พลังลึกลับในอวกาศ

 ‘ลูกไฟ’ ลึกลับ เผยโฉมทุกๆ 8.5 ปี


 ภาพ- NASA/ESA/STScI

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) เปิดเผยว่าได้ตรวจสอบพบ ลูกไฟ ขนาดมหึมาเคลื่อนที่ฝ่าอวกาศด้วยความเร็วสูงบริเวณใกล้กับดาวฤกษ์ที่กำลังจะตายดวงหนึ่งห่างออกไป 1,200 ปีแสงจากโลก นักวิทยาศาสตร์นาซายอมรับว่าที่มาของลูกไฟขนาดใหญ่ดังกล่าวนี้ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงขณะนี้
ลูกไฟพลาสมา (สสารที่อยู่ในสถานะก๊าซ) ที่แต่ละลูกมีขนาดเป็นสองเท่าของดาวอังคาร และมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ถึง 2 เท่าตัว ถูกตรวจสอบพบขณะเคลื่อนที่ผ่านอวกาศด้วยความเร็วสูงมาก ชนิดที่สามารถเคลื่อนที่จากโลกไปยังดวงจันทร์ (ระยะทาง 384,472 กิโลเมตร) ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น

 นักวิทยาศาสตร์ของนาซาประจำห้องปฏิบัติการ เจ็ท โพรพัลชั่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าลูกไฟเหล่านี้จะปรากฏออกมาในทุกๆ 8.5 ปี ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 4 ศตวรรษที่ผ่านมา

ลูกไฟที่เป็นดวงก๊าซถูกสังเกตพบบริเวณใกล้กับดาวแดงยักษ์ชื่อ “วีไฮเดร” ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 1,200 ปีแสง ดาวแดงยักษ์ เป็นดาวฤกษ์ที่กำลังพัฒนาการอยู่ในวาระสุดท้ายซึ่งเกือบหมดพลังแล้วและตัวดวงดาวเริ่มต้นบวมและขยายตัวออก กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ตรวจสอบพบลูกไฟเหล่านี้ขณะที่เคลื่อนตัวผ่านด้านหน้าของ วีไฮเดร (เมื่อมองจากโลก) ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลที่ได้จากฮับเบิลล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำเจ็ท โพรพัลชั่น ชี้ว่าลูกไฟเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวดาววีไฮเดร แต่จากผลการศึกษาครั้งล่าสุดเป็นไปได้ว่าลูกไฟเหล่านี้อาจมีที่มาจากดาวฤกษ์อีกดวงที่เป็นดาวคู่กับวีไฮเดร แต่ไม่เคยมีการพบเห็นกันมาก่อน

ถ้อยแถลงของเจ็ท โพรพัลชั่นระบุว่า ตามทฤษฎีใหม่ที่ได้จากการศึกษาครั้งล่าสุดนี้ ดาวคู่ของวีไฮเดรดังกล่าวอาจมีวงโคจรเป็นรูปวงรี  เมื่อโคจรผ่านเข้ามาในบรรยากาศรอบนอกของวีไฮเดรก็สามารถกวาดเอาวัสดุต่างๆ จากชั้นบรรยากาศด้านนอกสุดไปด้วย วัสดุต่างๆ เหล่านี้จะไปลงเอยแผ่เป็นรูปจานอยู่โดยรอบดาวคู่ดังกล่าวและกลายเป็นที่มาของลูกไฟมหึมาเหล่านี้นั่นเอง
  
ถ้าหากนักสามารถรู้ได้แน่ชัดว่า ลูกไฟเหล่านี้มีที่มาที่แน่นอนจากที่ไหนกันแน่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณกลุ่มเมฆที่เกิดขึ้นโดยรอบดาวฤกษ์ที่กำลังจะถึงวาระสุดท้ายทั้งหลายซึ่งบางกรณีก็เป็นเรื่องที่ยากอธิบายได้เช่นเดียวกัน

ราฟเวนดรา ซาไฮ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ของเจ็ท โพรพัลชั่น นาซาเคยศึกษาข้อมูลจากการเฝ้าสังเกตวีไฮเดรระหว่างปี 2002 เรื่อยมาจนถึงปี 2004 และในปี 2011 กับปี 2013 
แต่ครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมวิจัยสามารถเห็นกระบวนการขณะกำลังเกิดลูกไฟ จนได้ทฤษฎีที่ว่าสภาวะบวมพองและกลายเป็นก๊าซซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายของชีวิตดวงดาวช่วยให้เกิดปรากฏการณ์รูปร่างประหลาดทั้งหลายที่พบเห็นในเนบิวลาดาวเคราะห์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นลูกไฟเหมือนในกรณีนี้และเป็นกลุ่มก๊าซที่พันกันเป็นปมเชือกที่พบเห็นกันก่อนหน้านี้

ซาไฮเชื่อว่าทฤษฎีของการเกิดลูกไฟจากจานวัสดุรอบดาวคู่ซึ่งยังไม่มีใครพบนั้นเป็นคำอธิบายที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว
Cr.https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_321941
 
 

ความลึกลับที่หายไปในพริบตา
 
 

Credit : NASA/JPL-Caltech
 
วัตถุประสงค์หลักของกล้องโทรทรรศน์อวกาศนิวสตาร์ (Nuclear Spectroscopic Telescope Array–NuSTAR) ก็เพื่อศึกษาซุปเปอร์โนวาที่เป็นการระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเรา 
ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา เผยการค้นพบสีฟ้าและสีเขียวสดใสในรูปของกาแล็กซีที่เหมือนดอกไม้ไฟชื่อ NGC 6946 เป็นกาแล็กซีก้นหอยระดับกลาง

กาแล็กซีแห่งนี้แสดงตำแหน่งของแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ที่สว่างมาก เกิดขึ้นโดยกระบวนการที่มีพลังมากที่สุดในจักรวาล แหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์เหล่านี้หาได้ยากเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดแสงที่มองเห็นได้ นี่คือการปรากฏตัวที่น่าประหลาดใจของแหล่งกำเนิดแสงสีเขียวใกล้กับใจกลางกาแล็กซีและก็หายไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ นักวิจัยระบุว่าจุดสีเขียวและสีฟ้าสว่างที่มุมขวาบน ชี้ถึงเหตุการณ์รุนแรงที่สร้างแสงที่มองเห็นได้ และเพียงพอที่จะส่องแสงให้กับกาแล็กซีทั้งหมด ประกอบด้วยดาวหลายพันล้านดวง และยังสร้างองค์ประกอบทางเคมีมากมาย

ทั้งนี้ สีเขียวที่อยู่ด้านล่างของกาแล็กซีมองไม่เห็นในช่วงการสังเกตการณ์ครั้งแรกของกล้องโทรทรรศน์อวกาศนิวสตาร์ แต่เมื่อสังเกตการณ์ครั้งที่ 2 ในอีก 10 วันต่อมาก็พบความสว่างจ้า หอสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทราของนาซาสังเกตภายหลังว่าแหล่งของรังสีเอกซ์นั้น มาจาก ultraluminous X-ray source (ULX) คือแหล่งรังสีเอกซ์ที่สว่างจ้ามากและหายไปอย่างรวดเร็ว.
Cr. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1657585
 

พลังลึกลับในอวกาศ
 
 

สำนักข่าวอัล-อาราบิญา – นักวิทยาศาสตร์นาซ่ากำลังงงงันกับปรากฏการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นกับยานอวกาศ เนื่องจากมีสิ่งที่ขัดขวางการเดินทางออกสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งขัดกับทฤษฎีที่คิดค้นได้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับจักรวาล
ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบเมื่อปี 2561 โดยมีพลังลึกลับต้านอย่างแผ่วเบาให้ยาน Pioneer 10 หยุดนิ่งอยู่ในเส้นทาง และไม่สามารถออกสู่ห้วงอวกาศภายนอก ยานดังกล่าวถูกปล่อยออกจากนาซ่าตั้งแต่ปี 1972

ศาสตราจารย์ฟารุค อัล-บาซ นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศชาวอียิปต์ ซึ่งทำงานอยู่ในนาซ่า และยังเป็นนักวิจัย และผู้อำนวยกาiศูนย์ Remote Sensing แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า พลังดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ล่าสุด และไม่อาจระบุจัดอยู่ในทฤษฎีอวกาศใดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก หรือแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเขากล่าวว่า ยังเร็วเกินกว่าจะบอกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ใด แต่จะต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้

ดร.บาซ อธิบายว่า นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มสังเกตถึงปรากฏการณ์นี้เมื่อยาน Pioneer 10 ซึ่งเคยเดินทางได้กว่า 100 ล้านกิโลเมตร / วัน ได้เริ่มลดระดับความเร็วลงเมื่อมาถึงพื้นที่หนึ่ง โดยไม่ปรากฏเห็นสาเหตุที่มายับยั้งไว้ โดยขณะนั้นยานได้ออกจากระบบสุริยะและเริ่มการเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งไม่มีดาวใดในบริเวณเส้นทางที่จะส่งพลังมาดึงดูดให้เข้าในวงโคจร และยังไม่พบการแผ่รังสีของพลังแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากอยู่ไกลกันมาก



ยาน Pioneer 10 เป็นยานอวกาศลำแรกที่ถ่ายรูปดาวจูปิเตอร์ได้ในระยะใกล้เมื่อปี 1973 และเริ่มเดินทางสู่ดาวพลูโตในปี 1978 จนไปถึงเมื่อปี 1983 หลังจากนั้นได้เดินทางไปยังพื้นที่อวกาศที่เรียกว่า Asteroid Belt ซึ่งมีดาวเคราะห์รูปร่างประหลาดต่างๆ ปรากฏอยู่จำนวนมาก แต่ไม่เคยขัดขวางการเดินทางของยานดังกล่าว  ยานนี้เคยเดินทางออกไปนอกระบบสุริยะเพื่อค้นหาว่า ในดาวเคราะห์อื่นมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้นำรูปหญิง-ชายเปลือยติดไว้ที่เครื่องส่งสัญญาณ  เพื่อบ่งบอกให้รู้ถึงรูปพรรณของมนุษย์โลก

ขณะนี้ยานดังกล่าวอยู่ห่างจากโลก 11 พันล้านกิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีแรงที่ดึงรั้งให้ยานถอยหลังวันละ 25 เซนติเมตร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้สังเกตว่ามีพลังบางอย่างที่ดึงยานให้ถอยหลังได้
ศ.บาซยังกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่นาซ่า เขาได้พบปรากฏการณ์ที่ทำให้ประหลาดใจหลายต่อหลายครั้ง เขายกตัวอย่างครั้งหนึ่งในปี 1971 ที่นักบินอวกาศยานอพอลโล 13 พบวัตถุโลหะยาว 3 เมตร ลอยสวนทางกับยานอวกาศ ซึ่งที่จริงแล้วทฤษฎีการโคจรในอวกาศต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่อาจหาคำอธิบายในเรื่องนี้ได้

เมื่อนักข่าวถามถึงสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ บาซกล่าวว่า อาจจะเป็นปัญหาของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งแกะรอยเส้นโคจรของยานอวกาศ  แต่หากพลังลึกลับดังกล่าวอยู่เหนือทฤษฎีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็คงต้องมีการโละทฤษฎีเดิมทิ้ง แล้วค้นคว้าใหม่
Cr.https://starsmanman.blogspot.com/2017/04/blog-post_28.html / โดย menmen
 
 

สัญญาณประหลาด แสงอินฟราเรดในอวกาศ


 (ภาพ-ESA N. Tr’Ehnl /Pennsylvania State University/NASA)

ในห้วงอวกาศเต็มไปด้วยสัญญาณประหลาด ไม่รู้ที่มาที่ไป เหมือนอย่างเช่นกรณีของสัญญาณแสงที่กระจายออกมาจากห้วงอวกาศใกล้กับดาวนิวตรอนดวงหนึ่ง ซึ่งกลุ่มนักวิจัยทางดาราศาสตร์นานาชาติจากมหาวิทยาลัย เพนน์สเตท, มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา และมหาวิทยาลัย ซาบันเจอ ในตุรกี ระบุว่า เป็นครั้งแรกที่พบสัญญาณจากอวกาศที่เป็นสัญญาณแสงอินฟราเรดเช่นนี้ และไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของมันคืออะไร

โดยทั่วไปแล้ว ดาวนิวตรอน จะปล่อยคลื่นวิทยุ หรือ คลื่นที่มีพลังงานสูง อย่างเช่นคลื่นรังสีเอ็กซ์ ออกมา แต่ทีมวิจัยนานาชาติทีมนี้พบข้อมูลที่แปลกประหลาดจากข้อมูลของ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ว่า มีสัญญาณแสงอินฟราเรด กระจายสตัวออกมาจากบริเวณใกล้กับดาวนิวตรอนที่ชื่อ อาร์เอ็กซ์ เจ0806.4-4123

สัญญาณแสงอินฟราเรดดังกล่าว อยู่ห่างออกไปราว 800 ปีแสง และมีลักษณะยืดยาวคือ กระจายตัวครอบคลุมข้ามอวกาศเป็นพื้นที่ใหญ่มาก ซึ่งแตกต่างไปจากสัญญาณทั่วไปที่เกิดจากการปล่อยสัญญาณรังสีเอ็กซ์เรย์ออกมาจากดาวนิวตรอน ที่จะมีลักษณะเป็นจุด
 
พอสเซลท์นักดาราศาสตร์ เปิดเผยว่า ตามข้อมูลทางดาราศาสตร์ก่อนหน้านี้ ดาวนิวตรอน ไม่ควรแผ่กระจายรังสีอินฟราเรดออกมามากมายเช่นนี้ การกระจายของรังสีในย่านอินฟราเรดที่เคยพบเห็นกันมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่มาจากตัวดาวนิวตรอน ดังนั้นจึงต้องมีอย่างอื่นมากกว่าตัวดาวนิวตรอนที่เป็นต้นเหตุของสัญญาณอินฟราเรดประหลาดนี้
Cr.https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1150898
 
 

นิวตริโน...อนุภาคลึกลับจากดวงอาทิตย์
 

 
ทฤษฎีบอกว่าพลังงานแสงที่เกิดใจกลางดวงอาทิตย์นั้นวิ่งชนกับอนุภาคต่างๆไปมาทั้งอิเล็กตรอนและนิวเคลียสนานโข ดังนั้นกว่าจะออกมาถึงผิวดวงอาทิตย์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว แต่มีอนุภาคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในแกนกลางของดวงอาทิตย์ แต่สามารถทะลุดวงอาทิตย์ออกมาถึงผิวหน้าได้ในพริบตา  มันคือ นิวตริโน ( neutrino)
        
นักฟิสิกส์พบว่าปฏิกิริยาฟิวชันที่แกนกลางดวงอาทิตย์จะปลดปล่อยอนุภาคนิวตริโนออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งอนุภาคเหล่านี้จะวิ่งทะลุผิวดวงอาทิตย์ออกมาด้วยความเร็วสูงโดยแทบจะไม่ชนกับอะไรเลย เนื่องจากนิวตริโนไม่มีประจุไฟฟ้า ทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กไม่สามารถส่งอิทธิพลใดๆต่อมันได้ ดังนั้นมันจะวิ่งไปโดยไม่ “ชน” กับประจุใดๆ นอกจากนี้ในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า นิวตริโนไม่มีมวล ดังนั้นมันจึงไม่ถูกมวลสารใดๆดึงดูดจนการเปลี่ยนเส้นทางอีกด้วย   มีเพียงแรงนิวเคลียร์แบบอ่อนเท่านั้นที่มันยอมมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
       
 (ปัจจุบันนักฟิสิกส์พบว่านิวตริโนมีมวล แต่น้อยมากๆ น้อยจนสามารถประมาณเป็นศูนย์ได้ในหลายๆกรณี)
        
แบบจำลองใจกลางของดวงอาทิตย์บอกเราว่าจะมีนิวตริโนจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ในปฏิกิริยาฟิวชันแล้วพวกมันจะวิ่งทะลุดวงอาทิตย์ออกมาทุกทิศทางโดยรอบ เมื่อเหล่านิวตริโนเดินทางมาถึงโลกมันจะทะลุผ่านโลกเราไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าในเมื่อมันทะลุผ่านโลกหนาๆได้มันย่อมทะลุผ่านร่างกายของเราด้วยไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของโลกซึ่งใน 1วินาทีนิวตริโนละราวๆ หนึ่งล้านล้านตัวจะทะลุผ่านตัวเราโดยไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกายเราเลย  การตรวจจับนิวตริโนจึงเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง 
Cr.http://www.narit.or.th/index.php/astronomy-article/1502-neutrino-sun / โดย อาจวรงค์ จันทมาศ
ขอบคุณภาพจาก 4dthai.com/

 
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่