Rajasthan India เที่ยวราชสถาน (ตอนที่ 2)

กระทู้สนทนา
Rajasthan India เที่ยวราชสถาน (ตอนที่ 2)
วันที่ 3 ( 30 Dec,2019) Jaipur  Hawa Mahal - Amber fort - Water Palace - Pushkar-Udaipur ( 427  km )
     ฮาวา มาฮาล (ฮินดี: हवा महल, อังกฤษ: Hawa Mahal, แปลว่า: "พระราชวังแห่งสายลม") เป็นพระราชวัง ตั้งอยู่ในเมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน สร้างในปี1799 โดยมหาราชาสะหวาย ประธาป สิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh) ออกแบบโดยลาล ชันด์ อุสถัด (Lal Chand Ustad) โดยถอดแบบมาจากรูปทรงของมงกุฏพระนารายณ์ โดยมีสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นคือ บริเวณด้านหน้าอาคารมีหน้าบันสูงห้าชั้นและมีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ซึ่งประกอบด้วยหน้าต่างขนาดเล็กตกแต่งด้วยลวดลายฉลุเป็นช่องลมจำนวน 953 บานโดยลายฉลุนั้นมีเพื่อนางในวังสามารถมองทะลุออกมาเห็นชีวิตภายนอกบนท้องถนนได้ ไม่มีใครสังเกตเห็นจากด้านนอก เนื่องจากนางในเหล่านั้นต้องมีความเคร่งครัดในการคลุม "ปูร์ดาห์" (หรือ ผ้าคลุมหน้า) พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยหินทรายสีชมพู และสีแดง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของชัยปุระ เป็นส่วนหนึ่งของซิตี้พาเลส (City Palace)
   พระราชวังฮาวา มาฮาลนี้ตั้งอยู่กลางใจเมือง มีถนนขนาบพระราชวัง ปัจจุบันนี้เปิดให้ชม และเป็นที่พักสุดหรูราคาคงหรูตามไปด้วย เมื่อรถจากรถแล้ว โอ้ย!!เจอแล้วแขกกับงู เห็นนั่งเป่าปี่ เรียกงูในตะกร้าออกมา งูเห่าก็ค่อย ๆชูแม่เบี้ยขึ้นมา เฮ้ย!!...เหมือนในหนังเลย ...ขยับขาออกห่างนิดหน่อย แต่ตายังจับอยู่ที่แขกและงู พอสักพักจะมีชมรมแขกและงูมารวมกลุ่มหลายตะกร้าเลย...( แขกเลี้ยงงู...งูเลี้ยงแขก...) มีคนรุมถ่ายรูปแขกและงู  รวมทั้งคู่บ่าว-สาว (หากเจอแขกกับงู...ตีใครก่อน...)
       หลังจากถ่ายรูปกันแล้วเดินทางไป Amber fort ห่างจาก พระราชวัง ฮาวา มาฮาลเพียง 8 km ใช้เวลาเพียง 20 min การขึ้นไปที่ป้อมอาแมร์ต้องเปลี่ยนเป็นรถจิ๊ป หรือนั่งช้างขึ้นไป แต่กรุ๊ปเรานั่งรปจิ๊ปคันละ  4  ขึ้น ป้อมอาแมร์สวยงามใหญ่โตมากอยู่บนเทือกเขามีกำแพงเมืองที่เป็นสันสร้างบนเทือกเขาล้อม ดูด้วยตายิ่งใหญ่มาก
     ป้อมอาเมร์ (ฮินดี: आमेर क़िला, อังกฤษ: Amer Fort) หรือ ป้อมแอมเบอร์) ตั้งอยู่ที่เมืองอาเมร์ ชานเมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย (เป็นเมืองเล็กๆที่มีขนาดเพียง 4 กม² (1.5 sq mi) ห่างจากชัยปุระเป็นระยะทาง 11 กิโลเมตร (6.8 ไมล์) ป้อมอาเมร์นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชัยปุระ โดยที่ตั้งนั้นโดดเด่นอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบ สร้างโดยมหาราชา มาน สิงห์ที่ 1 ป้อมปราการแห่งนี้มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมซึ่งผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดูและศิลปะราชปุตอันเป็นเอกลักษณ์ สามารถมองเห็นได้จากระยะทางไกลเนื่องจากมีขนาดกำแพงปราการที่ใหญ่และแน่นหนา พร้อมประตูทางเข้าหลายแห่ง ถนนที่ปูด้วยหินลายสวย ซึ่งเมื่ออยู่บนป้อมแล้วสามารถมองเห็นทะเลสาบเมาตาได้อย่างชัดเจนบริเวณด้านหน้า 
      ความสวยงามของบรรยากาศของป้อมอาเมร์นั้นซ่อนอยู่ภายในกำแพงเมืองที่แบ่งเป็นทั้งหมด 4 ชั้น (แต่ละชั้นคั่นด้วยทางเดินกว้าง) โดยภายในเป็นหมู่พระที่นั่งซึ่งสร้างจากหินทรายสีแดงและหินอ่อน หมู่พระที่นั่งภายในป้อมอาเมร์ประกอบด้วย "ดิวัน-อิ-อัม" หรือท้องพระโรง, "ดิวัน-อิ-กัส" หรือท้องพระโรงส่วนพระองค์, "ชีชมาฮาล" (พระตำหนักซึ่งเป็นห้องทรงประดับกระจกสำหรับมหาราชา) และ "จัย มานดีร์" ซึ่งเป็นตำหนักอยู่บนชั้นสอง, "อารัม บักห์" ซึ่งเป็นสวนสวยจัดเป็นรูปดาวแฉกแบบโมกุลคั่นกลางระหว่างอาคาร และ "สุกห์นิวาส" ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ใช้การปรับอากาศภายในพระตำหนักให้เย็นลงด้วยการทำให้ลมเป่าผ่านรางน้ำตกที่มีอยู่โดยรอบภายในพระตำหนัก ทำให้ภายในตำหนักนี้มีอากาศเย็นอยู่เสมอ จากลักษณะโดยรวมอันสวยงามของบริเวณภายในป้อม จึงนิยมเรียกป้อมแห่งนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "พระราชวังอาเมร์"พระราชวังในป้อมอาเมร์นี้เคยเป็นที่ประทับของราชปุต มหาราชา และพระราชวงศ์ของอาเมร์ในอดีต นอกจากนี้บริเวณประตูทางเข้าพระราชวังใกล้กับประตูกาเนช (Ganesh Gate "ประตูพระคเณศ") เป็นที่ตั้งของวัดชิลาเทวี (Sila Devi) ซึ่งภายในมีศาลบูชาพระแม่ทุรคา ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ซึ่งมหาราชา มาน สิงห์ทรงเคารพบูชาอย่างสูง เนื่องจากพระองค์ได้ทรงพระสุบินถึงพระแม่ทุรคาทูลให้ทราบว่าพระองค์จะชนะสงครามกับมหาราชาแห่งเบงกอลในปีค.ศ. 1604 ป้อมอาเมร์ และป้อมจัยการห์ ทั้งสองนั้นตั้งอยู่บนเขา "ชีลกาทีลา" (เขาแห่งอินทรี) อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาอะราวัลลี ทั้งสองป้อมนี้ถือว่าเป็นสถานที่เดียวกัน เนื่องจากสามารถเดินทางหากันได้โดยทางเชื่อมใต้ดิน ซึ่งใช้เป็นทางหลบหนีสำหรับเชื้อพระวงศ์ในกรณีที่ป้อมอาเมร์นั้นถูกยึดครอง 
     จากสถิติปีค.ศ. 2007 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมป้อมอาเมร์มีจำนวนถึง 5,000 คนต่อวัน และ 1.4 ล้านคนต่อปี
ถ่ายรูปกับไกด์อินเดีย Mr. Amed
     ถ่ายรูปกับสาวนักเต้นรำของวงดนตรีด้านล่าง เมื่อให้เงินเหมือนวงดนตรีเปิดหมวก เขาจะบรรเลงดนตรีไพเราะสนุกสนาน และมีสาวน้อยเต้นตามจังหวะดนตรี บริเวณลานด้านหน้าของพระราชวัง Amber
หลังจากนั้นลงมาจากพระราชวัง ไปถ่ายรูปที่พระราชวังกลางน้ำ แต่ที่ลานด้านหน้าท่าน้ำมีของขายเต็มเลย ประมาณตลาดนัดคลองถมที่บ้านเรา เป็นของทำมือที่ชาวบ้านมาขาย ถ่ายรูปพระราชวังเสร็จรีบมาดูของ
กลับไปที่โรงแรม รับประทานอาหารเดินทานไป พุชการ์ ( Pushkar ) ระยะทาง  150 km 4 h
       พุชการ์ (Pushkar)” เป็นเมืองเล็กๆ เมืองนึงอยู่ในจังหวัดอัจเมอร์ (Ajmer) ในแคว้นราชสถาน ภูมิประเทศของ Pushkar มีลักษณะเด่น คือเป็นทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมา Pushkar  ตำนานหลายตำนานที่กล่าวกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของทะเลสาบ Pushkar บ้างก็ว่าเป็นทะเลสาบที่พระพรหมทิ้งดอกบัวลงมายังพื้นโลก และได้เกิดเป็นทะเลสาบแห่งนี้รองรับดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้
บ้างก็ว่าเกิดจากที่พระศิวะทรงโศกเศร้าที่เสียพระมเหสีองค์แรก น้ำพระเนตรจึงหลั่งรินไปทั่ว เกิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้น 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือทะเลสาบ Pushkar และอื่นๆ อีกหลายตำนาน เป็นผลให้มีวัดฮินดูมากมายกว่า 500 วัดกระจายอยู่รอบทะเลสาบ รวมถึงทำให้เกิด “วัดพระพรหม (วัดเทพเจ้าผู้สร้าง)” แห่งเดียวในอินเดียขึ้นที่เมืองนี้ (บ้างก็บอกว่าเป็นแห่งเดียวในโลก ไม่รู้จริงไหม ....) ความเก่าแก่ของวัดพระพรหมนี้เค้าว่ายาวนานถึง 2,000 ปีเลยเชียวนะ!!!
 
    ออกจากพุชการ์เย็นมาก ต้องเดินทางไป Udaipur ระยะทาง  277  km 5.30 h วันนี้ต้องถึงที่พักดึกอีกแล้ว หนาวด้วย อย่างไรก็ตามไกด์เลยตัดสินใจกินข้าวระหว่างทาง เป็นข้าวผัดกับไก่ทอด หลังจากนั้นเดินทางไป Udaipur ถึงที่พัก 01.00 am ใครอยากกินข้าวแวะห้องอาหารโรงแรมได้ แต่เรารีบขึ้นนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก
    วันที่ 4 ( 31 Dec,2019) Udaipur - Ranakpur - Jodhpur ( 260 km )
     วันนี้ดีใจว่าจะเป็นวันเดินทางที่ ทำเวลาได้ตามกำหนด หมายถึงไม่ถึงที่พักดึกมาก เมื่อคืนไกด์บอกว่าตื่น 6.30  7.30  และ 8.30 ใจหนึ่งก็แว๊ปคิดถึงคนที่บ้าน... ปีนี้ ปีใหม่  2 ครั้ง สงกรานต์ และวันปีใหม่ (คิดแล้วก็เศร้า...)  ไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย จนมีคำพูดว่า... ปีหน้าเวลาไปไหนก็อย่าไปให้ตรงวันสงกรานต์.. เราก็สอึกเลย...คิดว่าต่อไปคงต้องงดการเดินทางในเวลาสำคัญ...
      เช้าวันนี้อากาศยังหนาวอยู่ ไกด์พาไปวัดพระวิษณุ ( วัดจักดิศ ) ก่อนไปเพราะพระราชวัง Udaipur ( City Palace) เปิดเวลา 9.00   
วัดพระกฤษณะ ต้องเดินเข้าไปในตรอก ถนนเล็ก ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์สวยงามเป็นที่นับถือของชาวฮินดู
       วัดจักดิศ (Jagdish Temple) เป็นวัดฮินดูที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอุไดปูร์ มีอายุเกือบ 400 ปี สร้างในปี ค.ศ.1651 ในสมัยของมหารานาจากัต ซิงห์ที่ 2 (Maharana Jagat Singh II) เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองเป็นอย่างมาก โดยภายในมีหินสีดำแกะสลักเป็นรูปจากานนาท ซึ่งเป็นภาคหนึ่งชองพระวิษณุ และยังมีจุดเด่นอยู่ตรงการแกะสลักผนังวัดเป็นรูปนางอัปสรา และสัตว์ลักษณะต่างๆ อย่างละเอียด ภายในวิหารไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

ต่อตอนที่ 3
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่