วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ยุติการตั้งครรภ์ เรากับสามีอายุสามสิบต้นๆ ครั้งนี้เป็นท้องที่ 2 ท้องครั้งแรกน้องก็จากไปตอนอายุได้ 2 วัน เนื่องจากน้องผ่าฉุกเฉินตอนอายุครรภ์ 35 week เพราะรกลอกตัวก่อนกำหนด ตามกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/38610076/comment31
เรารู้ตัวว่าน้องมีปัญหาตอนท้องได้ 15 week เนื่องจากมีนัดตรวจกับคุณหมอที่คลินิก โดยคุณหมอบอกว่าหลังตรวจครั้งนี้ ให้เราไปตรวจเลือดคัดกรองดาว์นซินโดรมที่ รพ.ต่อ เราก็ตื่นเต้นกับสามีเพราะครั้งนี้อาจจะทราบเพศลูก แต่เมื่อคุณหมออัลตราซาว์ด คุณหมอบอกว่าทำไมเรากับสามีดวงไม่ดีอีกแล้วเนี่ย เราก็เริ่มใจไม่ดีละ คุณหมอก็เริ่มอธิบายว่าหมอตรวจเจอถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก หรือ cystic hygroma นอกจากนี้เด็กยังเริ่มมีอาการบวมน้ำ มีน้ำที่หัวใจ เราเลยถามหมอ ว่าจะต้องทำยังไงต่อ คุณหมอเลยบอกว่าเราอาจจะต้องยุติการตั้งครรภ์ โดยหมอแนะนำให้เราไปหาหมอที่เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารก ที่ รพ.เพื่อตรวจอีกครั้ง เพื่อผลการตรวจจะได้ช่วยเราในการตัดสินใจ ตอนเราคุยกับหมอเราไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอเราออกมาจากคลินิกเท่านั้นเราปล่อยโฮกับสามีเลย ตอนครั้งแรกเราคุยกับสามีว่าจะไปกินข้าวหาอะไรอร่อยๆกันหลังตรวจเสร็จ เผื่อฉลองที่จะได้รู้เพศน้อง แต่กลับมาทราบข่าวร้ายแทน เราเลยไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย เลยขอให้สามีพากลับบ้านแทน
วันต่อมา เราก็ไปหาหมออีกท่าน เพื่อตรวจอีกครั้ง ผลปรากฎว่าหมอก็พบว่าน้องมีอาการเช่นเดียวกับที่คุณหมอท่านแรกตรวจ คือ มีถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก เด็กมีอาการบวมน้ำ และได้ขอให้เราเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจสอบว่าเด็กมีความผิดปกติทางโครโมโซมรึเปล่า เนื่องจากการเกิดถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก มีสาเหตุบางส่วนมาจากความผิดปกติทางโครโมโซม โดยผลตรวจน้ำคร่ำจะได้เป็นข้อมูลในการวางแผนการมีลูกคนต่อไป และได้แนะนำให้เรายุติการตั้งครรภ์เช่นกัน เนื่องจากเด็กไม่น่าจะไม่รอด และถ้าเก็บไว้นาน จะเสี่ยงให้คุณแม่ความดันสูง เรากับสามีจึงตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นทางรพ. จึงติดต่อกับหมอที่เราฝากครรภ์ที่คลินิก เพื่อประสานการยุติการตั้งครรภ์ให้เรา และได้นัดให้เรามาเข้ากระบวนการยุติการตั้งครรภ์อาทิตย์ถัดมา
วันที่เราต้องจากลากับลูกก็มาถึง เรากับสามีไป รพ.แต่เช้า เพื่อทำเรื่อง admit จากนั้นเราถูกส่งตัวมาที่แผนกนารีเวช โดยพยาบาลจะสอบถามข้อมูลทั่วไปและเหตุผลการยุติการตั้งครรภ์และให้เราเซ็นต์เอกสาร จากนั้นให้เราไปเปลี่ยนชุดของรพ. และได้ให้ยามาอมใต้ลิ้น โดยยาจะอมทุก 4 ชั่วโมง และพยาบาลแจ้งว่ายานี้มีผลข้างเคียง คือ เกิดอาการหนาวสั่น มีไข้ ท้องเสีย คุณแม่ไม่ต้องกังวลถ้าเจออาการแบบนี้ และเราโชคดีของเราที่ได้ห้องพิเศษ สามีจึงได้อยู่เฝ้าและเป็นกำลังใจให้กับเราได้ จากนั้นเราก็นอนชิว ดูโทรทัศน์ไปสบายๆ
อมยาครั้งแรก สักพักเราเกิดอาการหนาวสั่น ท้องเสียตามมา และไข้ขึ้น และปวดท้องและปวดหลังนิดๆแต่ไม่มาก คล้ายๆปวดประจำเดือน เราจำได้ว่าท้องเสียไปประมาณ 6 ครั้งได้ จนมีแต่น้ำใสๆ
4 ชั่วโมงต่อมา พยาบาลมาตรวจ ปากมดลูกไม่เปิดสักเซ็น จึงให้อมยาครั้งที่สองต่อ ครั้งนี้ผ่านไป 1 ชั่วโมง เราเริ่มมีน้ำไหลออกจากช่องคลอด จึงรีบบอกให้สามีใส่ผ้าอนามัยห่วงให้หน่อย จากนั้นมดลูกเราก็เริ่มบีบตัวเรื่อยๆ ทุกๆ 1 นาที จนน้อยกว่านาที นาทีนั้นคือนอนค้ดตัวบนเตียงเพราะปวดมาก นี้สินะคือการปวดท้องคลอดลูก เราจึงให้สามีไปสอบถามกับพยาบาลว่า เมื่อมีอาการประมาณไหนจึงต้องเรียกพยาบาล พยาบาลก็บอกว่าต้องมีอาการปวดเบ่งก่อน เราก็เลยรอต่อไป จากนั้นใกล้ๆครบ 4 ชั่วโมง อาการปวดก็เริ่มเบาลง พยาบาลบอกเดี๋ยวให้อมยาครั้งที่ 3 เราก็อมจนยาละลายหมด และจึงขอให้สามีพาลงจากเตียงมาเข้าห้องน้ำ เพราะรู้สึกจะอยากถ่าย พอลงมาปุ๊บเราก็รู้สึกว่ามีอะไรเป็นก้อนคาอยู่ตรงช่องคลอด จึงรีบเอาผ้าอนามัยห่วงดึงลงมาดู ปรากฎว่าน้องหลุดออกมาพร้อมกับสายรกคาอยู่ เรารีบเดินไปนั่งที่ชักโครก และเอาสองมือประคลองลูก สามีก็รีบไปเรียกพยาบาลมาดู พอพยาบาลมาถึง จึงให้เรารีบนั่งรถเข็นไปห้องที่มีเตียงขาหยั่ง
จากนั้นพยาบาลก็เจาะให้น้ำเกลือ และตัดสายสะดึอเอาตัวน้องออกไป แล้วรอเราคลอดรกต่อ สัก 20 นาที เราก็คลอดรก แต่เมื่อหมอมาตรวจสอบพบว่ารกยังออกไม่หมด เราจึงโดนให้ยาสลบผ่านทางน้ำเกลือ แสบเข้าเส้นมาก เพื่อเอาเศษรกที่ยังออกไม่หมดออกจากมดลูก จากนั้นเราก็หลับไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 3 ทุ่ม เจอหน้าสามี สามีบอกว่าหมอดูดมดลูก ไม่ได้ขูดมดลูกนะ และพยาบาลก็พาเรานั่งรถเข็นกลับห้องพัก
เช้าวันต่อมา คุณหมอก็มาตรวจ แล้วบอกว่าถ้าไม่มีอะไรก็น่าจะออกจากรพ.วันนี้ได้ โชคดีที่เราไม่มีไข้ ปวดท้องนิดหน่อย และเลือดก็ไม่ได้ไหลเยอะจึงออกจาก รพ.ได้
นี้คือประสบการณ์ การเสียลูกครั้งที่ 2 ไป ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเจอครั้งแรกมันหนักหนาสาหัสกว่า ครั้งนี้เรากับสามีจึงทำใจง่ายขึ้น ถึงแม้จะทำใจได้แต่ในส่วนลึกๆในใจ เราก็ยังรู้สึกกับเหตุการณ์ที่สูญเสียทั้งสองครั้งอยู่
ท้ายนี้จึงขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ๆทุกท่านที่เผชิญการสูญเสียแบบเรา เราไม่ได้สูญเสียลูกอยู่คนเดียว แต่ยังมีคนอื่นๆที่เผชิญเหตุการณ์แบบนี้อยู่ และกำลังลุกขึ้นสู้ เดินหน้าและเผชิญกับความจริงของชีวิตต่อไป
ตอนนี้ เรากับสามีก็ยังไม่หมดหวังในการมีลูก แต่ก็คงจะเว้นพักยาวสัก 2-3 ปี รอให้ร่างกายและจิตใจพร้อม
แชร์ประสบการณ์ยุติการตั้งครรภ์ 16 week จากเด็กเกิดภาวะ cystic hygroma
เรารู้ตัวว่าน้องมีปัญหาตอนท้องได้ 15 week เนื่องจากมีนัดตรวจกับคุณหมอที่คลินิก โดยคุณหมอบอกว่าหลังตรวจครั้งนี้ ให้เราไปตรวจเลือดคัดกรองดาว์นซินโดรมที่ รพ.ต่อ เราก็ตื่นเต้นกับสามีเพราะครั้งนี้อาจจะทราบเพศลูก แต่เมื่อคุณหมออัลตราซาว์ด คุณหมอบอกว่าทำไมเรากับสามีดวงไม่ดีอีกแล้วเนี่ย เราก็เริ่มใจไม่ดีละ คุณหมอก็เริ่มอธิบายว่าหมอตรวจเจอถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก หรือ cystic hygroma นอกจากนี้เด็กยังเริ่มมีอาการบวมน้ำ มีน้ำที่หัวใจ เราเลยถามหมอ ว่าจะต้องทำยังไงต่อ คุณหมอเลยบอกว่าเราอาจจะต้องยุติการตั้งครรภ์ โดยหมอแนะนำให้เราไปหาหมอที่เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารก ที่ รพ.เพื่อตรวจอีกครั้ง เพื่อผลการตรวจจะได้ช่วยเราในการตัดสินใจ ตอนเราคุยกับหมอเราไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอเราออกมาจากคลินิกเท่านั้นเราปล่อยโฮกับสามีเลย ตอนครั้งแรกเราคุยกับสามีว่าจะไปกินข้าวหาอะไรอร่อยๆกันหลังตรวจเสร็จ เผื่อฉลองที่จะได้รู้เพศน้อง แต่กลับมาทราบข่าวร้ายแทน เราเลยไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย เลยขอให้สามีพากลับบ้านแทน
วันต่อมา เราก็ไปหาหมออีกท่าน เพื่อตรวจอีกครั้ง ผลปรากฎว่าหมอก็พบว่าน้องมีอาการเช่นเดียวกับที่คุณหมอท่านแรกตรวจ คือ มีถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก เด็กมีอาการบวมน้ำ และได้ขอให้เราเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจสอบว่าเด็กมีความผิดปกติทางโครโมโซมรึเปล่า เนื่องจากการเกิดถุงน้ำที่ต้นคอเด็ก มีสาเหตุบางส่วนมาจากความผิดปกติทางโครโมโซม โดยผลตรวจน้ำคร่ำจะได้เป็นข้อมูลในการวางแผนการมีลูกคนต่อไป และได้แนะนำให้เรายุติการตั้งครรภ์เช่นกัน เนื่องจากเด็กไม่น่าจะไม่รอด และถ้าเก็บไว้นาน จะเสี่ยงให้คุณแม่ความดันสูง เรากับสามีจึงตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นทางรพ. จึงติดต่อกับหมอที่เราฝากครรภ์ที่คลินิก เพื่อประสานการยุติการตั้งครรภ์ให้เรา และได้นัดให้เรามาเข้ากระบวนการยุติการตั้งครรภ์อาทิตย์ถัดมา
วันที่เราต้องจากลากับลูกก็มาถึง เรากับสามีไป รพ.แต่เช้า เพื่อทำเรื่อง admit จากนั้นเราถูกส่งตัวมาที่แผนกนารีเวช โดยพยาบาลจะสอบถามข้อมูลทั่วไปและเหตุผลการยุติการตั้งครรภ์และให้เราเซ็นต์เอกสาร จากนั้นให้เราไปเปลี่ยนชุดของรพ. และได้ให้ยามาอมใต้ลิ้น โดยยาจะอมทุก 4 ชั่วโมง และพยาบาลแจ้งว่ายานี้มีผลข้างเคียง คือ เกิดอาการหนาวสั่น มีไข้ ท้องเสีย คุณแม่ไม่ต้องกังวลถ้าเจออาการแบบนี้ และเราโชคดีของเราที่ได้ห้องพิเศษ สามีจึงได้อยู่เฝ้าและเป็นกำลังใจให้กับเราได้ จากนั้นเราก็นอนชิว ดูโทรทัศน์ไปสบายๆ
อมยาครั้งแรก สักพักเราเกิดอาการหนาวสั่น ท้องเสียตามมา และไข้ขึ้น และปวดท้องและปวดหลังนิดๆแต่ไม่มาก คล้ายๆปวดประจำเดือน เราจำได้ว่าท้องเสียไปประมาณ 6 ครั้งได้ จนมีแต่น้ำใสๆ
4 ชั่วโมงต่อมา พยาบาลมาตรวจ ปากมดลูกไม่เปิดสักเซ็น จึงให้อมยาครั้งที่สองต่อ ครั้งนี้ผ่านไป 1 ชั่วโมง เราเริ่มมีน้ำไหลออกจากช่องคลอด จึงรีบบอกให้สามีใส่ผ้าอนามัยห่วงให้หน่อย จากนั้นมดลูกเราก็เริ่มบีบตัวเรื่อยๆ ทุกๆ 1 นาที จนน้อยกว่านาที นาทีนั้นคือนอนค้ดตัวบนเตียงเพราะปวดมาก นี้สินะคือการปวดท้องคลอดลูก เราจึงให้สามีไปสอบถามกับพยาบาลว่า เมื่อมีอาการประมาณไหนจึงต้องเรียกพยาบาล พยาบาลก็บอกว่าต้องมีอาการปวดเบ่งก่อน เราก็เลยรอต่อไป จากนั้นใกล้ๆครบ 4 ชั่วโมง อาการปวดก็เริ่มเบาลง พยาบาลบอกเดี๋ยวให้อมยาครั้งที่ 3 เราก็อมจนยาละลายหมด และจึงขอให้สามีพาลงจากเตียงมาเข้าห้องน้ำ เพราะรู้สึกจะอยากถ่าย พอลงมาปุ๊บเราก็รู้สึกว่ามีอะไรเป็นก้อนคาอยู่ตรงช่องคลอด จึงรีบเอาผ้าอนามัยห่วงดึงลงมาดู ปรากฎว่าน้องหลุดออกมาพร้อมกับสายรกคาอยู่ เรารีบเดินไปนั่งที่ชักโครก และเอาสองมือประคลองลูก สามีก็รีบไปเรียกพยาบาลมาดู พอพยาบาลมาถึง จึงให้เรารีบนั่งรถเข็นไปห้องที่มีเตียงขาหยั่ง
จากนั้นพยาบาลก็เจาะให้น้ำเกลือ และตัดสายสะดึอเอาตัวน้องออกไป แล้วรอเราคลอดรกต่อ สัก 20 นาที เราก็คลอดรก แต่เมื่อหมอมาตรวจสอบพบว่ารกยังออกไม่หมด เราจึงโดนให้ยาสลบผ่านทางน้ำเกลือ แสบเข้าเส้นมาก เพื่อเอาเศษรกที่ยังออกไม่หมดออกจากมดลูก จากนั้นเราก็หลับไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 3 ทุ่ม เจอหน้าสามี สามีบอกว่าหมอดูดมดลูก ไม่ได้ขูดมดลูกนะ และพยาบาลก็พาเรานั่งรถเข็นกลับห้องพัก
เช้าวันต่อมา คุณหมอก็มาตรวจ แล้วบอกว่าถ้าไม่มีอะไรก็น่าจะออกจากรพ.วันนี้ได้ โชคดีที่เราไม่มีไข้ ปวดท้องนิดหน่อย และเลือดก็ไม่ได้ไหลเยอะจึงออกจาก รพ.ได้
นี้คือประสบการณ์ การเสียลูกครั้งที่ 2 ไป ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเจอครั้งแรกมันหนักหนาสาหัสกว่า ครั้งนี้เรากับสามีจึงทำใจง่ายขึ้น ถึงแม้จะทำใจได้แต่ในส่วนลึกๆในใจ เราก็ยังรู้สึกกับเหตุการณ์ที่สูญเสียทั้งสองครั้งอยู่
ท้ายนี้จึงขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ๆทุกท่านที่เผชิญการสูญเสียแบบเรา เราไม่ได้สูญเสียลูกอยู่คนเดียว แต่ยังมีคนอื่นๆที่เผชิญเหตุการณ์แบบนี้อยู่ และกำลังลุกขึ้นสู้ เดินหน้าและเผชิญกับความจริงของชีวิตต่อไป
ตอนนี้ เรากับสามีก็ยังไม่หมดหวังในการมีลูก แต่ก็คงจะเว้นพักยาวสัก 2-3 ปี รอให้ร่างกายและจิตใจพร้อม