้รับเงินค่าเก็บเบอร์รี่จากบริษัท
ผมก็อบมาจากเวบ เข้าไปอ่านรายละเอียดและดูรูปภาพได้จาก https://www.tcijthai.com/news/2013/09/scoop/3099
นี่คือภาพที่เคยจินตนาการไว้ถึงการไปเก็บเบอรี่

แสดงความคิดเห็น
งานเก็บผลไม้ที่สวีเดน