มอง "โรค" ในแง่บวก ต้องอยู่ด้วยกันแม้ไม่อยากสนิท

อมยิ้ม01จากกระทู้ที่แล้ว : https://pantip.com/topic/39550366   สามารถอ่านย้อนหลังได้นะคะ เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงมาถึงกัน

                         จากความเดิมตอนที่แล้ว ที่เจ้าของกระทู้ได้เล่าเรื่อง การรักษาการป่วยของตัวเองที่รักษาเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว แต่ก็ยังคงรักษาตัวต่อไปเรื่อยๆ หลายๆ ครั้งเคยท้อใจมาเสมอทำไมต้องเกิดขึ้นกับตัวเรา ทำไมถึงเป็นอะไรมากมาย อย่างที่เคยบอกถ้ามองในด้านศาสนา ทางพุทธ อาจเรียกว่าเวรกรรม ทางคริสต์ (คาทอลิก) อาจเป็นเพราะแบบแผนของพระเจ้า ทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรมที่ทางบรรพบุรุษ คนใดคนหนึ่งเป็น โดยที่เราอาจจะไม่ทราบ หรืออาจมีเชื้อที่ส่งผลมาต่อรุ่นเท่านั้นเท่านี้ 

 
                       เนื่องจากโรคเนื้องอกเกี่ยวกับเส้นประสาท หรือกระดูกสันหลัง มีคนมากมายที่เป็นดรคนี้กันมาก ซึ่งมีเพจคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับโรคนี้อยู่ด้วย ก็มีการแชร์ประสบการณ์นั้นจากในเพจ คนที่เคยรักษามาแล้วหรือเริ่มรักษา ก็จะมาเล่าตั้งแต่วันแรกที่พบเจอกันกับโรค การรักษา รวมไปถึงการดูแลตัวเอง
           ตอนนี้ก็จะมีเพจใหญ่ๆ ที่หนูเคยไปแชร์ประสบการณ์แรกๆ จนมีคนมาหลังไมค์สอบถามใน inbox ทาง FB 2-5 คน แต่ที่จะคุยกันบ่อยๆ จะมีน้องผู้ชายคนนึง กับพี่สาวอีกคน ซึ่ง 2 คนนี้จะคุยกันก่อนที่หนุจะผ่าตัดค่ะ จนกระทั่งหนูผ่าตัด แล้ว 2 คนนี้ก้ผ่าตัดในปีที่ถัดมาก โดยส่วนมากคนที่มาถามทาง inbox จะถามว่า “รู้ตัวได้ยังไง เจอตรงไหนที่แรก รักษาที่ไหน ผ่าเมื่อไร กลัวการผ่าไหม กังวลไหมว่าจะผ่าออกมาแล้วไม่เหมือนเดิม” แต่โดยส่วนมากทุกคนจะกลัวหลังผ่าตัดว่าจะใช้ชีวิตได้ไม่เหมือนเดิม 

 
                  หนูก็จะให้กำลังใจคนเหล่านั้นว่า คือกำลังใจ และใจการสู้ของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ต้องพุดกับตัวเองเสมอว่า มันต้องโอเคสิ เราต้องไว้ใจหมอนะ จะหายไม่หายคืออยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราสู้ มันก็ฟื้นตัวได้ไว ถ้าถามว่าจะหายขาดไหม? มีโอกาสที่จะหายไหม? ทุกอย่างมีโอกาสเสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่า ภูมิของเราจะแข็งแรงมากแค่ไหน? ....   และทุกคนก็จะตอบว่า แต่ พี่กังวล แต่พี่กลัว ทำไมพี่ทำไม่ได้แบบน้อง พี่กลัวว่าจะเดินไม่ได้ พี่กลัวจะไม่เหมือนเดิม?   หนู ก็จะบอกว่าการผ่าตัด ทุกคนที่จะกลับมาใช้ชีวิตปกตินั้น มันถูกแล้ว เพราะคุณหมอก็บอกหนูว่า รู้ใช่ไหม? ว่าถ้าผ่าตัดแล้ว ร่างกายเราก็ใช้งานไม่ได้ตามปกติแล้วนะ ดูแลตัวเองเยอะๆ ..   หนู ก็จะบอกไปว่า ทราบค่ะ หมอบอกหนูตลอดตั้งแต่ก่อนผ่า จนหลังผ่า จนเช็กอัพทุกครั้ง และก็หัวเราะ .... 
 
                หนูเคยคุยกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า คือนี่ก็คอยรับฟังปัญหาของเขา แต่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่คือจะอยู่กับเขาและฟังเขาค่ะ บางคนรู้ว่าหนูป่วยหนัก ก็ถามว่า “ป่วยหนักขนาดนี้ เคยคิดอยากฆ่าตัวตายไหม? เพราะสำหรับเขาคืออยากฆ่าตัวตายทุกครั้ง เวลาที่ตัวเองรู้สึกว่าไม่มีใคร”

              หนูก็ตอบไปว่า “ไม่เคยคิดเลย เพราะแค่เป็นโรคนั้นนี้ ก็จะตายด้วยโรคอยู่แล้ว จะฆ่าตัวตายให้ตัวเองเป็นบาปทำไม? จริงเปล่า” เพื่อนก็จะตอบว่า เออ... จริงหว่ะ  และก็บอกว่าหนุเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆ จนแบบ เห้ย... เป็นตูๆ เคว้งไปแล้ว ... 

             เอาจริงๆ ที่ป่วยตอนนั้น ก่อนผ่าตัดสิ่งที่กลัวคือ น้องที่เป็นเนื้องอกในเส้นประสาท ส่งรูปคนที่ผ่าตัดเนื้องอกที่กระดูกสันหลังมาให้ดู ซึ่งรักษาที่ รพ.รัฐบาล เขาถูกเย็บแผลด้วยลวด ..  และอันตัวหนูเองก็แบบว่า เห้ยยยย !! ไม่นะไหม แบบนี้ช้านจะทำไง กลัวมาก จนน้องบอกว่า “พี่รักษา รพ.เอกชน น่าจะเย็บปกติแหล่ะ” ... โอเค แบบนั้นก็สบายใจหน่อย 

             และน้องคนนี้ ก็บอกกับหนูว่า “บางทีผมก็ไม่เข้าใจนะว่า ทั้งๆที่ผม กินอาหารถุกอนามัย นอนเร็ว ออกกำลังกาย ทำไมถึงต้องมาเกิดกับพวกเรา” หนูก็เลยบอกว่า “ง่ายๆนะ ซวย.. แค่นั้นเอง คนเรามันจะเป็นก็เป็นไง ขนาดหมอรักษามะเร็งยังเสียด้วยมะเร็งเลย แกอาจจะดูแลดีเกินไป ในขณะที่ร่างกายต้องการเชื้อโรค ส่วนชั้นร่างกายต้องการความสะอาด แต่นี่ก็กินไม่เลือก แค่นั้นเอง” สุดท้ายก็เลยให้กำลังใจกันและกันไป เออ.. เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้อ่ะเน๊อะ … ซึ่งหนุกับน้องคนนี้ผ่าตัดกับหมอคนเดียวกันค่ะ แต่คนละ รพ. แต่น้องเป็นหนักกว่า เพราะน้องเป็นเนื้องอกในเส้นประสาท ซึ่งต้องมีเรื่องการฉายแสงด้วย น้องรักษาที่รพ. รัฐบาลแต่โชคดีที่ไม่โดยตัดกระดูก แต่อาการข้างเคียงนี่ค่อนข้างเหมือนกัน น้องคนนี้ผ่าตัดไปเมื่อปี 2562  และพี่อีกคนนึงเป็เนื้องอกในกระดูกสันหลัง ก่อนผ่าพี่เขาก็ทักมาคุยปรึกษาหนู จนแกผ่าตัดไป แต่พี่เขารักษาที่ ตจว. มีนาคม 2562 ซึ่งตอนนี้พี่เขาบอกว่ายังเดินไม่ได้เลย ตอนนี้หนูเลยมองว่าหนูยังโชคดีนะ ที่ฟื้นตัวไว หัดเดินและเดินได้เร็ว

 
                ในทางกลับกัน แต่ละคนแต่ละเคสที่เจอ ก้แตกต่างกันออกไป เป็นมากเป็นน้อย อาการข้างเคียง ผลข้างเคียง เหมือนกันและแตกต่างกันออกไป ทุกครั้งที่ไปหาหมอ พอป่วยเป้นอะไรเล็กๆ น้อยๆสำหรับคนอื่น แต่สำหรับหนูหรือคนทั่วไป อาจเป้นเรื่องที่ยิ่งใหย่มาก ติดเชื้อง่ายบ้าง ติดเชื้อทีหนึ่งก็ติดแบบแรงกว่าคนอื่น พอจะหายก็ไม่หายขาด มีโรคแทรกซ้อนเพิ่มไปอีก ซึ่งพูดง่ายๆ ว่ามีเพื่อนใหม่มาทักทายเสมอ และเป็นเพื่อนที่ไม่รู้ว่าจะต้องหลีกเลี่ยงมันยังไงดี ชอบมาหาแบบไม่ได้นัดมาก่อน ถามว่าดีใจไหม? ที่มีเพื่อนใหม่มาทัก ก็ไม่นะ 555 “ร่างกาย... เอาแต่ใจตัวเอง ชห..” ประมาณนี้เลยค่ะ

                หมอที่ดูแลมีทั้งหมด 6 คน ก็บอกว่า หนูเป็นคนไข้ที่อารมณ์ดีมากๆ ขนาดป่วยตั้งหลายโรค แบบที่หายยาก หรือแถบจะไม่หายเลย ยังยิ้มและมีเรื่องตลอกทุกครั้งที่มาหาหมอ” นี่ก็จะตอบหมอกลับไปว่า “หนูไม่รู้จะเครียดทำไม มีเรื่องที่หนูเครียดคืออะไร คุณมอรู้อยู่แล้ว แต่เรื่องป่วยนี่ชิวมาก เพราะเครียดไปมันก็ไม่หาย มันอยากอยู่ก็ให้มันอยู่ไปเลย”  เนื้องอกมันชอบความเครียดมากๆ เลย ยิ่งเราเครียดมันก็ยิ่งขยายตัวเร็ว นี่ก็จะพบายามจะไม่เครียด เพราะเวลาที่มันปวดก็ทรมานมากๆ กินยาก็บรรเทาไปได้ไม่กี่วัน บางครั้งก็เครียดอีกล่ะ ทำจนเป็นเรื่องมีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว น้อง.. ก็บอกว่า “ทำไมนะ มันต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยอ่ะ แต่ช่างเหอะ ยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้เน๊อะ และให้กำลังใจกันไปเรื่อยๆงี้แหล่ะ และก้จะคุยกันตลอด อวยพรกันไปทุกครั้ง บ่นอาการให้กันฟังตลอด พี่อีกคนก็เช่นกัน กระทู้ที่แล้วดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่มีคนมาเม้นท์ให้กำลังใจกันมากมายเลย ขอบคุณจากใจจริงๆ ^^

                  หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป ไม่ว่าใครจะเจออะไรมาก็แล้วแต่ ขอให้ทุกคนสู้ต่อไปนะคะ เราคิดว่าเราแย่ที่สุดแล้ว ยังไม่คนที่แย่กว่าเราเยอะแยะเลยค่ะ เหมือนอย่างตอนที่หนูนอน ICU และอยากให้คุรหมอฉีดยาให้ตายเลย ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง 555 แต่ตอนนั้นมันอยากตายจริงๆ นะเพราะมันปวดมากๆ ปวดใจจะขาดเลยค่ะ นี่ก็มองว่าถ้าเนื้องอกไปโตที่จุดสำคัญ คงบอกพี่ๆ ที่รู้จักว่าไม่ต้องรักษาหนูแล้วนะ ออกค่าตั๋วเครื่องบิน ให้หนุไปการุณฆาตตัวเองง่ายกว่า เพราะคิดว่าผ่าไปก็ไม่หมด ไม่หาย พี่ๆ เลยแซวว่าจะเอางั้นเลยหรอ 

                   ในส่วนหนึ่งตอนเด็กๆ พ่อมักสอนเสมอว่าให้รู้จักแบ่งปัน ได้เท่าที่ตัวเองมี สักวันหนูจะได้รับจากพระเจ้ามากกว่าที่หนูได้แบ่งปันคนอื่น ซะอีก นี่ก็เลยติดนิสัยเป็นคนชอบแบ่งปันให้คนอื่นตั้งแต่เด็กๆ เคยบ่งให้คนที่อายุมากกว่า จนพี่อีกคนสอนว่า “คนที่แกช่วยเขามีเงินมากกว่าแกเยอะแยะ และแกก็เชื่อในพระเจ้า พ่อแกก็สอนดีไปอีก พี่อยากจะบอกว่า คนอย่างแกไม่วันอับจนหรอก เชื่อพี่ดิ” นี่ก็รู้สึกภูมิใจ จนกระทั่งวันที่หนูจากกระทู้ที่แล้วที่บอกว่าจะต้องจ่ายค่าอุปกรณ์พิเศษเองราคา 50000 บาท ที่ได้จากการระดมทุนจากพี่ๆที่รู้จัก และยังได้จากหลังไมค์อีก นั้นคือสิ่งที่ทำให้รู้ว่า “มันทำให้รู้ว่า สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือมันยิ่งใหญ่จริงๆ นะ จากการที่เราแบ่งปัน และช่วยคนอื่นแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่ทำแล้วทำให้เราสุขใจเราเลยเลือกที่จะทำ มันได้รับกลับมาจริงๆ นะ นี่ยังคิดว่าสิ่งที่หนูได้รับกลับมา มันมากมายกว่าที่หนูแบ่งปันออกไปซะอีก คนรู้จัก แต่ไม่เคยคุยกับเราก็ช่วย คนไม่เคยรู้จักก็ช่วย มันเป็นสิ่งที่อิ่มเอืบใจจริงๆค่ะ ถ้ามองในแง่ศาสนา คือ พระเจ้าไม่ทิ้งเราเลย พระเจ้าอยู่กับเราตลอด ที่ส่งคนมากมายมาช่วยเหลือ นี่เลยยึดประโยคที่ว่า Pay It Forward” มาเสมอซึ่งเป็นชื่อของหนังที่ชื่อภาษาไทยว่า “ถ้าใจคุณให้ คุณจะได้มากกว่าหนึ่ง” มันคือเรื่องจริง เป็นหนังที่ดีมากๆ แนะนำให้ดูเลย

             เลยมีข้อคิด เล็กๆ น้อยมาฝากค่า เป็นข้อคิดที่คิดขึ้นมาเองเลย อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คน ถ้ามีเรื่องอะไรอยากปรึกษา ชี้แนะสามารถบอกได้เลยนะคะ 

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่