INDIA…. กับโรตีที่หายไป ตอนที่ 1 By ดช.จุ่น

          หลังจากเราเดินทางข้ามทวีปไปเที่ยวไกล ๆ กันมาแล้ว  วันนี้ ด.ช.จุ่น จะพาเพื่อนกลับมาเที่ยวแถบ ๆ บ้านเราบ้างนะครับ  สารภาพตามตรงว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอย่างจะไปประเทศนี้เลย จริง ๆ  แต่ด้วยจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทำให้ผมได้มีโอกาสมาเยือนดินแดงแห่งนี้....ดินแดนภารตะ   เพื่อนได้ยินแบบนี้แล้ว คงอยากลุกขึ้นโยกหัวไปมาแล้วใช่ไหมล่ะ ผมอนุญาตให้เต้นได้เลยจ้า เพราะไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ถ้ารับตัวเองได้ก็เต็มที่เลย  o.k.ป่ะ!!  เอาล่ะ ๆ หยุดเต้นก่อน กลับมาเรื่องเที่ยวของเราได้แล้ว....(ยัง ๆ มีบางคนยังไม่ยอมหยุดเต้นอีก....)

            เมื่อพูดถึงประเทศอินเดีย เพื่อน ๆ นึกถึงอะไรครับ.......อย่างแรกเลย โรตีหนานุ่มราดด้วยนมข้น (อยากกินขึ้นมาเลยนะซิ)/ผ้าสาหรี/กลิ่นตัวคนอินเดีย 555 อันนี้นึกถึงทุกคนแน่นอน/แม่น้ำคงคา/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ /ความแออัด/ความยากจน/ความสกปรก/เมืองแห่งพุทธกาล/ขนมปังลูกเกด อันนี้ฮามาก ไว้เล่าให้ฟัง/แขกผิวดำ น่ากลัวมาก/อาหารจะกินได้ไหมเนี่ย!!/ห้องน้ำคงเหม็นน่าดู/จำนวนประชากรประเทศนี้ จะเยอะไปไหนนี่/เครื่องเทศเต็มไปหมด/ฯลฯ  ถ้าให้เพื่อน ๆ นึก ผมก็คงต้องพิมพ์อีกเป็นหน้า ๆ แน่นวล 

                สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมอยากไปประเทศอินเดีย เพราะผมอยากจะไปดูทัชมาฮาลด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ว่าสมกับคำร่ำลือที่เขาเล่าอ้างกันหรือไม่   นั่นเป็นความตั้งใจแรกของผม  ผมไปในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งใกล้ปลายฤดูหนาวของอินเดียวแล้วครับ  อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 8 - 17 องศา โดยประมาณ อากาศไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป ผมเลือกไปทริปแค่ 2-3 วัน  เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทนกินอาหารของเขาไหวหรือเปล่า หุ หุ  อันนี้เรื่องจริงนะ แล้วการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น....

                ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับประเทศอินเดียกันก่อนไปเที่ยวดีกว่าครับ ประเทศอินเดีย หรือ ดินแดนภารตะ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (Republic of India) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลก  รองลงมาจากประเทศจีน น่าจะประชากรประมาณ 1.30 พันล้านคน  (คนมหาศาลจริง ๆ ) ทั้งนี้ อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของโลก ด้วยพื้นที่ 3.28 ล้านตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดหลาย ๆ ประเทศ เช่น ทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น  มีภาษาหลักใช้พูดถึง 16 ภาษา เช่น ภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ ภาษาเบงกอล ฯลฯ   แตกต่างกันไปตามภูมิภาคที่อยู่อาศัย โดยมีภาษาฮินดี ถือว่าเป็นภาษาประจำชาติ เพราะคนอินเดียกว่าร้อยละ 30 ใช้ภาษานี้ คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ครับ

                จำได้ว่าเราออกจากกรุงเทพฯประมาณสามทุ่มกว่า ๆ  ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงเมืองชัยปุระ ประเทศอินเดีย  เวลาท้องถิ่นก็ประมาณ เที่ยงคืนเห็นจะได้ (เขาช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง) ไกด์พาเราผ่านพิธีการศุลกากรเรียบร้อยแล้ว  ก็มีรถโค้ชมารับพวกเราจากสนามบินเดินทางสู่โรงแรมที่พักเมืองชัยปุระ  วันนี้เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนครับ และตอนนี้ก็ง่วงมากด้วย หุ หุ   good night ครับ......

                เช้าวันใหม่แล้ว....ยังง่วงอยู่เลย 555  มาเที่ยวยังไงก็ต้องพยายามตื่นให้ทัน (อันนี้คิดในใจ) หลังจากที่เราทานข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เรามีกำหนดการเดินทางไปเที่ยวในเมืองชัยปุระครับ   ได้ดื่มกาแฟตอนเช้าแล้วค่อยยังชั่วหน่อย สดชื่นขึ้นมาอีกนิด   พร้อมจะได้เที่ยวกันหรือยัง?
ขึ้นรถปุ๊บ ไกด์ก็เริ่มเล่าประวัติของเมืองชัยปุระให้เราฟังทันที  เมืองชัยปุระ นั้น ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1727 (ถ้านับถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไป 292 ปี แล้ว) โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2" เจ้าครองนครอาเมร์ (Amer) เป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของประเทศอินเดีย  ปัจจุบันเมืองชัยปุระยังเป็นที่รู้จักกันดีในอินเดียว่า "นครสีชมพู" คนอินเดียเรียกเมืองนี้ว่า จัยปูร์ หรือ จัยเปอร์ รัฐราชสถานได้ชื่อว่า นครสีชมพู (Pink city) โดยที่มาของเมืองสีชมพูก็เนื่องจากในปี ค.ศ. 1876 มหาราช ซาราม ซิงห์ (Maharaja Ram Singh) ได้มีรับสั่งให้ประชาชนทาสีชมพูทับบนสีปูนเก่าของบ้านเรือนตนเอง เพื่อแสดงถึงไมตรีจิตครั้งต้อนรับการมาเยือนของเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Waies) เจ้าชายมกุฎราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งภายหลังคือกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 (King Edward Vll) แห่งสหราชอาณาจักรและต่อมารัฐบาลอินเดียก็ยังออกกฎหมายควบคุมให้สิ่งก่อสร้างภายในเขตกำแพงเมืองเก่าต้องทาสีชมพูเช่นเดิม

                     เมืองชัยปุระยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าซึ่งทันสมัยสุดของอินเดีย สิ่งที่น่าสนใจในเมืองชัยปุระคือ ผังเมืองเก่า และสิ่งก่อสร้างดั้งเดิม รวมทั้งประตูเมืองซึ่งยังคงอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ นอกจากนี้สีชมพูของเมืองก็กลายเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก  ส่วนสถานที่แรกที่เราจะไปเที่ยวเช้านี้คือ ป้อมอาเมร์  หรือ ป้อมแอมเบอร์ (Amber Fort) ตั้งอยู่ที่เมืองอาเมร์ ชานเมืองชัยปุระ ห่างจากเมืองชัยปุระ 11 กิโลเมตรเท่านั้นเอง  ป้อมแห่งนี้สร้างโดยมหาราชา มาน สิงห์ที่ 1 มันตั้งโดดเด่นอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบ มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมซึ่งผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดูและศิลปะราชปุตอันเป็นเอกลักษณ์  

                   เราสามารถมองเห็นป้อมแห่งนี้ได้จากระยะไกล เนื่องจากมันตั้งอยู่บนเนินเขาสูง กำแพงสีส้มอิฐ ตัดกับเส้นสีของท้องฟ้า พร้อมสายลมเย็นยามเช้าที่พัดผ่านมาที่เรา ดูแล้วช่างเป็นภาพที่มีมิติจริง ๆ ครับ ทางขึ้นมีลักษณะคดไปเคี้ยวมาซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น  กำแพงปราการมีขนาดใหญ่แน่นหนายาวกว่า 13 กิโลเมตร มีประตูทางเข้าหลายแห่ง เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนป้อมแล้วสามารถมองเห็นทะเลสาบเมาตาได้อย่างชัดเจน
 

ภาพ :  ด้านหน้าทางขึ้นป้อมแอมเบอร์  

 
ภาพ :  ด้านข้างของป้อมเป็นทะเลสาบเมาตา

ความสวยงามที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงป้อมแห่งนี้  ด้านในยังมีพระราชวังอาเมร์ (Amer Palace) ลักษณะภายในจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชั้น โดยภายในเป็นหมู่พระที่นั่งซึ่งสร้างจากหินทรายสีแดงและหินอ่อน หมู่พระที่นั่งภายในป้อม ประกอบด้วย จัย มานดีร์, ชีชมาฮาล (พระตำหนักซึ่งเป็นห้องทรงประดับกระจกสำหรับมหาราชา), ดิวัน-อิ-อัม หรือท้องพระโรง, ดิวัน-อิ-กัส หรือท้องพระโรงส่วนพระองค์ และ อารัม บักห์ ซึ่งเป็นสวนสวยจัดเป็นรูปดาวแฉกแบบโมกุลคั่นกลางระหว่างอาคาร และสุดท้ายคือ สุกห์นิวาส ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ใช้การปรับอากาศภายในพระตำหนักให้เย็นลงด้วยการทำให้ลมเป่าผ่านรางน้ำตกที่มีอยู่โดยรอบภายในพระตำหนัก ทำให้ภายในตำหนักนี้มีอากาศเย็นอยู่เสมอ ป้อมนี้เคยเป็นที่ประทับของราชปุต มหาราชา และพระราชวงศ์ของอาเมร์ในอดีต



ภาพ : บริเวณพระราชวัง
 
ภาพ : สวนอารัม บักห์ ซึ่งเป็นสวนสวยจัดเป็นรูปดาวแฉกแบบโมกุล

                เราเดินจนเมื่อยขา มีสลับนั่งพักบ้าง ถ่ายรูปไปตามอัธยาศัย เผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านไปไว้เหมือนโกหก ถึงเวลาที่เราต้องลาจากที่แห่งนี้แล้วครับ  วันนี้เรายังต้องไปเที่ยวอีกหนึ่งที่ แต่ขอแวะพักทานข้าวกันก่อนนะครับ หิวแล้วววว    

               รถโค้ชพาเราวิ่งชมสองข้างทางได้ไม่นาน เราก็มาถึงอีกหนึ่งสถานที่ ที่เราควรจะมาเยี่ยมชม นั่นคือ ซิตี้ พาเลส (CITY PALACE) หรือ พระราชวังหลวง ตั้งอยู่ทางเหนือของใจกลางเมืองชัยปุระ พระราชวังได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยมหาราชาสะหวายจัย สิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh II) เพื่อเป็นที่พักผ่อน และอยู่อาศัยของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ชัยปุระ  ภายหลังได้มีการก่อสร้าง และขยายออกเพิ่มเติม ปัจจุบัน ได้รวมเป็นพิพิธภัณฑ์ Sawai Man Singh Museum ประกอบด้วย 4 ส่วนที่น่าสนใจคือ ส่วนแรกคือ ส่วนของพระราชวัง ส่วนที่สองเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงฉลองพระองค์ของกษัตริย์ และมเหสี ซึ่งมีการตัดเย็บอย่างวิจิตร ส่วนที่สามเป็นส่วนของอาวุธ และชุดศึกสงครามมากมายหลายหลาก  และส่วนสุดท้ายคือ ส่วนที่สี่ เป็นส่วนของศิลปะภาพวาด รูปถ่าย และราชรถ พรมโบราณ ซึ่งได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ 

                รูปแบบสถาปัตยกรรมแห่งนี้เป็นแบบราชปุตผสมกับโมกุล  เพราะสมัยก่อสร้างแรกๆ ขณะนั้นราชวงศ์โมกุลได้เข้ามามีอิทธิพลในรัฐราชสถาน ที่นี่มีประตูหลักอยู่สามจุดด้วยกันได้แก่ ประตูที่ 1 มีชื่อว่า ประตูอุได พอล (Udai Pol) สำหรับนักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไปสามารถเข้าออกได้  ต่อมาเป็นประตูที่ 2 มีชื่อว่า ประตูวิเลนดร้า พอล (Virendra Pol) และประตูที่ 3 ประตูสุดท้าย  มีชื่อว่า ประตูตริโปเลีย (Tripolia Gate)  มีเอาไว้สำหรับสมาชิกราชวงศ์เท่านั้น 

              นอกจากนี้เขายังมีประตูเล็กๆ อีกสี่ประตู  เพื่อเป็นตัวแทนถึงฤดูกาลทั้งสี่ ได้แก่ ประตูดอกบัว (Lotus Gate) เป็นสัญลักษณ์แทนฤดูร้อน  ,ประตูเลเรีย (Leheriya gate) แทนฤดูใบไม้ผลิ  ,ประตูนกยูงหรือ มอร์เกท (Mor Gate) แทนฤดูใบไม้ร่วง และประตูกุหลาบ (Rose Gate) แทนฤดูหนาว  อินเดียก็มีลูกเล่นเหมือนกันนะ



ภาพ : ภายใน CITY PALACE หรือ พระราชวังหลวง
 

ภาพ : ประตูดอกบัว (Lotus Gate)  วิจิตรอะไรอย่างนี้ ใช่ป่ะ
                เรามีเวลาเดินเล่นในพระราชวังแห่งนี้พอสมควร เพราะเป็นที่เที่ยวสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว พระอาทิตย์ยามบ่ายเริ่มคล้อยลงตามกาลเวลาที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดรอ ผมรู้สึกว่าวันนี้มีความสุข แม้ว่าช่วงบ่าย ๆ อากาศจะร้อนกว่าตอนเช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกร้อนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกร่มรื่น สงบ นั่นอาจเป็นเพราะเรากำลังเดินชื่นชมศิลปวัฒนธรรมของอีกชนชาติหนึ่งซึ่งเราไม่เคยพบเจอมาก่อนก็เป็นได้

                ก่อนกลับที่พัก เราได้มีโอกาสแวะ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับ 1 ของเมืองชัยปุระ นั่นคือ วัดพระพิฆเนศ Ganesh 
Temple (Moti Dungri) ไกด์เล่าให้ฟังว่า วัดนี้สร้างขึ้นโดย Seth Jai Ram Paliwal ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 พระพิฆเนศวรช้างหัวเทพในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นพระเจ้าแห่งความเป็นมงคลปัญญา ความรู้ และความมั่งคั่ง นักท่องเที่ยวทั้งชาวอินเดียและชาวต่างชาตินิยมมาไหว้ที่วัดนี้กันครับ
 
                 วันนี้เราคงนอนหลับฝันดีแน่นอน เพราะก่อนนอนเราได้ไหว้องค์พระพิฆเนศ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง และครอบครัวเรียบร้อยแล้ว  ราตรีสวัสดิ์!!!  เจอกันใหม่พรุ่งนี้เช้า.... 

Cr.  Journey..เจอนั่น  By ดช.จุ่น
บทความอื่น
      หลังม่านเหล็ก..... ดินแดนที่ต้องค้นหา? ตอนที่ 1 By ดช.จุ่น   https://pantip.com/topic/39328015
      Go SYDNEY มีดีกว่าที่คิด!!...ตอนที่ 1 By ดช.จุ่น    https://pantip.com/topic/39286867
      ปักกิ่ง เมืองต้อง (ห้าม)!! ตอนที่ 1 By ดช.จุ่น   https://pantip.com/topic/39265653
  

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่