ตั้งแต่แรกเราก็คิดว่าจะไม่เขียนระบายในกระทู้แล้ว แต่พอมาถึงตอนนี้เราทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เราอยากจะระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา เพื่อความสะดวกของคนอ่านเราขอเขียนเป็นหัวข้อเลยนะคะ
1.
เรื่องมันเริ่มต้นระหว่างเรากับคนในครอบครัวค่ะ เราจะมีปัญหากับแม่เยอะมาก เราต้องขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่นะคะ เราเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งมาก เป็นลูกสาวคนเดียว แต่มีลูกพี่ลูกน้องอยู่สองคน ทั้งสองคนอายุน้อยกว่าเราค่ะ คนแรกเป็นผู้ชายอายุห่างกันหนึ่งปี คนที่สองเป็นผู้หญิงอายุห่างกันเก้าปี. ครอบครัวเราจะเคร่งมากเลยค่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้, ห้ามกลับบ้านหลังสี่โมงเย็น, อย่าใส่กางเกงขาสั้น,ห้ามขับมอเตอร์ไซค์, ห้ามคบคนนู้นคนนี้, ต้องเรียนหมอ,อย่ายุ่งกับลูกชาวบ้าน,อย่ายุ่งกับเด็กที่อยู่หมู่บ้านอื่นๆ,ห้ามออกไปไหนมาไหนเด็ดขาดไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม,ต้องเรียนสายวิทย์คณิตเท่านั้น อย่าไปสนใจเรื่องดนตรี หรือนาฏศิลป์ (ตอนนั้นเราอยู่ชมรมนาฏศิลป์ค่ะ โดนครอบครัวว่ายกใหญ่เลย), อย่าเอาหนังสือไว้ที่ใต้โต๊ะโรงเรียน (เราต้องบอกว่าหนังสือเรียนตอนประถมนั้นหนักมาก แถมกระเป๋าโรงเรียนก็บางมากๆอีก จะใช้กระเป๋าอื่นก็ไม่ได้ เพราะโรงเรียนมีกฏว่าต้องใช้กระเป๋าโรงเรียนเท่านั้น) ซึ่งเราก็ทนไม่ได้ เพราะมันปวดหลังมาก จนต้องแอบเอาไว้ที่ใต้โต๊ะ แต่โดนป้าจับได้ ตอนนั้นต้องกลับไปเอากุญแจจากภารโรงเพื่อไปเอาหนังสือ โดนด่าหนักมาก. เราอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสาน แต่เรานั้นต้องไปเรียนในเมืองค่ะ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน9กม. ตอนเด็กๆ คนในบ้านแทบจะไม่ปล่อยเราไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านเลย นอกจากจะเป็นคนที่เชื่อใจมากจริงๆ ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนในหมู่บ้านค่ะ พอเรียนในเมืองก็มีเพื่อนไม่กี่คน ซึ่งพอเลิกเรียนแล้ว เราจะไม่ติดต่อหากันเลยสักครั้ง แต่ก็มีบางครั้งที่หลังเลิกเรียน เพื่อนๆได้ไปเรียนพิเศษ ได้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ยกเว้นเราที่ต้องกลับบ้านตรงเวลาตลอด ต่างจากกับคนน้องที่ครอบครัวยอมเขาตลอด อยากไปเตะบอลก็ให้ไป อยากไปเที่ยวที่ทุ่งนาตอนกลางคืนก็ให้ไป เพื่อนแย่แค่ไหน ครอบครัวก็บอกว่ารับได้ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ เพราะยังเด็ก แต่ก็มีแอบน้อยใจอยู่บ้าง พอมาตอนป.หก เราก็เริ่มมีความคิดอะไรบ้างแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าครอบครัวเคร่งแต่กับเราคนเดียวตลอด คนน้องนี่พวกเขาตามใจตลอด ซึ่งมันค่อยๆเพิ่มความกดดันให้เราค่ะ
2.
ช่วงมัธยม พอจบป.หก เราต้องย้ายมาเรียนที่ต่างประเทศค่ะ ตอนนั้นเรากดดันและตื่นเต้นมากๆ แถมยังต้องเดินทางคนเดียวอีก ชีวิตที่เมืองนอกของเราไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นค่ะ ม.หนึ่งถึงม.สาม เราไม่มีเพื่อนเลยสักคน (ดีที่ตอนนั้นมีแฟนบนเฟซ แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว) ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว นั่งเรียนคนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดนนินท่า โดนด่าลับหลัง เราพยายามหาเพื่อนคบ แต่พวกเขาคบเราเพื่อความสนุกค่ะ เขาไม่ได้เฟรนลี่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาชอบยุ่งกับพวกยาเสพติดและดื่มก่อนวัยอันควร ทำให้เราถอยออกมาอยู่คนเดียว และโกหกแม่ว่ามีเพื่อนๆใจดีทุกคน เพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง. การอยู่ที่โรงเรียนคนเดียวก็ดีกว่าที่เราคิด แรกๆอาจจะคิดว่ามันน่าอายที่ต้องมานั่งคนเดียว แต่หลังๆเราเริ่มชินไปกับมัน และเราก็เริ่มชอบใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ออกไปไหน เลิกเรียนก็กลับบ้านทันที และนั่นก็เริ่มทำให้เราเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง และที่หนักไปกว่านั้น คือเราต้องโดนทางบ้านบังคับว่า 'ต้องเป็นหมอ ต้องเรียนสายวิทย์คณิตเท่านั้น' เราก็พยายามเรียนตามที่ทางบ้านหวัง แต่เรามารู้ว่า 'เราไม่เหมาะกับสายนี้เลย' เราไม่ชอบสายนี้ เราชอบเรียนด้านภาษา(โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศษ)และทำอาหารค่ะ ตอนม.สามเราลงเรียนทำอาหาร และเราก็ชอบมันมากๆ เราสนุกไปกับมัน จนทำให้เราลืมความเครียดไป ลืมบอกไปเลยว่าเรามีความฝันอยากเป็นเชฟค่ะ. ทว่าทางบ้านกลับไม่เห็นด้วย และสั่งให้เราเลิกเรียนทำอาหารไป เขามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่เหมาะกับเรา ในอนาคตเราอาจจะทำเงินได้ไม่ดี ที่น่าเจ็บปวดเลยคือตอนที่แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะไปบอกเพื่อนแม่ยังไงว่ามีลูกเป็นเชฟ ไม่ใช่หมอ' จากนั้นความกดดันของเราก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น พอขึ้นม.ปลาย แม่จะเป็นคนเลือกวิชาเรียนให้เราด้วยตัวเองเลยค่ะ ว่าต้องเรียนวิทย์ ไม่ว่าจะเคมี ฟิสิกส์ จิตวิทยา ชีวะ และวิชาคณิตอื่นๆอีก คือเราต้องทนเรียนแบบนี้สามปี ตอนนั้นเราก็เริ่มมีปากเสียงกับแม่ค่ะ แม่จะเริ่มใช้คำพูดหยาบคายกับเรา 'สันดานหมา' 'เสียชาติเกิด' 'ก็เหมือนพ่อ' 'ลูกเ*ี้ยๆ' 'ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกูเลย' 'จะไปตายที่ไหนก็ไป' 'ตัดขาดกันเถอะ ไม่ต้องมาเป็นลูกกูอีก' 'ไม่ใช่ลูกกู' 'หน้าด้าน ขี้เ*ือก' 'สันดานเ*ี้ย' 'อิควาย' เพียงเพราะเราทำอะไรขัดใจนิดๆหน่อยแม่ก็จะด่าเราด้วยคำหยาบค่ะ ซึ่งเราต้องทนฟัง เงียบ และไม่เถียง เป็นแบบนี้ทุกวันค่ะ เริ่มตั้งแต่ม.สอง
3.
ปัญหาระหว่างเรากับแม่ พ่อแม่ของเราหย่ากันตั้งแต่เราสองขวบค่ะแม่เราเป็นคนที่ด่าได้เจ็บปวดมาก คือไม่ได้ซอฟ แต่จะรุนแรง แค่แม่ด่าเราคำเดียว เราก็ร้องไห้แล้วค่ะ แม่เราจะด่าเราแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เราเด็กๆแล้วล่ะ จำไม่ได้ว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่ แม่ไม่ใช่คนที่จะมาสปอยล์เรา แต่จะสปอยล์ลูกพี่ลูกน้องเราบ่อยมาก อยากมีแฟนตอนป.ห้า ก็มีไป ไม่เคร่ง แต่กับเรานี่มีเพื่อนผู้ชายอยู๋ในกลุ่มทำงาน ก็ด่าเราแล้ว. ตอนเด็กๆ เราไปเที่ยวกรุงเทพกับแม่ เคยขอแม่กินไก่KFC ตอนนั้นแม่ด่าเราหนักมาก แมใช้คำหยาบ (แม่จะใช้คำว่าสันดานหมาทุกครั้งกับเรา) แถมด่ากลางตลาด จนมาถึงห้าง คนก็มองเรา บ้างก็แอบซุบซิบ บ้างก็หัวเราะ ตอนนั้นเราอายมากค่ะ จนร้องไห้ออกมาเงียบๆ ในขณะที่แม่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อน แม่ปล่อยเราร้องไห้หน้าห้างเป็นชั่วโมง แล้วมาบอกทีหลังว่า 'แม่ไม่ได้ด่า แม่แค่บอก อยากให้คิด' คือตอนนั้นมันไม่ใช่แล้ว เรารู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่บอก ตอนนั้นเราเจ็บปวดมาก. แถมแม่ชอบตบตีใช้กำลังกับเราค่ะ ตอนป.สองเคยทะเลาะกับแม่ แล้วบอกว่าจะไปนอนบ้านยาย ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึงกิโลด้วยซ้ำ แล้วมีพี่ที่สนิทกับแม่มารับเรา แล้วบอกว่าจะพาไปซื้อของกิน แต่ตอนนั้นพี่เขาขับรถมาหยุดที่บ้านแม่ ตอนแม่เดินออกมาพร้อมไม้แขวนเสื้อแล้วตบตีเราที่หน้าบ้าน ทั้งด่า จนมีคนมาห้ามเอาไว้ ตอนนั้นเราร้องไห้หนักมากค่ะ. การอยู่กับแม่เราไม่มีความสุขเลย มีแต่ความเครียด โดนด่าทุกวัน จนถึงตอนนี้ก็ด่า. ถ้าเราทำอะไรผิดนิดๆหน่อยๆแม่จะด่าเราทันที บางครั้งก็ตบหน้า แล้วชอบไปเล่าให้เพื่อนฟังว่าตัวเองเลี้ยงลูกโดยให้เหตุผลตลอด แม่ชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ว่าลูกใครก็ตาม ถ้าเขาได้เป็นหมอ 'ดูลูกคนนั้นสิ' 'พี่คนนี้ได้เป็นหมอ' 'พี่คนนั้นกำลังจะเรียนหมอจบ' แม่เราจะเอาเราไปเปรียบเขาทันที แล้วมาบอกว่าเป็นแรงผลักดัน มันไม่ใช่แรงผลักดัน แต่มันทำให้เราเหมือนตกเหวลงไป ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า เราทำยังไม่ดีงั้น? เรายังดีไม่พอสินะ ต้องทำยังไงแม่ถึงจะชมเราล่ะ? ทุกวันตอนตื่นนอนและก่อนเข้านอน แม่จะเดินเข้ามาในห้องเราแล้วพูดว่า มหาลัยนี้สอนหมอดีนะ มหาลัยนี่ไม่แพง มหาลัยนี่ติดท็อปอันดับด้วย ช่วงมอปลายเราร้องไห้ทุกวันค่ะ เพราะโดนแม่ด่าทุกวัน ทำอะไรไม่ได้เลย เปิดประตูแรงนิดเดียวก็โดนด่า เดินเข้าห้องน้ำก็โดน ปิดประตูแรงก็โดน จะระบายให้ใครฟัง ก็ไม่มีใครยอมฟังเราเลย โดยเฉพาะคนในครอบครัว ไม่มีใครฟังเราเลย เอาแต่บอกว่า 'เอาใจเขา มาใส่ใจเรา' เราเลยเลือกที่จะเงียบ เก็บมันไว้ตัวคนเดียว ไม่เล่าอะไรให้ใครฟัง เพราะรู้สึกว่าไม่มีคนเข้าใจเราเลย คือตอนนั้นเราไม่ไหวแล้วค่ะ เราต้องกดดันกับทางโรงเรียน แล้วต้องมาโดนแบบนี้ทุกวัน. ที่โรงเรียนเรามีสอบทุกอาทิตย์ค่ะ สองถึงสามวิชา ซึ่งเราต้องติวหนักทุกวัน อ่านหนังสือตลอด พออ่านหนังสือแม่ก็มาหาว่าสร้างภาพ เอาโทรศัพท์มานั่งคุยในห้อง คุยโทรศัพท์เสียงดังมาก เราบอกให้เงียบๆหน่อยก็มาด่าว่า'สันดานหมา' 'เถียงผู้ใหญ่' 'สอนไม่จำ' 'เ*ี้ย เรียนไปก็ไม่มีอะไรหรอก' มันทำให้เราเป็นคนที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากๆค่ะ โดนด่านิดหน่อยใจเราก็อ่อนแล้วร้องไห้ออกมาตลอด ช่วงมอปลายเป็นช่วงที่เรากดดัน เครียด เป็นโรคซึมเศร้าไปพักนึง และเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเราก็รู้ว่ามันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ พยายามคุบอารมณ์ตัวเองเอาไว้ มีครั้งนึงพยายามเอามีดมากรีดขอมือ แต่เพื่อนมาเห็นก่อน เพื่อนเลยห้ามเอาไว้ ตอนนั้นเราก็ร้องไห้ออกมา แล้วระบายออกมา แต่เพื่อนคนนั้นก็จะบอกว่า 'มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะเครียด ฉันก็เครียด แต่ฉันยังทนได้เลย' มันอาจจะธรรมดาสำหรับเขาแต่ไม่ใช่สำหรับเราค่ะ ตอนนั้นเราเครียดมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ จนเกือบเป็นลมต่อหน้าอาจารย์ จนอาจารย์เริ่มมาคุยกับเราว่าเป็นอะไร โอเคไหม มีปัญหากับครอบครัวรึเปล่า. ช่วงมอห้าเราอยากไปเรียนต่อที่โณงเรียนทำอาหาร ตอนนั้นโดนแม่ด่าหนักมาก แม่บอกจะตัดขาดกับเรา ไล่เราออกจากบ้านไปเป็นขอทาน แล้วยังพูดอีกว่า 'กูจะไปบอกเพื่อนยังไงว่าเป็นเชฟ' ตอนนั้นเราเลยโดเรียนไปร่วมopening dayที่โรงเรียนสอนทำอาหาร ตอนนั้นเรามีความสุขมากๆเลย เพราะเขาให้ลองทำขนม เราก็ลอง เชฟก็ชมว่าเราทำขนมเก่ง ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกค่ะ เพราะมีความสุขมากที่มีคนชมว่าขนมเราอร่อย ไม่เคยมีคนชมว่าเราทำอาหารหรือทำขนมเก่งมาก่อนเลยสักครั้ง. ถ้าให้เล่าตรงนี้คงไม่จบ การที่เราเจอแบบนี้ มันทำให้เราเก็บกดมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ คือเราคิดอยากจะฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธ อยากเห็นคนอื่นโดนทรมานจนตาย หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายซะให้จบๆ มีครั้งนึงเราเคยเห็นคนจมน้ำต่อหน้า เราว่ายน้ำเป็นแต่เราไม่ได้เข้าไปช่วย ได้แต่ยืนมองนิ่งๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออ ตายๆไปซะก็ดี (เป็นความคิดที่เลวมาก!) รอจนกว่าเขาจะจมน้ำตาย จนมีคนเข้าไปช่วยแทน ยิ่งตอนนั้นพึ่งโดนแม่ด่าอีกด้วย (เราพยายามแก้ความรู้สึกพวกนี้ออกไป แต่ยิ่งแก้ ก็ยิ่งตัดขาดจากนิสัยนี่ไม่ได้สักที) เราเริ่มตัดตัวเองจากสังคม ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เปิดใจกับใครทั้งนั้น เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทางเดียวที่เราจะระบายออกมาได้ก็คือเขียนิยายค่ะ เราเขียนนิยายวาย แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างดาร์คค่ะ พอเขียนไปจนจบเราค่อยรู้สึกโล่งอกหน่อย แต่คนทางบ้านมารู้แล้วโกรธเรามากค่ะ เขาบอกว่ามันไร้สาระ ติ๊งต๊อง ปัญญาอ่อน แม่เราก็เริ่มเอาเรื่องเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง แม่ก็จะบอกว่า 'เลิกเป็นนักเขียนเถอะ มันไม่รุ่งหรอก ไม่เห็นลูกเพื่อนแม่เหรอ เขาโตเป็นหมอแล้วนะ เลิกอยู่ในแต่โลกจินตนาการเถอะ หัดออกมาเจอความจริงซะมั้ง' คือเราเขียนนิยายไม่ใช่เพราะอยากรุ่ง หรืออยากดัง ที่เราเขียนก็เพราะเราอยากระบายความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นตัวหนังสือ และเรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นต์ของคนอ่าน จนมาถึงตอนนี้เรารักการเขียนนิยายมากๆ. เมื่อก่อนวันสิ้นปีก็โดนด่า เพราะเราไม่อยากไปเคาท์ดาวน์กับแม่ ตอนนั้นแม่จะไปกับเพื่อนแม่ค่ะ เราคิดว่ามันคงดีถ้าให้แม่ไปกับเพื่อนดีกว่า แม่บอกเราตั้งแต่ต้นเดือนว่าจะไปและเราต้องไปด้วย เราก็บอกว่าไม่ไป แม่ไปกับเพื่อนแม่เถอะ แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร เราบอกแบบนี้หลายรอบมากว่าไม่ไป ก่อนหนึ่งคืนที่จะเดินทาง เราบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่ไป ตอนนั้นเราโดนด่าหนักมากเลยค่ะ ขนาดขอตัดขาด เก็บกระเป๋าไล่เราออกจากบ้าน บอกไม่อยากเห็นหน้า บอกไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก เราก็บอกว่าทำไมแม่ไม่ยอมฟังหนูบ้างเลย คือเราไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด หลายครั้งมากที่แม่โยนความผิดให้เรา เคยมีครั้งนึงเราไปนอนบ้านเพื่อน แล้ววันต่อมาเราต้องพาเพื่อนไปหาหมอแม่ก็รับรู้และไม่ได้ว่าอะไร ต่อมาไม่ถึงห้านาที แม่ด่าเราค่ะ แม่บอกว่านัดฝึกงานไว้แล้ว จะไปไหน กูสัญญากับเขาไว้ จะผิดสัญญาทำไม ตอนนั้นเรางงมากค่ะ คือฝึกงานอะไร ไม่เห็นแม่เคยพูดเรื่องนี้ กลับกลายเป็นว่าเราผิดค่ะ อธิบายไปก็ไม่ฟัง บอกจะไปไหนก็ไป. ตอนนี้เราเริ่มกล้าที่จะพูดกับแม่มากขึ้น แม่ก็บอกว่า 'มันจิตใจต่ำทราม หยาบกระด้าง ไม่มีสัมมาคาระวะ เถียงผู้ใหญ่' คือเราบอกเขาเฉยๆ แล้วเขามาหาว่าเราเถียง เราก็รู้แหละว่าจิตใจตัวเองต่ำมากแค่ไหน เลยตัดสินใจโพสต์ระบาย และตอนนี้ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ขอความช่วยเหลือจากครอบครัว เขาก็บอกว่าเราต้องเข้าใจแม่ 'เอาใจเขา มาใส่ใจเรา'
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ [
เครียดกับตัวเองมากเลยค่ะ (ขอระบาย) ทำยังไงดีคะ?
1. เรื่องมันเริ่มต้นระหว่างเรากับคนในครอบครัวค่ะ เราจะมีปัญหากับแม่เยอะมาก เราต้องขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่นะคะ เราเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งมาก เป็นลูกสาวคนเดียว แต่มีลูกพี่ลูกน้องอยู่สองคน ทั้งสองคนอายุน้อยกว่าเราค่ะ คนแรกเป็นผู้ชายอายุห่างกันหนึ่งปี คนที่สองเป็นผู้หญิงอายุห่างกันเก้าปี. ครอบครัวเราจะเคร่งมากเลยค่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้, ห้ามกลับบ้านหลังสี่โมงเย็น, อย่าใส่กางเกงขาสั้น,ห้ามขับมอเตอร์ไซค์, ห้ามคบคนนู้นคนนี้, ต้องเรียนหมอ,อย่ายุ่งกับลูกชาวบ้าน,อย่ายุ่งกับเด็กที่อยู่หมู่บ้านอื่นๆ,ห้ามออกไปไหนมาไหนเด็ดขาดไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม,ต้องเรียนสายวิทย์คณิตเท่านั้น อย่าไปสนใจเรื่องดนตรี หรือนาฏศิลป์ (ตอนนั้นเราอยู่ชมรมนาฏศิลป์ค่ะ โดนครอบครัวว่ายกใหญ่เลย), อย่าเอาหนังสือไว้ที่ใต้โต๊ะโรงเรียน (เราต้องบอกว่าหนังสือเรียนตอนประถมนั้นหนักมาก แถมกระเป๋าโรงเรียนก็บางมากๆอีก จะใช้กระเป๋าอื่นก็ไม่ได้ เพราะโรงเรียนมีกฏว่าต้องใช้กระเป๋าโรงเรียนเท่านั้น) ซึ่งเราก็ทนไม่ได้ เพราะมันปวดหลังมาก จนต้องแอบเอาไว้ที่ใต้โต๊ะ แต่โดนป้าจับได้ ตอนนั้นต้องกลับไปเอากุญแจจากภารโรงเพื่อไปเอาหนังสือ โดนด่าหนักมาก. เราอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสาน แต่เรานั้นต้องไปเรียนในเมืองค่ะ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน9กม. ตอนเด็กๆ คนในบ้านแทบจะไม่ปล่อยเราไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านเลย นอกจากจะเป็นคนที่เชื่อใจมากจริงๆ ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนในหมู่บ้านค่ะ พอเรียนในเมืองก็มีเพื่อนไม่กี่คน ซึ่งพอเลิกเรียนแล้ว เราจะไม่ติดต่อหากันเลยสักครั้ง แต่ก็มีบางครั้งที่หลังเลิกเรียน เพื่อนๆได้ไปเรียนพิเศษ ได้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ยกเว้นเราที่ต้องกลับบ้านตรงเวลาตลอด ต่างจากกับคนน้องที่ครอบครัวยอมเขาตลอด อยากไปเตะบอลก็ให้ไป อยากไปเที่ยวที่ทุ่งนาตอนกลางคืนก็ให้ไป เพื่อนแย่แค่ไหน ครอบครัวก็บอกว่ารับได้ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ เพราะยังเด็ก แต่ก็มีแอบน้อยใจอยู่บ้าง พอมาตอนป.หก เราก็เริ่มมีความคิดอะไรบ้างแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าครอบครัวเคร่งแต่กับเราคนเดียวตลอด คนน้องนี่พวกเขาตามใจตลอด ซึ่งมันค่อยๆเพิ่มความกดดันให้เราค่ะ
2. ช่วงมัธยม พอจบป.หก เราต้องย้ายมาเรียนที่ต่างประเทศค่ะ ตอนนั้นเรากดดันและตื่นเต้นมากๆ แถมยังต้องเดินทางคนเดียวอีก ชีวิตที่เมืองนอกของเราไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นค่ะ ม.หนึ่งถึงม.สาม เราไม่มีเพื่อนเลยสักคน (ดีที่ตอนนั้นมีแฟนบนเฟซ แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว) ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว นั่งเรียนคนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดนนินท่า โดนด่าลับหลัง เราพยายามหาเพื่อนคบ แต่พวกเขาคบเราเพื่อความสนุกค่ะ เขาไม่ได้เฟรนลี่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาชอบยุ่งกับพวกยาเสพติดและดื่มก่อนวัยอันควร ทำให้เราถอยออกมาอยู่คนเดียว และโกหกแม่ว่ามีเพื่อนๆใจดีทุกคน เพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง. การอยู่ที่โรงเรียนคนเดียวก็ดีกว่าที่เราคิด แรกๆอาจจะคิดว่ามันน่าอายที่ต้องมานั่งคนเดียว แต่หลังๆเราเริ่มชินไปกับมัน และเราก็เริ่มชอบใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ออกไปไหน เลิกเรียนก็กลับบ้านทันที และนั่นก็เริ่มทำให้เราเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง และที่หนักไปกว่านั้น คือเราต้องโดนทางบ้านบังคับว่า 'ต้องเป็นหมอ ต้องเรียนสายวิทย์คณิตเท่านั้น' เราก็พยายามเรียนตามที่ทางบ้านหวัง แต่เรามารู้ว่า 'เราไม่เหมาะกับสายนี้เลย' เราไม่ชอบสายนี้ เราชอบเรียนด้านภาษา(โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศษ)และทำอาหารค่ะ ตอนม.สามเราลงเรียนทำอาหาร และเราก็ชอบมันมากๆ เราสนุกไปกับมัน จนทำให้เราลืมความเครียดไป ลืมบอกไปเลยว่าเรามีความฝันอยากเป็นเชฟค่ะ. ทว่าทางบ้านกลับไม่เห็นด้วย และสั่งให้เราเลิกเรียนทำอาหารไป เขามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่เหมาะกับเรา ในอนาคตเราอาจจะทำเงินได้ไม่ดี ที่น่าเจ็บปวดเลยคือตอนที่แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะไปบอกเพื่อนแม่ยังไงว่ามีลูกเป็นเชฟ ไม่ใช่หมอ' จากนั้นความกดดันของเราก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น พอขึ้นม.ปลาย แม่จะเป็นคนเลือกวิชาเรียนให้เราด้วยตัวเองเลยค่ะ ว่าต้องเรียนวิทย์ ไม่ว่าจะเคมี ฟิสิกส์ จิตวิทยา ชีวะ และวิชาคณิตอื่นๆอีก คือเราต้องทนเรียนแบบนี้สามปี ตอนนั้นเราก็เริ่มมีปากเสียงกับแม่ค่ะ แม่จะเริ่มใช้คำพูดหยาบคายกับเรา 'สันดานหมา' 'เสียชาติเกิด' 'ก็เหมือนพ่อ' 'ลูกเ*ี้ยๆ' 'ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกูเลย' 'จะไปตายที่ไหนก็ไป' 'ตัดขาดกันเถอะ ไม่ต้องมาเป็นลูกกูอีก' 'ไม่ใช่ลูกกู' 'หน้าด้าน ขี้เ*ือก' 'สันดานเ*ี้ย' 'อิควาย' เพียงเพราะเราทำอะไรขัดใจนิดๆหน่อยแม่ก็จะด่าเราด้วยคำหยาบค่ะ ซึ่งเราต้องทนฟัง เงียบ และไม่เถียง เป็นแบบนี้ทุกวันค่ะ เริ่มตั้งแต่ม.สอง
3. ปัญหาระหว่างเรากับแม่ พ่อแม่ของเราหย่ากันตั้งแต่เราสองขวบค่ะแม่เราเป็นคนที่ด่าได้เจ็บปวดมาก คือไม่ได้ซอฟ แต่จะรุนแรง แค่แม่ด่าเราคำเดียว เราก็ร้องไห้แล้วค่ะ แม่เราจะด่าเราแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เราเด็กๆแล้วล่ะ จำไม่ได้ว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่ แม่ไม่ใช่คนที่จะมาสปอยล์เรา แต่จะสปอยล์ลูกพี่ลูกน้องเราบ่อยมาก อยากมีแฟนตอนป.ห้า ก็มีไป ไม่เคร่ง แต่กับเรานี่มีเพื่อนผู้ชายอยู๋ในกลุ่มทำงาน ก็ด่าเราแล้ว. ตอนเด็กๆ เราไปเที่ยวกรุงเทพกับแม่ เคยขอแม่กินไก่KFC ตอนนั้นแม่ด่าเราหนักมาก แมใช้คำหยาบ (แม่จะใช้คำว่าสันดานหมาทุกครั้งกับเรา) แถมด่ากลางตลาด จนมาถึงห้าง คนก็มองเรา บ้างก็แอบซุบซิบ บ้างก็หัวเราะ ตอนนั้นเราอายมากค่ะ จนร้องไห้ออกมาเงียบๆ ในขณะที่แม่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อน แม่ปล่อยเราร้องไห้หน้าห้างเป็นชั่วโมง แล้วมาบอกทีหลังว่า 'แม่ไม่ได้ด่า แม่แค่บอก อยากให้คิด' คือตอนนั้นมันไม่ใช่แล้ว เรารู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่บอก ตอนนั้นเราเจ็บปวดมาก. แถมแม่ชอบตบตีใช้กำลังกับเราค่ะ ตอนป.สองเคยทะเลาะกับแม่ แล้วบอกว่าจะไปนอนบ้านยาย ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึงกิโลด้วยซ้ำ แล้วมีพี่ที่สนิทกับแม่มารับเรา แล้วบอกว่าจะพาไปซื้อของกิน แต่ตอนนั้นพี่เขาขับรถมาหยุดที่บ้านแม่ ตอนแม่เดินออกมาพร้อมไม้แขวนเสื้อแล้วตบตีเราที่หน้าบ้าน ทั้งด่า จนมีคนมาห้ามเอาไว้ ตอนนั้นเราร้องไห้หนักมากค่ะ. การอยู่กับแม่เราไม่มีความสุขเลย มีแต่ความเครียด โดนด่าทุกวัน จนถึงตอนนี้ก็ด่า. ถ้าเราทำอะไรผิดนิดๆหน่อยๆแม่จะด่าเราทันที บางครั้งก็ตบหน้า แล้วชอบไปเล่าให้เพื่อนฟังว่าตัวเองเลี้ยงลูกโดยให้เหตุผลตลอด แม่ชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ว่าลูกใครก็ตาม ถ้าเขาได้เป็นหมอ 'ดูลูกคนนั้นสิ' 'พี่คนนี้ได้เป็นหมอ' 'พี่คนนั้นกำลังจะเรียนหมอจบ' แม่เราจะเอาเราไปเปรียบเขาทันที แล้วมาบอกว่าเป็นแรงผลักดัน มันไม่ใช่แรงผลักดัน แต่มันทำให้เราเหมือนตกเหวลงไป ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า เราทำยังไม่ดีงั้น? เรายังดีไม่พอสินะ ต้องทำยังไงแม่ถึงจะชมเราล่ะ? ทุกวันตอนตื่นนอนและก่อนเข้านอน แม่จะเดินเข้ามาในห้องเราแล้วพูดว่า มหาลัยนี้สอนหมอดีนะ มหาลัยนี่ไม่แพง มหาลัยนี่ติดท็อปอันดับด้วย ช่วงมอปลายเราร้องไห้ทุกวันค่ะ เพราะโดนแม่ด่าทุกวัน ทำอะไรไม่ได้เลย เปิดประตูแรงนิดเดียวก็โดนด่า เดินเข้าห้องน้ำก็โดน ปิดประตูแรงก็โดน จะระบายให้ใครฟัง ก็ไม่มีใครยอมฟังเราเลย โดยเฉพาะคนในครอบครัว ไม่มีใครฟังเราเลย เอาแต่บอกว่า 'เอาใจเขา มาใส่ใจเรา' เราเลยเลือกที่จะเงียบ เก็บมันไว้ตัวคนเดียว ไม่เล่าอะไรให้ใครฟัง เพราะรู้สึกว่าไม่มีคนเข้าใจเราเลย คือตอนนั้นเราไม่ไหวแล้วค่ะ เราต้องกดดันกับทางโรงเรียน แล้วต้องมาโดนแบบนี้ทุกวัน. ที่โรงเรียนเรามีสอบทุกอาทิตย์ค่ะ สองถึงสามวิชา ซึ่งเราต้องติวหนักทุกวัน อ่านหนังสือตลอด พออ่านหนังสือแม่ก็มาหาว่าสร้างภาพ เอาโทรศัพท์มานั่งคุยในห้อง คุยโทรศัพท์เสียงดังมาก เราบอกให้เงียบๆหน่อยก็มาด่าว่า'สันดานหมา' 'เถียงผู้ใหญ่' 'สอนไม่จำ' 'เ*ี้ย เรียนไปก็ไม่มีอะไรหรอก' มันทำให้เราเป็นคนที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากๆค่ะ โดนด่านิดหน่อยใจเราก็อ่อนแล้วร้องไห้ออกมาตลอด ช่วงมอปลายเป็นช่วงที่เรากดดัน เครียด เป็นโรคซึมเศร้าไปพักนึง และเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเราก็รู้ว่ามันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ พยายามคุบอารมณ์ตัวเองเอาไว้ มีครั้งนึงพยายามเอามีดมากรีดขอมือ แต่เพื่อนมาเห็นก่อน เพื่อนเลยห้ามเอาไว้ ตอนนั้นเราก็ร้องไห้ออกมา แล้วระบายออกมา แต่เพื่อนคนนั้นก็จะบอกว่า 'มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะเครียด ฉันก็เครียด แต่ฉันยังทนได้เลย' มันอาจจะธรรมดาสำหรับเขาแต่ไม่ใช่สำหรับเราค่ะ ตอนนั้นเราเครียดมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ จนเกือบเป็นลมต่อหน้าอาจารย์ จนอาจารย์เริ่มมาคุยกับเราว่าเป็นอะไร โอเคไหม มีปัญหากับครอบครัวรึเปล่า. ช่วงมอห้าเราอยากไปเรียนต่อที่โณงเรียนทำอาหาร ตอนนั้นโดนแม่ด่าหนักมาก แม่บอกจะตัดขาดกับเรา ไล่เราออกจากบ้านไปเป็นขอทาน แล้วยังพูดอีกว่า 'กูจะไปบอกเพื่อนยังไงว่าเป็นเชฟ' ตอนนั้นเราเลยโดเรียนไปร่วมopening dayที่โรงเรียนสอนทำอาหาร ตอนนั้นเรามีความสุขมากๆเลย เพราะเขาให้ลองทำขนม เราก็ลอง เชฟก็ชมว่าเราทำขนมเก่ง ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกค่ะ เพราะมีความสุขมากที่มีคนชมว่าขนมเราอร่อย ไม่เคยมีคนชมว่าเราทำอาหารหรือทำขนมเก่งมาก่อนเลยสักครั้ง. ถ้าให้เล่าตรงนี้คงไม่จบ การที่เราเจอแบบนี้ มันทำให้เราเก็บกดมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ คือเราคิดอยากจะฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธ อยากเห็นคนอื่นโดนทรมานจนตาย หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายซะให้จบๆ มีครั้งนึงเราเคยเห็นคนจมน้ำต่อหน้า เราว่ายน้ำเป็นแต่เราไม่ได้เข้าไปช่วย ได้แต่ยืนมองนิ่งๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออ ตายๆไปซะก็ดี (เป็นความคิดที่เลวมาก!) รอจนกว่าเขาจะจมน้ำตาย จนมีคนเข้าไปช่วยแทน ยิ่งตอนนั้นพึ่งโดนแม่ด่าอีกด้วย (เราพยายามแก้ความรู้สึกพวกนี้ออกไป แต่ยิ่งแก้ ก็ยิ่งตัดขาดจากนิสัยนี่ไม่ได้สักที) เราเริ่มตัดตัวเองจากสังคม ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เปิดใจกับใครทั้งนั้น เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทางเดียวที่เราจะระบายออกมาได้ก็คือเขียนิยายค่ะ เราเขียนนิยายวาย แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างดาร์คค่ะ พอเขียนไปจนจบเราค่อยรู้สึกโล่งอกหน่อย แต่คนทางบ้านมารู้แล้วโกรธเรามากค่ะ เขาบอกว่ามันไร้สาระ ติ๊งต๊อง ปัญญาอ่อน แม่เราก็เริ่มเอาเรื่องเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง แม่ก็จะบอกว่า 'เลิกเป็นนักเขียนเถอะ มันไม่รุ่งหรอก ไม่เห็นลูกเพื่อนแม่เหรอ เขาโตเป็นหมอแล้วนะ เลิกอยู่ในแต่โลกจินตนาการเถอะ หัดออกมาเจอความจริงซะมั้ง' คือเราเขียนนิยายไม่ใช่เพราะอยากรุ่ง หรืออยากดัง ที่เราเขียนก็เพราะเราอยากระบายความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นตัวหนังสือ และเรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นต์ของคนอ่าน จนมาถึงตอนนี้เรารักการเขียนนิยายมากๆ. เมื่อก่อนวันสิ้นปีก็โดนด่า เพราะเราไม่อยากไปเคาท์ดาวน์กับแม่ ตอนนั้นแม่จะไปกับเพื่อนแม่ค่ะ เราคิดว่ามันคงดีถ้าให้แม่ไปกับเพื่อนดีกว่า แม่บอกเราตั้งแต่ต้นเดือนว่าจะไปและเราต้องไปด้วย เราก็บอกว่าไม่ไป แม่ไปกับเพื่อนแม่เถอะ แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร เราบอกแบบนี้หลายรอบมากว่าไม่ไป ก่อนหนึ่งคืนที่จะเดินทาง เราบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่ไป ตอนนั้นเราโดนด่าหนักมากเลยค่ะ ขนาดขอตัดขาด เก็บกระเป๋าไล่เราออกจากบ้าน บอกไม่อยากเห็นหน้า บอกไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก เราก็บอกว่าทำไมแม่ไม่ยอมฟังหนูบ้างเลย คือเราไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด หลายครั้งมากที่แม่โยนความผิดให้เรา เคยมีครั้งนึงเราไปนอนบ้านเพื่อน แล้ววันต่อมาเราต้องพาเพื่อนไปหาหมอแม่ก็รับรู้และไม่ได้ว่าอะไร ต่อมาไม่ถึงห้านาที แม่ด่าเราค่ะ แม่บอกว่านัดฝึกงานไว้แล้ว จะไปไหน กูสัญญากับเขาไว้ จะผิดสัญญาทำไม ตอนนั้นเรางงมากค่ะ คือฝึกงานอะไร ไม่เห็นแม่เคยพูดเรื่องนี้ กลับกลายเป็นว่าเราผิดค่ะ อธิบายไปก็ไม่ฟัง บอกจะไปไหนก็ไป. ตอนนี้เราเริ่มกล้าที่จะพูดกับแม่มากขึ้น แม่ก็บอกว่า 'มันจิตใจต่ำทราม หยาบกระด้าง ไม่มีสัมมาคาระวะ เถียงผู้ใหญ่' คือเราบอกเขาเฉยๆ แล้วเขามาหาว่าเราเถียง เราก็รู้แหละว่าจิตใจตัวเองต่ำมากแค่ไหน เลยตัดสินใจโพสต์ระบาย และตอนนี้ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ขอความช่วยเหลือจากครอบครัว เขาก็บอกว่าเราต้องเข้าใจแม่ 'เอาใจเขา มาใส่ใจเรา'
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ [