Skellig Michael สเคลิก ไมเคิล
เกาะหินสูงชันรูปร่างน่าเกรงขามแห่งนี้ ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างออกไปจากชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอร์แลนด์ประมาณ 11.6 กิโลเมตร เกาะร้างซึ่งไร้ผู้คนอาศัยอยู่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของซากศาสนสถานโบราณอายุกว่า 1,400 ปี ที่เมื่อราวศตวรรษที่ 6-8 กลุ่มนักบวชในศาสนาคริสต์ได้เดินทางมาสร้างชุมชนอาศัยอยู่กันกลางทะเล
ในยุคนั้นเกาะแห่งนี้ถือได้ว่ายากลำบากต่อการเดินทาง อยู่อาศัย และห่างไกลราวกับเป็นดินแดนสุดขอบโลก ว่ากันว่านักบวชยุคนั้นเชื่อกันว่า การปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่จะทำให้ได้เข้าใกล้อำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่แน่ว่าด้วยเหตุนี้เอง J.J. Abrams จึงเลือกสถานที่นี้ให้เป็นฉากของ “วิหารเจไดแห่งแรก” ซึ่ง Luke หลบมาอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ( Episode VII: The Force Awakens ปฐมบทของไตรภาคที่ 3)
สิ่งปลูกสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ ถือได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เมื่อค.ศ. 1996 เกาะ Skellig Michael ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกโดย UNESCO
ปลายทางของบันได 600 ขั้น เป็นที่ตั้งของกระท่อมหินรูปทรงเหมือนรังผึ้ง ห้องสวดมนต์รูปทรงเหมือนเรือ สวน กำแพง และ หลุมฝังศพขนาดเล็กยังคงสภาพสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นชุมชนที่เคยมีมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่จริงๆ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
แม้เกาะนี้จะมีความสำคัญเป็นถึง 1 ใน 2 พื้นที่มรดกโลกของไอร์แลนด์ แต่ด้วยความลำบากในการเข้าถึงจึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว แม้แต่ชาวไอริชส่วนใหญ่เองก็ยังไม่เคยไปเกาะนี้กัน ส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินป่าปีนเขาและนักดูนก เพราะ Skellig Michael เป็นถิ่นอาศัยของนกทะเลหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะนกพัฟฟินแอตแลนติกนับพันตัว ที่อพยพมาสร้างรังวางไข่กันในช่วงฤดูร้อน
Cover Image by Kate McCulley / adventurouskate.com
Cr.
http://www.culturedcreatures.co/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0-star-wars-skellig-michael/
โอคุโนะชิมะ (Okunoshima)
หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เกาะกระต่าย” เป็นเกาะเล็กๆ ที่แม้จะมีสัตว์น่ารักอย่างกระต่าย แต่ก็มีประวัติศาสตร์อันหมองหม่นซ่อนอยู่ ซึ่งเกาะมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 4.3 กิโลเมตร เท่านั้น ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่ง Tadanoumi และเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด Hiroshima
เกาะนี้เป็นที่อยู่ของกระต่ายน้อยนับ 300 ตัว ที่แพร่พันธุ์มาจากรุ่นบุกเบิกเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ซึ่งจะพบเจอกระต่ายบนเกาะนี้ได้ไม่ยาก นับตั้งแต่เหยียบเท้าลงมาจากเรือข้ามเกาะก็จะเห็นกระต่ายน้อยใหญ่กระโดดเข้ามาเพื่อขออาหาร
เรื่องราวของเกาะนี้ไม่ได้มีเพียงด้านที่น่ารักจากกระต่ายน้อยทั่วเกาะเพียงอย่างเดียว แต่ก่อนที่จะมีการเซ็นพิธีสารในอนุสัญญาเจนีวา ปี1925 ที่ว่าด้วยการห้ามการใช้แก๊สพิษ เกาะนี้เคยเป็นโรงงานผลิตก๊าซพิษที่ชื่อ แก๊สมัสตาร์ด (Mustard Gas) เป็นจำนวนมากกว่า 6,000 ตัน และเกาะแห่งนี้ก็เคยถูกทำให้กลายเป็นความลับและถูกแยกออกมา ในแผนที่บางแผนที่เองก็ยังไม่มีเกาะนี้อยู่ในแผนที่ที่อีกด้วย
หลังสงคราม แก๊สพิษได้ถูกนำออกไปจากเกาะแห่งนี้ และสัตว์จากห้องทดลองก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ ด้วยการที่ไม่มีนักล่าเจ้าถิ่นบนเกาะนี้ จึงทำให้เกาะนี้เต็มไปด้วยกระต่ายน้อยน่ารัก ที่แพร่พันธุ์และเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าร้อยตัวไปทั่วเกาะ
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อยืนยันอื่นว่า กระต่ายเหล่านี้ ไม่ได้เป็นกระต่ายในการทดลอง แต่เป็นกระต่ายที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อการพัฒนาสวนสาธารณะบนเกาะแห่งนี้
ในปี 1988 โรงงานที่ใช้ในการผลิตก๊าซพิษได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ก๊าซพิษ (Poison Gas Museum) และเปิดให้เข้าชมเพื่อการศึกษาให้แก่คนญี่ปุ่น บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหน้าที่ของเกาะแห่งนี้ในระหว่างช่วงของสงครามโลกครั้งที่2 นอกจากนี้ ที่เกาะแห่งนี้ยังมีเสาไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นพาดผ่านอีกด้วย จึงไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมวและสุนัข
เครดิต : atlasobscura.com / japanvisitor.com
Cr.
https://travel.thaiza.com/foreign/371302/
นาซิโน (Nazino)
เรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นบนเกาะ นาซิโน (Nazino) เกาะเล็กๆ ที่มีคนอยู่รวมกันกว่า 6,000 คน ไร้ซึ่งข้าวปลาอาหาร จนต้องฆ่าและกินกันเองเพื่อเอาตัวรอด นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มานานนับสิบๆ ปี ได้ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อปี 2002 ทุกคนจะรู้จักเหตุการณ์นี้กันในชื่อ ‘Nazino Affair’
ปี 1933 .. ยุคของ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เป็นผู้นำสหภาพโซเวียต (สืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา) ในยุคนั้นระบบสตาลินเข้มงวดและโหดร้ายสุดๆ หากใครต่อต้านอำนาจจะถูกส่งไปค่ายกักกันและตายอย่างทรมาน
7 ปี ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ร่วมมือกับสลาติน วางแผนกำจัดคนที่พวกเขาคิดว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ออกไปนอกสหภาพโซเวียต ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็น คนไร้บ้าน คนจน และคนพิการ พวกเขาถูกนำตัวไปยังเกาะร้างที่ชื่อว่า นาซิโน (Nazino) ตั้งอยู่ในไซบีเรีย (ปัจจุบัน คือ Cannibal Island) สถานที่ที่มีแต่ความหนาวเย็น ไร้ซึ่งอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ รวมถึงพื้นที่แห้งแล้งไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ และอีกหนึ่งเหตุผลคือต้องการสร้างอาณานิคมบนเดินแดนแห่งนี้
บนเกาะนาซิโน มีเพียงขนมปังขึ้นราที่ผู้คุมทิ้งไว้ให้ประทังชีวิต ซึ่งไม่พอกับจำนวนคนกว่า 6,000 คน เวลาผ่านไปไม่นาน ความหิวก็เริ่มครอบงำ ไม่มีอาหาร พื้นที่เพาะปลูกไม่ได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความหิวโหยได้ก็คือ การฆ่ากินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง
มีหลายคนที่พยายามจะหนีออกจากเกาะ โดยการสร้างแพ ว่ายน้ำ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ บางคนก็จมน้ำตาย บางคนก็ถูกแช่แข็งจากความหนาวเย็น
หลังจากนั้นไม่นานสลาตินก็ได้ส่งนักโทษกลุ่มใหม่มายังเกาะนาซิโน เพิ่มอีก 1,200 คน แต่เพียงก้าวขาถึงฝั่งก็ถูกคนที่อยู่บนเกาะชุดแรกจัดการฆ่าเพื่อนำเนื้อไปกินเป็นอาหาร จากเหตุการณ์นี้มีคนตายบนเกาะกว่า 4,000 คน และมีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตโดยการฆ่าและกินเนื้อมุนษย์ด้วยกันเอง
ขอบคุณที่มา
http://www.creepybasement.com/
Cr.
https://travel.mthai.com/world-travel/158632.html
เกาะ Aldabra
เชื่อว่าหลายคน คงไม่เคยได้ยินชื่อ นก Aldabra Rail มาก่อน แต่ก้ไม่แปลก เพราะ มันได้รับการยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 136,000 ปีก่อน
โดยเหล่านักวิจัยทั่วโลก เชื่อว่านกชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ ไปจากการที่เกาะ Aldabra ทั้งเกาะ ถูกน้ำทะเลกลืนกินจมลงใต้มหาสมุทร เป็นเหตุทำให้ นก Aldabra Rail ซึ่งเป็นนกที่บินไม่ได้สูญพันธุ์ไปพร้อมเกาะที่หายไป
แต่เรื่องที่น่าแปลกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ เกาะ Aldabra ลอยขึ้นกลับมาพ้นน้ำทะเลอีกครั้ง นก White-throated rail ก็เริ่มกลับมาอาศัยบนเกาะนี้อีกครั้ง วิวัฒนาการไปเป็นนกบินไม่ได้แบบ Aldabra Rail อีกครั้ง โดยแท้จริงแล้ว นก Aldabra Rail คือสายพันธุ์ย่อยของ นก White-throated rail
ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหล่านักวิจัยถือว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพราะ ไม่เคยมีนักวิจัยคนไหนเคยพบ นก Aldabra Rail ที่ไหนบนโลก มีเพียงฟอสซิลจากเมื่อ 136,000 ปีก่อน และเมื่อเทียบลักษณะกระดูกของนกทั้งสอง ก็พบว่ามันคือนกชนิดเดียวกัน โดย นก Aldabra Rail ที่กำเนิดใหม่นี้ นักวิจัยคาดว่าน่าจะวิวัฒนาการมาประมาณ 100,000 ปี
การพบนก Aldabra Rail ครั้งนี้ ถือเป็นการคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่มหัศจรรย์ที่สุด ที่เคยพบมา
โดย ปิยะนัย เกตุทอง
Cr.
https://www.tnews.co.th/foreign/506201/พบเกาะใหม่-พร้อม-สัตว์ที่เคยสูญพันธุ์-เมื่อ-136,000-ปีก่อน
Poveglia Island
เกาะแห่งนี้มีผู้เข้ามาอาศัยครั้งแรกในปีค.ศ.421 เป็นผู้ที่หนีมาจากการยึดครองอำนาจของชาวฮั่นที่นำโดยจักรพรรดิอัตติลา จากนั้นก็อพยพมาอยู่ในเกาะแห่งนี้อย่างสงบสุขนับพันปี ในปี 1645 ผู้ปกครองเมืองเวนิสได้สร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันภัยรอบพื้นที่ทะเลสาบ เกาะโพเวเกลียเองก็เป็นหนึ่งในสี่ป้อมปราการที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบ Venetian ประเทศอิตาลีนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัยสงครามของชาวอิตาลีเมื่อครั้งที่กองทัพชาวฮัน (Hunnic) บุกโจมตียุโรป ต่อมาในปี 1793 เมื่อมีการระบาดของกาฬโรคไปทั่วยุโรป ที่นี่ได้ถูกใช้เป็นที่กักกันผู้ป่วยกว่า 160,000 คน พวกเขาถูกส่งมาให้ตายอยู่ที่เกาะแห่งนี้
เกิดเรื่องหลอน ๆมากมายบนเกาะนี้ ชาวประมงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ผ่านมาตอนกลางคืนก็จะได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย แถมยังเห็นเงาดำ ๆ ยืนเรียงกันเป็นตับ อยู่ริมเกาะอีกด้วย ต่อมาในปี 1922 รัฐบาลอิตาลีให้สร้างโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยจิตเวช แต่สุดท้ายก็ต้องเจ๊งไป เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่กล้ามาทำงาน แต่ล่าสุดก็ได้เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
ขอบคุณที่มาจาก: list25, grunge / Written by: Typrn
Cr.
https://lifestyle.campus-star.com/scoop/112231.html
Hart Island
เกาะฮาร์ท หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เกาะแห่งความตาย "The Island of The Dead" ณ บริเวณนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเกาะที่มีเหตุนองเลือดมากที่สุดในอเมริกา เป็นทั้งจุดฝังศพผู้ที่เสียชีวิตจากช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา (ปี 1865) เป็นทั้งสถานกักกันผู้ป่วยจากโรคไข้เหลืองระบาด(ช่วงปี 1870) เป็นสถานบำบัดอาการผู้ป่วยทางจิต (1885) จนกระทั่งเป็นค่ายทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้ มีผู้เสียชีวิตที่ถูกฝังร่างอยู่ที่นี่กว่า 850,000 ศพ ทั้งทหาร คนป่วย คนไร้บ้าน เด็กกำพร้า ศพไร้ญาติ ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมของวิญญาณเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ทางการก็ได้ปิดเกาะนี้อย่างถาวร อนุญาตให้เฉพาะญาติของทหารได้ขึ้นไปทำพิธีในช่วงวันสำคัญเท่านั้น ใครที่ลักลอบขึ้นไปจะมีความผิดฐานบุกรุก
Cr.
https://travel.trueid.net/detail/a80WPqRblp5N
ชายหาดแห่งความลับ Playa Del Amor
เป็นชายหาดขนาดเล็กและสวยงามแอบซ่อนอยู่ในหลุมๆหนึ่งบนเนินเขาของเกาะมาเรียตา ที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ถ้ามองในแนวระนาบก็คงจะไม่รู้เลยว่ามีหลุมแห่งนี้อยู่ วิธีเดียวที่สามารถเห็นได้เต็มตาก็คือจากมุมด้านบน และการเข้าไปในชายหาดแห่งนี้มีเส้นทางจากทางน้ำ เป็นอุโมงค์น้ำที่เชื่อมต่อระหว่างชายหาดภายในหลุมกับทะเลแปซิฟิก อีกทางหนึ่งคือการลงมาจากด้านบนของหลุมซึ่งก็สูงไม่น้อยและอาจจะต้องใช้การปีนป่าย แต่ผู้คนมากมายก็ต้องการเข้าถึงชายหาดเล็กๆแห่งนี้
ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงการก่อกำเนิดหลุมชายหาดแห่งความลับนี้ บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ เพราะในช่วงศตวรรษที่ 20 ชาวเม็กซิโกได้เริ่มสร้างระเบิดเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และพวกเขาก็ได้ทำการทดลองไปยังมหาสมุทร ทำให้ผู้คนเชื่อว่าระเบิดอาจจะตกลงมาที่เกาะมาเรียตาจนเกิดเป็นหลุมและชายหาดดังกล่าวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เพราะมีสมมติฐานว่าหลุมแห่งนี้เกิดขึ้นก่อนศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวที่เกาะมาเรียตาบริเวณชายหาด ที่มีกิจกรรมชายทะเลและพายเรือคายัค และชายหาดแห่งความลับก็ได้ถูกอนุรักษ์ให้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติ
ขอบคุณที่มา : unusualplaces.org
Cr.
https://travel.thaiza.com/foreign/348607/
เกาะที่ซ่อนความลับทางประวัติศาสตร์
เกาะหินสูงชันรูปร่างน่าเกรงขามแห่งนี้ ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างออกไปจากชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอร์แลนด์ประมาณ 11.6 กิโลเมตร เกาะร้างซึ่งไร้ผู้คนอาศัยอยู่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของซากศาสนสถานโบราณอายุกว่า 1,400 ปี ที่เมื่อราวศตวรรษที่ 6-8 กลุ่มนักบวชในศาสนาคริสต์ได้เดินทางมาสร้างชุมชนอาศัยอยู่กันกลางทะเล
ในยุคนั้นเกาะแห่งนี้ถือได้ว่ายากลำบากต่อการเดินทาง อยู่อาศัย และห่างไกลราวกับเป็นดินแดนสุดขอบโลก ว่ากันว่านักบวชยุคนั้นเชื่อกันว่า การปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่จะทำให้ได้เข้าใกล้อำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่แน่ว่าด้วยเหตุนี้เอง J.J. Abrams จึงเลือกสถานที่นี้ให้เป็นฉากของ “วิหารเจไดแห่งแรก” ซึ่ง Luke หลบมาอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ( Episode VII: The Force Awakens ปฐมบทของไตรภาคที่ 3)
สิ่งปลูกสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ ถือได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เมื่อค.ศ. 1996 เกาะ Skellig Michael ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกโดย UNESCO
ปลายทางของบันได 600 ขั้น เป็นที่ตั้งของกระท่อมหินรูปทรงเหมือนรังผึ้ง ห้องสวดมนต์รูปทรงเหมือนเรือ สวน กำแพง และ หลุมฝังศพขนาดเล็กยังคงสภาพสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นชุมชนที่เคยมีมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่จริงๆ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
แม้เกาะนี้จะมีความสำคัญเป็นถึง 1 ใน 2 พื้นที่มรดกโลกของไอร์แลนด์ แต่ด้วยความลำบากในการเข้าถึงจึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว แม้แต่ชาวไอริชส่วนใหญ่เองก็ยังไม่เคยไปเกาะนี้กัน ส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินป่าปีนเขาและนักดูนก เพราะ Skellig Michael เป็นถิ่นอาศัยของนกทะเลหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะนกพัฟฟินแอตแลนติกนับพันตัว ที่อพยพมาสร้างรังวางไข่กันในช่วงฤดูร้อน
Cover Image by Kate McCulley / adventurouskate.com
Cr.http://www.culturedcreatures.co/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0-star-wars-skellig-michael/
โอคุโนะชิมะ (Okunoshima)
หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เกาะกระต่าย” เป็นเกาะเล็กๆ ที่แม้จะมีสัตว์น่ารักอย่างกระต่าย แต่ก็มีประวัติศาสตร์อันหมองหม่นซ่อนอยู่ ซึ่งเกาะมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 4.3 กิโลเมตร เท่านั้น ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่ง Tadanoumi และเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด Hiroshima
เกาะนี้เป็นที่อยู่ของกระต่ายน้อยนับ 300 ตัว ที่แพร่พันธุ์มาจากรุ่นบุกเบิกเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ซึ่งจะพบเจอกระต่ายบนเกาะนี้ได้ไม่ยาก นับตั้งแต่เหยียบเท้าลงมาจากเรือข้ามเกาะก็จะเห็นกระต่ายน้อยใหญ่กระโดดเข้ามาเพื่อขออาหาร
เรื่องราวของเกาะนี้ไม่ได้มีเพียงด้านที่น่ารักจากกระต่ายน้อยทั่วเกาะเพียงอย่างเดียว แต่ก่อนที่จะมีการเซ็นพิธีสารในอนุสัญญาเจนีวา ปี1925 ที่ว่าด้วยการห้ามการใช้แก๊สพิษ เกาะนี้เคยเป็นโรงงานผลิตก๊าซพิษที่ชื่อ แก๊สมัสตาร์ด (Mustard Gas) เป็นจำนวนมากกว่า 6,000 ตัน และเกาะแห่งนี้ก็เคยถูกทำให้กลายเป็นความลับและถูกแยกออกมา ในแผนที่บางแผนที่เองก็ยังไม่มีเกาะนี้อยู่ในแผนที่ที่อีกด้วย
หลังสงคราม แก๊สพิษได้ถูกนำออกไปจากเกาะแห่งนี้ และสัตว์จากห้องทดลองก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ ด้วยการที่ไม่มีนักล่าเจ้าถิ่นบนเกาะนี้ จึงทำให้เกาะนี้เต็มไปด้วยกระต่ายน้อยน่ารัก ที่แพร่พันธุ์และเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าร้อยตัวไปทั่วเกาะ
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อยืนยันอื่นว่า กระต่ายเหล่านี้ ไม่ได้เป็นกระต่ายในการทดลอง แต่เป็นกระต่ายที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อการพัฒนาสวนสาธารณะบนเกาะแห่งนี้
ในปี 1988 โรงงานที่ใช้ในการผลิตก๊าซพิษได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ก๊าซพิษ (Poison Gas Museum) และเปิดให้เข้าชมเพื่อการศึกษาให้แก่คนญี่ปุ่น บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหน้าที่ของเกาะแห่งนี้ในระหว่างช่วงของสงครามโลกครั้งที่2 นอกจากนี้ ที่เกาะแห่งนี้ยังมีเสาไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นพาดผ่านอีกด้วย จึงไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมวและสุนัข
เครดิต : atlasobscura.com / japanvisitor.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/371302/
นาซิโน (Nazino)
เรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นบนเกาะ นาซิโน (Nazino) เกาะเล็กๆ ที่มีคนอยู่รวมกันกว่า 6,000 คน ไร้ซึ่งข้าวปลาอาหาร จนต้องฆ่าและกินกันเองเพื่อเอาตัวรอด นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มานานนับสิบๆ ปี ได้ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อปี 2002 ทุกคนจะรู้จักเหตุการณ์นี้กันในชื่อ ‘Nazino Affair’
ปี 1933 .. ยุคของ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เป็นผู้นำสหภาพโซเวียต (สืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา) ในยุคนั้นระบบสตาลินเข้มงวดและโหดร้ายสุดๆ หากใครต่อต้านอำนาจจะถูกส่งไปค่ายกักกันและตายอย่างทรมาน
7 ปี ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ร่วมมือกับสลาติน วางแผนกำจัดคนที่พวกเขาคิดว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ออกไปนอกสหภาพโซเวียต ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็น คนไร้บ้าน คนจน และคนพิการ พวกเขาถูกนำตัวไปยังเกาะร้างที่ชื่อว่า นาซิโน (Nazino) ตั้งอยู่ในไซบีเรีย (ปัจจุบัน คือ Cannibal Island) สถานที่ที่มีแต่ความหนาวเย็น ไร้ซึ่งอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ รวมถึงพื้นที่แห้งแล้งไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ และอีกหนึ่งเหตุผลคือต้องการสร้างอาณานิคมบนเดินแดนแห่งนี้
บนเกาะนาซิโน มีเพียงขนมปังขึ้นราที่ผู้คุมทิ้งไว้ให้ประทังชีวิต ซึ่งไม่พอกับจำนวนคนกว่า 6,000 คน เวลาผ่านไปไม่นาน ความหิวก็เริ่มครอบงำ ไม่มีอาหาร พื้นที่เพาะปลูกไม่ได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความหิวโหยได้ก็คือ การฆ่ากินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง
มีหลายคนที่พยายามจะหนีออกจากเกาะ โดยการสร้างแพ ว่ายน้ำ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ บางคนก็จมน้ำตาย บางคนก็ถูกแช่แข็งจากความหนาวเย็น
หลังจากนั้นไม่นานสลาตินก็ได้ส่งนักโทษกลุ่มใหม่มายังเกาะนาซิโน เพิ่มอีก 1,200 คน แต่เพียงก้าวขาถึงฝั่งก็ถูกคนที่อยู่บนเกาะชุดแรกจัดการฆ่าเพื่อนำเนื้อไปกินเป็นอาหาร จากเหตุการณ์นี้มีคนตายบนเกาะกว่า 4,000 คน และมีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตโดยการฆ่าและกินเนื้อมุนษย์ด้วยกันเอง
ขอบคุณที่มา http://www.creepybasement.com/
Cr.https://travel.mthai.com/world-travel/158632.html
เกาะ Aldabra
เชื่อว่าหลายคน คงไม่เคยได้ยินชื่อ นก Aldabra Rail มาก่อน แต่ก้ไม่แปลก เพราะ มันได้รับการยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 136,000 ปีก่อน
โดยเหล่านักวิจัยทั่วโลก เชื่อว่านกชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ ไปจากการที่เกาะ Aldabra ทั้งเกาะ ถูกน้ำทะเลกลืนกินจมลงใต้มหาสมุทร เป็นเหตุทำให้ นก Aldabra Rail ซึ่งเป็นนกที่บินไม่ได้สูญพันธุ์ไปพร้อมเกาะที่หายไป
แต่เรื่องที่น่าแปลกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ เกาะ Aldabra ลอยขึ้นกลับมาพ้นน้ำทะเลอีกครั้ง นก White-throated rail ก็เริ่มกลับมาอาศัยบนเกาะนี้อีกครั้ง วิวัฒนาการไปเป็นนกบินไม่ได้แบบ Aldabra Rail อีกครั้ง โดยแท้จริงแล้ว นก Aldabra Rail คือสายพันธุ์ย่อยของ นก White-throated rail
ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหล่านักวิจัยถือว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพราะ ไม่เคยมีนักวิจัยคนไหนเคยพบ นก Aldabra Rail ที่ไหนบนโลก มีเพียงฟอสซิลจากเมื่อ 136,000 ปีก่อน และเมื่อเทียบลักษณะกระดูกของนกทั้งสอง ก็พบว่ามันคือนกชนิดเดียวกัน โดย นก Aldabra Rail ที่กำเนิดใหม่นี้ นักวิจัยคาดว่าน่าจะวิวัฒนาการมาประมาณ 100,000 ปี
การพบนก Aldabra Rail ครั้งนี้ ถือเป็นการคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่มหัศจรรย์ที่สุด ที่เคยพบมา
โดย ปิยะนัย เกตุทอง
Cr.https://www.tnews.co.th/foreign/506201/พบเกาะใหม่-พร้อม-สัตว์ที่เคยสูญพันธุ์-เมื่อ-136,000-ปีก่อน
Poveglia Island
เกาะแห่งนี้มีผู้เข้ามาอาศัยครั้งแรกในปีค.ศ.421 เป็นผู้ที่หนีมาจากการยึดครองอำนาจของชาวฮั่นที่นำโดยจักรพรรดิอัตติลา จากนั้นก็อพยพมาอยู่ในเกาะแห่งนี้อย่างสงบสุขนับพันปี ในปี 1645 ผู้ปกครองเมืองเวนิสได้สร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันภัยรอบพื้นที่ทะเลสาบ เกาะโพเวเกลียเองก็เป็นหนึ่งในสี่ป้อมปราการที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบ Venetian ประเทศอิตาลีนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัยสงครามของชาวอิตาลีเมื่อครั้งที่กองทัพชาวฮัน (Hunnic) บุกโจมตียุโรป ต่อมาในปี 1793 เมื่อมีการระบาดของกาฬโรคไปทั่วยุโรป ที่นี่ได้ถูกใช้เป็นที่กักกันผู้ป่วยกว่า 160,000 คน พวกเขาถูกส่งมาให้ตายอยู่ที่เกาะแห่งนี้
เกิดเรื่องหลอน ๆมากมายบนเกาะนี้ ชาวประมงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ผ่านมาตอนกลางคืนก็จะได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย แถมยังเห็นเงาดำ ๆ ยืนเรียงกันเป็นตับ อยู่ริมเกาะอีกด้วย ต่อมาในปี 1922 รัฐบาลอิตาลีให้สร้างโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยจิตเวช แต่สุดท้ายก็ต้องเจ๊งไป เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่กล้ามาทำงาน แต่ล่าสุดก็ได้เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
ขอบคุณที่มาจาก: list25, grunge / Written by: Typrn
Cr.https://lifestyle.campus-star.com/scoop/112231.html
Hart Island
เกาะฮาร์ท หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เกาะแห่งความตาย "The Island of The Dead" ณ บริเวณนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเกาะที่มีเหตุนองเลือดมากที่สุดในอเมริกา เป็นทั้งจุดฝังศพผู้ที่เสียชีวิตจากช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา (ปี 1865) เป็นทั้งสถานกักกันผู้ป่วยจากโรคไข้เหลืองระบาด(ช่วงปี 1870) เป็นสถานบำบัดอาการผู้ป่วยทางจิต (1885) จนกระทั่งเป็นค่ายทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้ มีผู้เสียชีวิตที่ถูกฝังร่างอยู่ที่นี่กว่า 850,000 ศพ ทั้งทหาร คนป่วย คนไร้บ้าน เด็กกำพร้า ศพไร้ญาติ ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมของวิญญาณเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ทางการก็ได้ปิดเกาะนี้อย่างถาวร อนุญาตให้เฉพาะญาติของทหารได้ขึ้นไปทำพิธีในช่วงวันสำคัญเท่านั้น ใครที่ลักลอบขึ้นไปจะมีความผิดฐานบุกรุก
Cr.https://travel.trueid.net/detail/a80WPqRblp5N
ชายหาดแห่งความลับ Playa Del Amor
เป็นชายหาดขนาดเล็กและสวยงามแอบซ่อนอยู่ในหลุมๆหนึ่งบนเนินเขาของเกาะมาเรียตา ที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ถ้ามองในแนวระนาบก็คงจะไม่รู้เลยว่ามีหลุมแห่งนี้อยู่ วิธีเดียวที่สามารถเห็นได้เต็มตาก็คือจากมุมด้านบน และการเข้าไปในชายหาดแห่งนี้มีเส้นทางจากทางน้ำ เป็นอุโมงค์น้ำที่เชื่อมต่อระหว่างชายหาดภายในหลุมกับทะเลแปซิฟิก อีกทางหนึ่งคือการลงมาจากด้านบนของหลุมซึ่งก็สูงไม่น้อยและอาจจะต้องใช้การปีนป่าย แต่ผู้คนมากมายก็ต้องการเข้าถึงชายหาดเล็กๆแห่งนี้
ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงการก่อกำเนิดหลุมชายหาดแห่งความลับนี้ บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ เพราะในช่วงศตวรรษที่ 20 ชาวเม็กซิโกได้เริ่มสร้างระเบิดเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และพวกเขาก็ได้ทำการทดลองไปยังมหาสมุทร ทำให้ผู้คนเชื่อว่าระเบิดอาจจะตกลงมาที่เกาะมาเรียตาจนเกิดเป็นหลุมและชายหาดดังกล่าวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เพราะมีสมมติฐานว่าหลุมแห่งนี้เกิดขึ้นก่อนศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวที่เกาะมาเรียตาบริเวณชายหาด ที่มีกิจกรรมชายทะเลและพายเรือคายัค และชายหาดแห่งความลับก็ได้ถูกอนุรักษ์ให้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติ
ขอบคุณที่มา : unusualplaces.org
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/348607/