#รีวิวผู้หญิงคนเดียวเที่ยวชุมแสง
บันทึกเมื่อวันที่27•12•2019
ในขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาของสถานีรถไฟชุมแสงอย่างช้าๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือภาพทุกฉากทุกตอนตั้งแต่ที่เราก้าวขาลงจากรถไฟเมื่อวานจนถึงตอนนี้มันเริ่มย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
Day1 26•12•2019
เราเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ - ชุมแสง ขบวน 109 ซื้อในราคา 102 บาทได้ตั๋วยืน ออกเดินทางตอนบ่าย2โมง ไปถึงชุมแสงตอนทุ่มกว่าๆ เราลงจากรถไฟยืนอยู่สักพักและมองรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาจนสุดสายตาสุดท้ายเหลือแค่เรากับนายสถานีบวกกับแสงไฟในยามค่ำคืนเราถามตัวเองว่าแล้วยังไงต่อ...
เราคิดว่าไปที่รีสอร์ตเลยมั้ยพอเดินมาถึงหน้าสถานีเราก็ได้เจอกับลุงๆวินมอเตอร์ไซค์เราถามว่าไปที่รีสอร์ตเราราคาเท่าไหร่คุณลุงมองหน้ากันสักพักก่อนจะตอบเรากลับมาว่า70 ครับตอนนั้นเงินสดทั้งหมดในตัวเรามีแค่60 บาทจ๊อกจ๊อก...ท้องเจ้ากรรรมดันหิวขึ้นมาซะอย่างงั้นเราเลยตัดสินใจบอกลุงแกไปว่างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะคะ....
และวินาทีนี้นี่เองสายตาสั้นๆ250+ ของเราก็ได้มองเห็นเมืองชุมแสงเป็นครั้งแรกตึกราบ้านช่องยังคงกลิ่นอายความเป็นบ้านเก่าแสนคลาสสิคเอาไว้ที่เราหาดูได้น้อยมากในจังหวัดที่เราอาศัยอยู่แต่เรามองอะไรได้ไม่ค่อยชัดนักเพราะตอนนี้เราหิว(หิวจนตาลายเลยมองอะไรไม่ชัด555)
เราเลยรีบเดินดุ่มๆไปตามทางเรื่อยๆช่วงเวลานี้ชุมแสงดูเงียบๆอาจเป็นเพราะค่ำแล้วทุกคนเลยปิดบ้านกันหมดเราก็มองไปเห็นร้านหมาล่าอยู่ร้านนึงด้วยความที่หิวมากๆเราก็ชี้เอาไม้นู่นนั่นนี่โดยลืมตัวไปเลยว่าตัวเองมีเงินเพียง60บาท
คุณป้าเจ้าของร้านอัธยาศัยดีมากในขณะที่แกกำลังย่างหมูกลิ่นหอมๆชวนน้ำลายไหลแกก็ชวนเราคุยถามนั่นนู่นนี่และแกดูตกใจเมื่อรู้ว่าเรามาคนเดียวก็รีบถามใหญ่เลยว่าพักที่ไหนจะไปที่พักยังไงเราบอกว่าจะนั่งวินไปในราคา70 บาทป้าบอกว่าแพง! แพงมากๆเดี๋ยวป้าจะให้ลุงขับรถปิ๊กอัพไปส่งโอ้โหคนชุมแสงใจดีมากเรารีบยกมือไหว้ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
และก็โชคดีอีกแล้วเมื่อลูกค้าร้านหมาล่าของคุณป้ากำลังจะกลับบ้านทางนั้นพอดีเลยอาสาไปส่งเราเราก็รีบยกมือไหว้ดีใจมากๆ คนชุมแสงใจดีมากเวลาผ่านไป15 นาทีหมาล่าสุกแล้วป้ายื่นถุงให้เราแล้วบอกราคาว่า60 บาทคุณพระมี60บาทพอดีเลยเราก็รับถุงแล้วยกมือไหว้คุณป้าก่อนที่จะขึ้นรถพี่ปิงกับพี่มิ้งไปรีสอร์ตที่เราได้จองไว้
รถเก๋งเคลื่อนตัวออกจากร้านหมาล่าก่อนจะไปที่รีสอร์ตพี่ปิงกับพี่มิ้งพาเรานั่งรถชมเมืองชุมแสงแถมแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองชุมแสงให้เราฟังอีกด้วยเราตื่นเต้นมากๆเรามองลอดกระจกออกไปดูวิวสองข้างทางชุมแสงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริงๆขอบคุณพี่ๆที่มาส่งนะคะ
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักสักทีโมดูลารีสอร์ตเราจองมาในราคา390 บาทห่างจากสถานีรถไฟ5 กิโลเราก็เข้าห้องอาบน้ำและนอนเพราะพรุ่งนี้มีแพลนว่าจะไปเดินตลาดเช้าเมืองชุมแสง
Day2 27•12•2019
เรารีบตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราก็ไปถามพี่วุฒิคนดูแลรีสอร์ตว่าแถวนี้มีวินมั้ยเราอยากไปตลาดเช้าพี่วุฒิบอก“ไปต้องนั่งวินหรอกเดี๋ยวพี่ไปส่ง” โอ้โหความโชคดีเช้านี้ประทับใจแต่เช้าเลยพอไปถึงตลอดพี่วุฒิก็บอกอีกว่า“จะกลับโทรบอกพี่นะเดี๋ยวพี่มารับ” น่ารักจริงๆ
พอเราลงรถปุ๊บเราก็เดินเข้าไปในตลาดสดเราชอบมากบรรยากาศตลาดสดดูย้อนยุคดีคนมาซื้อของกันอย่างคึกคักเราไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้มานานมากแล้วเราก็เดินดูอันนั้นอันนี้ไปเรื่อยพ่อค้าแม่ค้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสชวนเราคุยหยิบอันนั้นอันนี้ให้เราชิมไม่หยุด55555
เราไปนั่งร้านกาแฟโบราณร้านนึงสั่งชานมร้อนมา1แก้วปลาท่องโก๋5 บาทพี่เจ้าของร้านนำมาเสริฟ์พร้อมน้ำชาอีก1 แก้วจิบชานมพร้อมกับมองบรรยากาศรอบตัวไปด้วยมันมีความสุขจริงๆตอนนี้บรรยากาศดูไม่รีบร้อนทุกอย่างดูชิลล์สโลไลฟ์ไปหมด
ออกจากร้านกาแฟโบราณเราก็เดินไปเรื่อยๆรอบตลาดตามที่หลายๆคนได้แนะนำ“ตลาดชุมแสง” ตลาดเก่าแก่แห่งจังหวัดนครสวรรค์ร้านขายของชำเยอะมากๆเป็นเหมือนภาพในหนังเลยจริงๆในยุคสมัยนี้สังเกตได้จากห้างต่างๆที่ที่เกิดขึ้นไวและเยอะยิ่งกว่าดอกเห็ดเราเองก็ไม่คิดว่ายังจะมีสถานที่แบบนี้อยู่
บรรยากาศคลาสสิคมาก
ชุมแสงช่างเป็นสถานที่ที่สร้างความประประทับใจให้เรามากๆเดินไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเราเดินรอบตลาดไปถ่ายรูปที่ชุมแสงแกลอรี่ตลาด100ปี(ที่จะเปิดแค่วันเสาร์- อาทิตย์) วันที่เราไปเลยเงียบๆและเราก็เดินไปเที่ยวตามรอยละครบ้างเล็กๆน้อยๆเราเดินไปถ่ายรูปไปด้วยความที่เราไปคนเดียวเวลาจะถ่ายรูปตัวเองก็คงทำได้แต่เซลฟี่แต่คนแถวนั้นน่ารักจิตใจดีอีกแล้วรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวก็จะช่วยถ่ายรูปให้แม้แต่คุณยายอายุ80 ก็ถ่ายรูปเก่งทีเดียว
รูปข้างล่างนี้คือคุณยายอายุ 80 ปีเป็นคนถ่ายให้
และขณะที่เรากำลังจะเดินไปศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสงก็เหลือบไปเห็น“บ้านศิลปะศุภ’กนิษฐ” เปิดเวลา9 โมงครึ่งแต่ตอนที่เราเดินไปเวลา9 โมง15 เห็นคุณลุงกำลังล้างรถอยู่หน้าบ้านคุณลุงก็ทักเราก่อน“สวัสดีครับอ้าวเชิญครับๆมาคุยกันข้างในก่อน”
เราก็เดินเข้าไปข้างในมองไปรอบๆในบ้านศิลปะเต็มไปด้วยภาพวาดเหมือนมีรูปคนในครอบครัวรูปคนมีชื่อเสียงไปจนถึงพระมหากษัตริย์เห็นว่าเรามาคนเดียวคุณลุงก็เชิญเรานั่งคุยกันไปกันมาเราก็ได้รู้ว่าลุงเจ้าของบ้านศิลปะที่เห็นแต่งตัวอินดี้ๆนี้ประวัติไม่ธรรมดา
เพราะคุณลุงท่านเป็นถึงดร. ชื่อของท่านก็คือดร.ศุภชัยสวรรณกนิษฐหรือคนชุมแสงจะเรียกกันว่า“ครูจิ๋ม” อดีตเคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแต่ตอนนี้เกษียรแล้วเลยได้มาเปิดบ้านศิลปะในคอนเซ็ปท์เรียนรู้สร้างสรรค์แบ่งปัน(ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย)
เรานั่งคุยกับครูจิ๋มเกือบ2 ชั่วโมงเป็นอีกหนึ่งคนที่เรารู้สึกว่าอยากจะอ่านหนังสืออยากจะหาความรู้มาคุยกับท่านคุยกันวันนี้ได้ข้อคิดในการใช้ชีวิตหลายเรื่องเลยและเวลานั้นเองครูอ้อยภรรยาครูจิ๋มก็ได้เดินเข้ามาเราก็ยกมือสวัสดีครูอ้อยครูอ้อยถามว่าเรากินข้าวเช้าหรือยังเราตอบว่ายังครูอ้อยใจดีมากบอกจะพาเราไปกินข้าวร้านที่อร่อยๆในชุมแสงครูอ้อยขับรถไปส่ง
ผ่านไป20 นาทีครูอ้อยก็ขับรถมารับกลับไปที่บ้านศิลปะครูจิ๋มกับครูอ้อยจะพาเราไปcheck out ที่รีสอร์ตแต่ก่อนจะไปcheck out ครูทั้งสองท่านได้พาเราไปเที่ยวที่วัดเกยไชยเหนือสถานที่ที่มีแม่น้ำสองสีสีแดงและสีเขียวสีแดงเป็นสีของแม่น้ำน่านส่วนสีเขียวเป็นสีของแม่น้ำยมมาบรรจบกันและเล่าตำนานไอ้ด่างเกยไชยให้เราฟังด้วย
ตอนนั้นเราคิดว่าทำไมเราโชคดีจังโชคดีมากๆคนที่ชุมแสงก็ใจดีมากๆพอเที่ยวที่วัดเสร็จก็พาเราไปที่รีสอร์ตcheck out และนำกระเป๋ากลับมาที่บ้านศิลปะเราต้องนั่งรถไฟตอน1ทุ่มครูเลยให้เราฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อนเราก็เลยเดินไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสงนั่งคุยกับน้องที่ดูแลศาลเป็นชั่วโมงแล้วค่อยเดินเล่นรอบๆตลาดอีกเดินไปสถานีรถไฟเดินไปทั่วเลยเมืองชุมแสงเล็กๆเดินได้ทั่วเมืองเวลาก็ดำเนินไปอย่างช้าๆเดินไม่เบื่อเลย
อ่านต่อหน้า 2 ค่ะ ^^
ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวชุมแสง ตอน “ตกหลุมรักชุมแสง”
ในขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาของสถานีรถไฟชุมแสงอย่างช้าๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือภาพทุกฉากทุกตอนตั้งแต่ที่เราก้าวขาลงจากรถไฟเมื่อวานจนถึงตอนนี้มันเริ่มย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
เราเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ - ชุมแสง ขบวน 109 ซื้อในราคา 102 บาทได้ตั๋วยืน ออกเดินทางตอนบ่าย2โมง ไปถึงชุมแสงตอนทุ่มกว่าๆ เราลงจากรถไฟยืนอยู่สักพักและมองรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาจนสุดสายตาสุดท้ายเหลือแค่เรากับนายสถานีบวกกับแสงไฟในยามค่ำคืนเราถามตัวเองว่าแล้วยังไงต่อ...
และวินาทีนี้นี่เองสายตาสั้นๆ250+ ของเราก็ได้มองเห็นเมืองชุมแสงเป็นครั้งแรกตึกราบ้านช่องยังคงกลิ่นอายความเป็นบ้านเก่าแสนคลาสสิคเอาไว้ที่เราหาดูได้น้อยมากในจังหวัดที่เราอาศัยอยู่แต่เรามองอะไรได้ไม่ค่อยชัดนักเพราะตอนนี้เราหิว(หิวจนตาลายเลยมองอะไรไม่ชัด555)
เราเลยรีบเดินดุ่มๆไปตามทางเรื่อยๆช่วงเวลานี้ชุมแสงดูเงียบๆอาจเป็นเพราะค่ำแล้วทุกคนเลยปิดบ้านกันหมดเราก็มองไปเห็นร้านหมาล่าอยู่ร้านนึงด้วยความที่หิวมากๆเราก็ชี้เอาไม้นู่นนั่นนี่โดยลืมตัวไปเลยว่าตัวเองมีเงินเพียง60บาท
และก็โชคดีอีกแล้วเมื่อลูกค้าร้านหมาล่าของคุณป้ากำลังจะกลับบ้านทางนั้นพอดีเลยอาสาไปส่งเราเราก็รีบยกมือไหว้ดีใจมากๆ คนชุมแสงใจดีมากเวลาผ่านไป15 นาทีหมาล่าสุกแล้วป้ายื่นถุงให้เราแล้วบอกราคาว่า60 บาทคุณพระมี60บาทพอดีเลยเราก็รับถุงแล้วยกมือไหว้คุณป้าก่อนที่จะขึ้นรถพี่ปิงกับพี่มิ้งไปรีสอร์ตที่เราได้จองไว้
รถเก๋งเคลื่อนตัวออกจากร้านหมาล่าก่อนจะไปที่รีสอร์ตพี่ปิงกับพี่มิ้งพาเรานั่งรถชมเมืองชุมแสงแถมแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองชุมแสงให้เราฟังอีกด้วยเราตื่นเต้นมากๆเรามองลอดกระจกออกไปดูวิวสองข้างทางชุมแสงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริงๆขอบคุณพี่ๆที่มาส่งนะคะ
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักสักทีโมดูลารีสอร์ตเราจองมาในราคา390 บาทห่างจากสถานีรถไฟ5 กิโลเราก็เข้าห้องอาบน้ำและนอนเพราะพรุ่งนี้มีแพลนว่าจะไปเดินตลาดเช้าเมืองชุมแสง
Day2 27•12•2019
เรารีบตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราก็ไปถามพี่วุฒิคนดูแลรีสอร์ตว่าแถวนี้มีวินมั้ยเราอยากไปตลาดเช้าพี่วุฒิบอก“ไปต้องนั่งวินหรอกเดี๋ยวพี่ไปส่ง” โอ้โหความโชคดีเช้านี้ประทับใจแต่เช้าเลยพอไปถึงตลอดพี่วุฒิก็บอกอีกว่า“จะกลับโทรบอกพี่นะเดี๋ยวพี่มารับ” น่ารักจริงๆ
เพราะคุณลุงท่านเป็นถึงดร. ชื่อของท่านก็คือดร.ศุภชัยสวรรณกนิษฐหรือคนชุมแสงจะเรียกกันว่า“ครูจิ๋ม” อดีตเคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแต่ตอนนี้เกษียรแล้วเลยได้มาเปิดบ้านศิลปะในคอนเซ็ปท์เรียนรู้สร้างสรรค์แบ่งปัน(ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย)