
“อินเดีย” อาจจะไม่ใช่ประเทศในฝันของใคร แต่ในขณะเดียวกัน ชื่อนี้ก็อาจจะเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวของใครอีกหลายๆคนเช่นกัน Rajasthan ราชาสถาน หรือแปลได้ตรงตัวคือดินแดนแห่งราชา เป็นชื่อที่เราคุ้นชินได้ยินบ่อยครั้งจากสื่อต่างๆตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นรัฐที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพื้นที่ 342,239 ตร.กม. หรือคิดเป็น 10.4% ของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ทั้งหมดของอินเดีย มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ครึ่งนึงของประเทศไทยเลยทีเดียว มีประชากรทั้งหมดเกือบๆ 70 ล้านคน ใช้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ครั้งที่เราตัดสินใจกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากทริปก่อน เราเคยไปเที่ยวเมืองชื่อดังต่างๆหลายเมืองของรัฐนี้มาบ้างแล้ว และระหว่างการเดินทางในครั้งนั้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ของรัฐนี้ น่าจะมีสถานที่น่าสนใจที่เราควรจะไปเที่ยวได้อีกเยอะ จึงตัดสินใจตอนนั้นว่าเราจะกลับไปหาข้อมูลและกลับมาเที่ยวที่ราชาสถานนี่อีกครั้ง เหตุผลส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจแบบนี้เนื่องจากชองการท่องเที่ยว เชิงประวัติศาสตร์ ชอบวัดเก่า ปราสาทหิน แห่งโบราณสถานต่างๆ ในประเทศไทยอยู่แล้วด้วย และอินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานและเยอะแยะมากมาย ระหว่างการท่องเที่ยวทริปก่อน เราได้สอบถามข้อมูลของสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวจากปากและคำบอกเล่าของคนท้องถิ่นที่เราไปเจอ จดบันทึกไว้คร่าวๆ และกลับมาศึกษาหาข้อมูล ศึกษาแผนที่และการเดินทาง เพื่อความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการเดินทาง หลังจากที่เราหาข้อมูลอยู่สักพักทำให้เราทราบว่า ราชาสถาน มีพื้นที่และสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากกว่าที่เราคิดไว้แบบจินตนาการไม่ได้เลย ใช้เวลาอยู่นานกว่าเราจะสรุปทริปในครั้งนี้ และผู้ร่วมชะตากรรมอีก 3 คน พวกเราตัดสินใจจากประสบการณ์ว่า เราจะเดินทางด้วยรถเช่าพร้อมคนขับ เพราะด้วยสถานที่ที่เราต้องการจะเดินทางไป และจำนวนสมาชิกทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเฉลี่ยกันแล้ว แถมยังสะดวกเรื่องเวลาเราสามารถวางแผนได้อีกด้วย
- การเตรียมตัว
จากประสบการณ์หลายทริปทำให้เราตัดสินใจเดินทางกลางเดือนพฤศจิกายน เนื่องด้วยฝนไม่ตกแล้ว กลางวันแดดจ้ามากก จะทำให้เราจะได้รูปถ่ายที่มีท้องฟ้าด้านหลังสวยๆ และอากาศในตอนกลางคืนไม่หนาวเกินไป เรียกได้ว่ากำลังสบายๆ หรืออีกช่วงเวลาที่แนะนำคือ ต้นเดือนมกราคม
ถึงกลางเดือนมีนาคมค่ะ
-Visa –ส่วนตัวใช้วีซ่าท่องเที่ยวแบบสติ๊กเกอร์คิดเล่ม 5 ปีค่ะ ทำทีเดียวเที่ยวให้หายบ้าไปเลย เอาให้คุ้มขี้เกียจไปขอทุกปี ราคาถูกกว่าด้วย แต่จะได้รับการอนุมัติหรือไม่แล้วแต่บุคคลนะคะ ลุ้นดีเสียวๆ 555+สมาชิกในกลุ่มที่ทั้งใช้วีซ่า ออนไลน์ และสติ๊กเกอร์ท่องเที่ยวติดเล่นแบบ 1 ปี คือจะสื่อว่าวีซ่าประเภทแบบไหนก็ได้ค่ะ ใช้ให้ถูกประเภทนะคะ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ แต่ใจความสำคัญของข้อนี้คือ ใครจะไปเที่ยวอินเดียเป็นประเทศที่ต้องขอวีซ่าค่ะ EVISA แนะนำให้ทำล่วงหน้าก่อนการเดินทางอย่างน้อย 7-10 วันค่ะ เผื่อมีข้อผิดพลาดจะได้แก้ไขทัน ( สามารถยื่นขอผ่านเว็บไซต์ได้ช้าสุด 4 วันก่อนการเดินทาง ข้อมูลล่าสุดก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 )
-ปลั๊กไฟ :ใช้ปลั๊กไฟ 2 ขาคู่กลมเล็กแบบนี้ใช้ได้ชัวร์สุด ใช้ได้แน่นอน เตรียมปลั๊กแปลงไปให้พร้อมสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ของเรานะคะ
-เงิน : RS : Rupees 1 รูปี เท่ากับประมาณ .045 บาท
-เบ็ดเตล็ด : ยาดม – สามารถช่วยชีวิตคุณได้ดีบนรถระหว่างการเดินทางและคนคับคลั่งตามสถานที่ท่องเที่ยวร้อนๆ 555+
-ทิชชู่เปียก : หน้ากากอนามัย : ยาสามัญหรือยาประจำตัวเตรียมให้พร้อมนะคะ เผื่อฉุกเฉิน
ทริค
-เวลาช้ากว่าประเทศไทย 1.5 ชั่วโมง
-แตกเงินเป็นแบงค์ย่อยถ้ามีโอกาส เช่นตามโรงแรม หรือร้านค้าใหญ่ๆ
-น้ำดื่มแนะนำน้ำที่มียี่ห้อที่เราเปิดขวดใหม่เอง หาได้ตามร้านค้าทั่วไปค่ะ หรือจะเป็นน้ำอัดลม น้ำผลไม้ก็ปลอดภัยนะ ปลอดภัยในที่นี่คือท้องไม่เสียค่ะ
-บัตรนักศึกษา และพาสปอร์ตไทยมีค่า สามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อตั๋วเข้าชมได้ในบางสถานที่
-ควรศึกษาเส้นทางการเดินทางคร่าวๆ ในการวางแผนการเดินทางเพื่อประหยัดเวลา เช็ควันเวลาเปิดปิดของสถานที่ ที่ต้องการไปเที่ยวด้วยนะคะ
-เสื้อผ้าหน้าผม : แนะนำให้แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด ท่อนล่างยาวคลุมเข่า เพราะบางสถานที่เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางศาสนา หรือเป็นสถานที่ของศาสนาต่างๆ
-บางสถานที่มีกฎที่การใส่ท่อนล่างสั้นห้ามเข้า แต่บางสถานที่ไม่มีกฎแต่เราควรจะให้ความเคารพและให้เกียรติสถานที่ค่ะ
-รองเท้าแนะนำรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าใส่สบายๆ ที่สามารถใส่เดินไกลๆ เยอะๆ ได้เท่านั้น เพราะเราต้องลุยกันหนักมากก ^^*

** เส้นทางการเดินทางของเราในทริปนี้นะคะ
การเดินทาง
-การเดินทางครั้งนี้เรามีสมาชิกทั้งหมด 4 คน เราเลือกเหมารถแท็กซี่พร้อมคนขับ ครั้งนี้เราใช้รถ TOYOTA INNOVA
9 วัน 6 เมือง ด้วยราคา 37,800 รูปี รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว ทั้งน้ำมันรถ ค่าจอดรถตามสถานที่ และค่าผ่านทางพิเศษระหว่างเมือง
ตารางการเดินทาง
DAY1 : Air asia : DMK-JAI เที่ยวบิน 17:45- 20:50
DAY 2 : Jal Mahal , Panna Meena Kund Step Well , Amber Fort , Jaigarh Fort , Nahargarh Fort , Albert Hall Museum Night View
DAY 3 : Birla Mandir ( Lakshmi Narayan Temple) , Ganesh Temple
( Moti Dungri Ganesh Ji Temple ) Hawa Mahal Day View , City Palace , Jantra Mantra , Hawa Mahal Night view
DAY 4 : Pushkar City Tour , Pushkar Lake
DAY 5 : Ajmer , Chittorgarh Fort
DAY 6 : Chittorgarh Fort , Mewar ( Kumbhalgarh Fort )
DAY 7 : Kumbhalgarh Fort , Udaipur
DAY 8 : Lake Pichola , Udaipur City Palace , Sajjangarh Palace , Saheliyon ki Bari , Maharana Pratap Smarak , Jodhpur
DAY 9 : Jodhpur blue Village , City tour , Mehrangarh Fort , Jaipur
Day 10 : Monkey Temple (Galta Ji Temple) Albert Hall Day View , Pratika Gate + Jawar Circle , Shopping Local Market , BKK
ระยะทาง
Jaipur -- > Pushkar – 146 km. / 3 Hr.
Pushkar -- > Ajmer - 16 km. / 35 Min
Ajmer -- > Chittorgarh – 197km. / 5 Hr.
Chittogarh --> Kumbhalgarh – 152 km. / 3.4 Hr.
Kumbhalgarh --> Udaipur – 86 km. / 2.2 Hr
Udaipur --> Jodhpur – 250 km. / 4.5 Hr
Jodhpur --> Jaipur – 353 km. / 6 Hr
รวมเส้นทางระหว่างเมืองประมาณ 1,200 km. ไม่รวมการเดินทางที่เราใช้เที่ยวในเมืองต่างๆ
มีทริปอื่นๆ อีกหลายทริปที่เคยเขียนไว้ สนใจอ่านเพิ่มเติม ตามไปที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/taluiindia
DAY1 : เราเดินทางด้วยสายการบิน แอร์เอเชีย จากสนามบินดอนเมือง ไปยังสนามบินชัยปุระ และไปโรงแรม ด้วย Uber Taxi (แนะนำว่าให้แจ้งวันเดินทางและเวลาที่คาดว่าจะเดินทางถึงและไปเช็คอินไว้กับทางโรงแรมด้วยนะคะ ) เพราะบางโรงแรม มีการปิดประตูโรงแรมนอน 555 ใช่ค่ะ พนักงานปิดโรงแรมนอน ปิด Lobby เอาที่นอนมาปูนอนกันเกลื่อนไปหมด วันแรกมาถึงก็มีเรื่องให้เรายิ้มได้เลย
Day 2 : 9 Am วันนี้เรานัดรถให้มารับพวกเราออกเดินทางเพื่อไปเที่ยวภายในเมืองชัยปุระกัน พี่คนขับรถพาเราแวะทานอาหารเช้า เป็นร้าน Local ข้างทาง อาหารเช้าของเราวันนี้เป็นสไตล์อินเดียค่ะ CHAI Parathar และ โยเกิร์ต หลังจากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าออกไปทางนอกเมืองเพื่อขึ้นเราไปเที่ยวชมป้อมปราการ ระหว่างทางเราแวะชมบรรยากาศยามเช้าและถ่ายรูป ที่ทะเลสาบ Man Sagar ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Jal Mahal หรือ พระราชวังฤดูร้อน ที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ สถานที่นี้เราไม่สามารถเข้าชมภายในได้ค่ะ ทำได้แค่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆ ถ่ายรูปมุมไกลๆ 55 + จากนั้นเราก็เดินทางต่อค่ะ แวะถ่ายรูปอีกครั้งที่ลานจอดรถหรือที่พักรถอะไรสักอย่าง ที่จะเห็นวิว Amber Fort ทั้งหมดจากทางด้านหน้าของป้อมปราการ จากนั้นไปต่อที่เลย พวกเราไม่ขึ้นช้างเพื่อขึ้นไปบนป้อม ถ้าใครสนใจอยากนั่งบนหลังช้างให้ไปที่จุดขึ้นช้างด้านหน้าป้อมระหว่างเวลา 8 โมงเช้าถึงเที่ยงนะคะ แต่พวกเราตัดสินใจว่าเราจะขึ้นไปบนป้อมด้านหลังด้วยรถยนต์ หรือถ้าใครมีเวลามากพอ สามารถเดินขึ้นจากทางด้านหน้าของป้อมได้นะคะ คุณจะได้วิวในมุมต่างกันออกไปอีก เป้าหมายต่อไปของเราคือ Panna Meena Kund Step Well หรือบ่อเก็บน้ำอันมีชื่อเสียงของเมืองนี้ อยู่ไม่ไกลจากป้อมปราการ อยู่ระหว่างทางผ่านที่เราจะขึ้นไปทางด้านหลังของป้อม เราใช้เวลาถ่ายรูปที่บ่อเก็บน้ำประมาณ 20 นาที และไปต่อกัน ไม่นานเราก็ถึงลานจอดรถด้านหลังของป้อม แต่เรายังต้องเดินไปต่ออีกเผื่อถึงตัวป้อมปราการและที่ขายตั๋วภายใน ซื้อตั๋วแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปอีกกว่าจะถึงตัวป้อม ไอเรื่องความยิ่งใหญ่ต้องยกให้พี่อินเค้าแหล่ะ จากบนป้อมเราจะสามารถเห็นวิวภูเขาฝั่งตรงข้ามได้ด้วย เราใช้เวลาเที่ยวด้านในของตัวป้อมกันอยู่ประมาณ 2 ชม. เราก็กลับออกมา และแวะพักทานอาหารเที่ยงกันที่ คาเฟ่ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามป้อม แนะนำเลยค่า วิวดี อาหารดี ร้านเย็นสบาย สามารถมองเห็นป้อมจากทางหน้าระเบียงของร้านอีกด้วยนะคะ ได้รูปสวยๆ จากด้านหน้าของป้อมจากระยะไกลด้วยนะคะ แนะนำให้ทานอาหารกลางวันก่อนขึ้นไปบนป้อมปราการต่อๆไปบนเขานะคะ หลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จพวกเราก็มุ่งหน้าขึ้นเขาไปที่ Jaigarh Fort หรือป้อมเสือ กันเลยค่ะ บนป้อมนี้มีปืนใหญ่ที่มีชื่อว่า Jaivana ถูกสร้างขึ้นในปี 1720 โดยราชา Sawai Jai Singh ที่ 2 เป็นปืนใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนล้อ 4 ล้อ ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ลำกล้องของปืนใหญ่มีขนาดความยาว 6.15 m. มีน้ำหนักถึง 50 ตัน และตัวลำกล้องของปืนใหญ่ ไม่เพียงถูกหล่อขึ้นจากโลหะที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียว ยังมีการตกแต่งทีประณีตด้วยลวดลายสวยงามอีกด้วย ในการยิงกระสุน 1 นัด จะต้องใช้ดินปืนหนัก 100 กก. เพื่อใช้ยิงกระสุนปืนใหญ่ที่กระสุนแต่ละนัดมีน้ำหนัก 50 กก. ที่สำคัญตามตำนานเล่าขานกันว่าในการยิงแต่ละครั้ง สามารถยิงกระสุนได้ระยะทางไกลกว่า 40 กม. เลยทีเดียว ลองจินตนาการความยิ่งใหญ่นะคะ นอกจากเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ใกล้กันเรายังสามารถมองลงไปเห็นวิวที่ทะเลสาบ และพระราชวังฤดูร้อน Jal Mahal ได้อีกด้วยค่ะ ส่วนด้านในของป้อมปราการยังมีการเนรมิตสวนย่อมขาดใหญ่สวยงามไว้ตรงกลางอีกด้วย สวนถูกห้อมล้อมไว้ด้วยพระตำหนักทั้ง 4 แต่เสียดายที่สวยไม่ได้ถูกอนุญาตให้ลงไปเที่ยวชม ทำได้เพียงมองจากด้านบนมุมสูงเท่านั้น ด้านหลังของป้อมเสือ เราสามารถมองเห็นทะเลสาย เมาตา ที่มีหุบเขาล้อมรอบ และแนวกำแพงที่เชื่อมกับแนวกำแพงของป้อม Amber อีกด้วย ภายในป้อมยังมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นที่รวมพล โรงงานผลิตอาวุธ และยังเชื่อกันว่ามีทางเชื่อมจากป้อมแห่งนี้ไปยังป้อม Amber ได้อีกด้วย เราใช้เวลากันที่นี่ไม่น้อย และสถานที่ต่อไปที่เป็นจุดหมายของเราก็คือ ป้อมปราการที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนภูเขาแห่งนี้ เพื่อเที่ยวชมภายใน และเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นั่น ใช้เวลาเดินทางตามถนนขึ้นเขามาไม่นานมากจากป้อม Jaigarh ก็ถึงป้อม Nahargarh ด้านหน้าของป้อมนี้ มีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ร้านอาหาร แต่ที่เราสนใจคือ ตรงข้ามก่อนเข้าด้านขวามือ ของตัวป้อมปราการมี Step Well บ่อเก็บน้ำขนาดเล็กตั้งอยู่ด้วย อย่าลืมแวะชมกันนะคะ บ่อเก็บน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามสไตล์พี่อินเดียเค้าแหล่ะ ต้องมีขั้นบันไดเยอะๆ เผื่อให้เดินลงไปตักน้ำได้ถึงก้นบ่อ จาหน้าตาของบ่อเก็บน้ำที่นี่แตกต่างจากทุกที่นะคะ ขั้นบันไดถูกสร้างให้โค้งเรียงตัวทอดยาวตามรูปทางของบ่อและมีขนาดเล็กมากๆเรียงซ้อนกัน แต่เราไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมได้นะคะ ทำได้เพียงแค่ยืนมองจากด้านบนของบ่อเท่านั้น
[CR] หลงรักราชสถาน Rajasthan Fall In Love
“อินเดีย” อาจจะไม่ใช่ประเทศในฝันของใคร แต่ในขณะเดียวกัน ชื่อนี้ก็อาจจะเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวของใครอีกหลายๆคนเช่นกัน Rajasthan ราชาสถาน หรือแปลได้ตรงตัวคือดินแดนแห่งราชา เป็นชื่อที่เราคุ้นชินได้ยินบ่อยครั้งจากสื่อต่างๆตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นรัฐที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพื้นที่ 342,239 ตร.กม. หรือคิดเป็น 10.4% ของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ทั้งหมดของอินเดีย มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ครึ่งนึงของประเทศไทยเลยทีเดียว มีประชากรทั้งหมดเกือบๆ 70 ล้านคน ใช้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ครั้งที่เราตัดสินใจกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากทริปก่อน เราเคยไปเที่ยวเมืองชื่อดังต่างๆหลายเมืองของรัฐนี้มาบ้างแล้ว และระหว่างการเดินทางในครั้งนั้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ของรัฐนี้ น่าจะมีสถานที่น่าสนใจที่เราควรจะไปเที่ยวได้อีกเยอะ จึงตัดสินใจตอนนั้นว่าเราจะกลับไปหาข้อมูลและกลับมาเที่ยวที่ราชาสถานนี่อีกครั้ง เหตุผลส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจแบบนี้เนื่องจากชองการท่องเที่ยว เชิงประวัติศาสตร์ ชอบวัดเก่า ปราสาทหิน แห่งโบราณสถานต่างๆ ในประเทศไทยอยู่แล้วด้วย และอินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานและเยอะแยะมากมาย ระหว่างการท่องเที่ยวทริปก่อน เราได้สอบถามข้อมูลของสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวจากปากและคำบอกเล่าของคนท้องถิ่นที่เราไปเจอ จดบันทึกไว้คร่าวๆ และกลับมาศึกษาหาข้อมูล ศึกษาแผนที่และการเดินทาง เพื่อความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการเดินทาง หลังจากที่เราหาข้อมูลอยู่สักพักทำให้เราทราบว่า ราชาสถาน มีพื้นที่และสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากกว่าที่เราคิดไว้แบบจินตนาการไม่ได้เลย ใช้เวลาอยู่นานกว่าเราจะสรุปทริปในครั้งนี้ และผู้ร่วมชะตากรรมอีก 3 คน พวกเราตัดสินใจจากประสบการณ์ว่า เราจะเดินทางด้วยรถเช่าพร้อมคนขับ เพราะด้วยสถานที่ที่เราต้องการจะเดินทางไป และจำนวนสมาชิกทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเฉลี่ยกันแล้ว แถมยังสะดวกเรื่องเวลาเราสามารถวางแผนได้อีกด้วย
- การเตรียมตัว
จากประสบการณ์หลายทริปทำให้เราตัดสินใจเดินทางกลางเดือนพฤศจิกายน เนื่องด้วยฝนไม่ตกแล้ว กลางวันแดดจ้ามากก จะทำให้เราจะได้รูปถ่ายที่มีท้องฟ้าด้านหลังสวยๆ และอากาศในตอนกลางคืนไม่หนาวเกินไป เรียกได้ว่ากำลังสบายๆ หรืออีกช่วงเวลาที่แนะนำคือ ต้นเดือนมกราคม
ถึงกลางเดือนมีนาคมค่ะ
-Visa –ส่วนตัวใช้วีซ่าท่องเที่ยวแบบสติ๊กเกอร์คิดเล่ม 5 ปีค่ะ ทำทีเดียวเที่ยวให้หายบ้าไปเลย เอาให้คุ้มขี้เกียจไปขอทุกปี ราคาถูกกว่าด้วย แต่จะได้รับการอนุมัติหรือไม่แล้วแต่บุคคลนะคะ ลุ้นดีเสียวๆ 555+สมาชิกในกลุ่มที่ทั้งใช้วีซ่า ออนไลน์ และสติ๊กเกอร์ท่องเที่ยวติดเล่นแบบ 1 ปี คือจะสื่อว่าวีซ่าประเภทแบบไหนก็ได้ค่ะ ใช้ให้ถูกประเภทนะคะ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ แต่ใจความสำคัญของข้อนี้คือ ใครจะไปเที่ยวอินเดียเป็นประเทศที่ต้องขอวีซ่าค่ะ EVISA แนะนำให้ทำล่วงหน้าก่อนการเดินทางอย่างน้อย 7-10 วันค่ะ เผื่อมีข้อผิดพลาดจะได้แก้ไขทัน ( สามารถยื่นขอผ่านเว็บไซต์ได้ช้าสุด 4 วันก่อนการเดินทาง ข้อมูลล่าสุดก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 )
-ปลั๊กไฟ :ใช้ปลั๊กไฟ 2 ขาคู่กลมเล็กแบบนี้ใช้ได้ชัวร์สุด ใช้ได้แน่นอน เตรียมปลั๊กแปลงไปให้พร้อมสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ของเรานะคะ
-เงิน : RS : Rupees 1 รูปี เท่ากับประมาณ .045 บาท
-เบ็ดเตล็ด : ยาดม – สามารถช่วยชีวิตคุณได้ดีบนรถระหว่างการเดินทางและคนคับคลั่งตามสถานที่ท่องเที่ยวร้อนๆ 555+
-ทิชชู่เปียก : หน้ากากอนามัย : ยาสามัญหรือยาประจำตัวเตรียมให้พร้อมนะคะ เผื่อฉุกเฉิน
ทริค
-เวลาช้ากว่าประเทศไทย 1.5 ชั่วโมง
-แตกเงินเป็นแบงค์ย่อยถ้ามีโอกาส เช่นตามโรงแรม หรือร้านค้าใหญ่ๆ
-น้ำดื่มแนะนำน้ำที่มียี่ห้อที่เราเปิดขวดใหม่เอง หาได้ตามร้านค้าทั่วไปค่ะ หรือจะเป็นน้ำอัดลม น้ำผลไม้ก็ปลอดภัยนะ ปลอดภัยในที่นี่คือท้องไม่เสียค่ะ
-บัตรนักศึกษา และพาสปอร์ตไทยมีค่า สามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อตั๋วเข้าชมได้ในบางสถานที่
-ควรศึกษาเส้นทางการเดินทางคร่าวๆ ในการวางแผนการเดินทางเพื่อประหยัดเวลา เช็ควันเวลาเปิดปิดของสถานที่ ที่ต้องการไปเที่ยวด้วยนะคะ
-เสื้อผ้าหน้าผม : แนะนำให้แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด ท่อนล่างยาวคลุมเข่า เพราะบางสถานที่เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางศาสนา หรือเป็นสถานที่ของศาสนาต่างๆ
-บางสถานที่มีกฎที่การใส่ท่อนล่างสั้นห้ามเข้า แต่บางสถานที่ไม่มีกฎแต่เราควรจะให้ความเคารพและให้เกียรติสถานที่ค่ะ
-รองเท้าแนะนำรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าใส่สบายๆ ที่สามารถใส่เดินไกลๆ เยอะๆ ได้เท่านั้น เพราะเราต้องลุยกันหนักมากก ^^*
** เส้นทางการเดินทางของเราในทริปนี้นะคะ
การเดินทาง
-การเดินทางครั้งนี้เรามีสมาชิกทั้งหมด 4 คน เราเลือกเหมารถแท็กซี่พร้อมคนขับ ครั้งนี้เราใช้รถ TOYOTA INNOVA
9 วัน 6 เมือง ด้วยราคา 37,800 รูปี รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว ทั้งน้ำมันรถ ค่าจอดรถตามสถานที่ และค่าผ่านทางพิเศษระหว่างเมือง
ตารางการเดินทาง
DAY1 : Air asia : DMK-JAI เที่ยวบิน 17:45- 20:50
DAY 2 : Jal Mahal , Panna Meena Kund Step Well , Amber Fort , Jaigarh Fort , Nahargarh Fort , Albert Hall Museum Night View
DAY 3 : Birla Mandir ( Lakshmi Narayan Temple) , Ganesh Temple
( Moti Dungri Ganesh Ji Temple ) Hawa Mahal Day View , City Palace , Jantra Mantra , Hawa Mahal Night view
DAY 4 : Pushkar City Tour , Pushkar Lake
DAY 5 : Ajmer , Chittorgarh Fort
DAY 6 : Chittorgarh Fort , Mewar ( Kumbhalgarh Fort )
DAY 7 : Kumbhalgarh Fort , Udaipur
DAY 8 : Lake Pichola , Udaipur City Palace , Sajjangarh Palace , Saheliyon ki Bari , Maharana Pratap Smarak , Jodhpur
DAY 9 : Jodhpur blue Village , City tour , Mehrangarh Fort , Jaipur
Day 10 : Monkey Temple (Galta Ji Temple) Albert Hall Day View , Pratika Gate + Jawar Circle , Shopping Local Market , BKK
ระยะทาง
Jaipur -- > Pushkar – 146 km. / 3 Hr.
Pushkar -- > Ajmer - 16 km. / 35 Min
Ajmer -- > Chittorgarh – 197km. / 5 Hr.
Chittogarh --> Kumbhalgarh – 152 km. / 3.4 Hr.
Kumbhalgarh --> Udaipur – 86 km. / 2.2 Hr
Udaipur --> Jodhpur – 250 km. / 4.5 Hr
Jodhpur --> Jaipur – 353 km. / 6 Hr
รวมเส้นทางระหว่างเมืองประมาณ 1,200 km. ไม่รวมการเดินทางที่เราใช้เที่ยวในเมืองต่างๆ
มีทริปอื่นๆ อีกหลายทริปที่เคยเขียนไว้ สนใจอ่านเพิ่มเติม ตามไปที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/taluiindia
DAY1 : เราเดินทางด้วยสายการบิน แอร์เอเชีย จากสนามบินดอนเมือง ไปยังสนามบินชัยปุระ และไปโรงแรม ด้วย Uber Taxi (แนะนำว่าให้แจ้งวันเดินทางและเวลาที่คาดว่าจะเดินทางถึงและไปเช็คอินไว้กับทางโรงแรมด้วยนะคะ ) เพราะบางโรงแรม มีการปิดประตูโรงแรมนอน 555 ใช่ค่ะ พนักงานปิดโรงแรมนอน ปิด Lobby เอาที่นอนมาปูนอนกันเกลื่อนไปหมด วันแรกมาถึงก็มีเรื่องให้เรายิ้มได้เลย
Day 2 : 9 Am วันนี้เรานัดรถให้มารับพวกเราออกเดินทางเพื่อไปเที่ยวภายในเมืองชัยปุระกัน พี่คนขับรถพาเราแวะทานอาหารเช้า เป็นร้าน Local ข้างทาง อาหารเช้าของเราวันนี้เป็นสไตล์อินเดียค่ะ CHAI Parathar และ โยเกิร์ต หลังจากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าออกไปทางนอกเมืองเพื่อขึ้นเราไปเที่ยวชมป้อมปราการ ระหว่างทางเราแวะชมบรรยากาศยามเช้าและถ่ายรูป ที่ทะเลสาบ Man Sagar ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Jal Mahal หรือ พระราชวังฤดูร้อน ที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ สถานที่นี้เราไม่สามารถเข้าชมภายในได้ค่ะ ทำได้แค่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆ ถ่ายรูปมุมไกลๆ 55 + จากนั้นเราก็เดินทางต่อค่ะ แวะถ่ายรูปอีกครั้งที่ลานจอดรถหรือที่พักรถอะไรสักอย่าง ที่จะเห็นวิว Amber Fort ทั้งหมดจากทางด้านหน้าของป้อมปราการ จากนั้นไปต่อที่เลย พวกเราไม่ขึ้นช้างเพื่อขึ้นไปบนป้อม ถ้าใครสนใจอยากนั่งบนหลังช้างให้ไปที่จุดขึ้นช้างด้านหน้าป้อมระหว่างเวลา 8 โมงเช้าถึงเที่ยงนะคะ แต่พวกเราตัดสินใจว่าเราจะขึ้นไปบนป้อมด้านหลังด้วยรถยนต์ หรือถ้าใครมีเวลามากพอ สามารถเดินขึ้นจากทางด้านหน้าของป้อมได้นะคะ คุณจะได้วิวในมุมต่างกันออกไปอีก เป้าหมายต่อไปของเราคือ Panna Meena Kund Step Well หรือบ่อเก็บน้ำอันมีชื่อเสียงของเมืองนี้ อยู่ไม่ไกลจากป้อมปราการ อยู่ระหว่างทางผ่านที่เราจะขึ้นไปทางด้านหลังของป้อม เราใช้เวลาถ่ายรูปที่บ่อเก็บน้ำประมาณ 20 นาที และไปต่อกัน ไม่นานเราก็ถึงลานจอดรถด้านหลังของป้อม แต่เรายังต้องเดินไปต่ออีกเผื่อถึงตัวป้อมปราการและที่ขายตั๋วภายใน ซื้อตั๋วแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปอีกกว่าจะถึงตัวป้อม ไอเรื่องความยิ่งใหญ่ต้องยกให้พี่อินเค้าแหล่ะ จากบนป้อมเราจะสามารถเห็นวิวภูเขาฝั่งตรงข้ามได้ด้วย เราใช้เวลาเที่ยวด้านในของตัวป้อมกันอยู่ประมาณ 2 ชม. เราก็กลับออกมา และแวะพักทานอาหารเที่ยงกันที่ คาเฟ่ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามป้อม แนะนำเลยค่า วิวดี อาหารดี ร้านเย็นสบาย สามารถมองเห็นป้อมจากทางหน้าระเบียงของร้านอีกด้วยนะคะ ได้รูปสวยๆ จากด้านหน้าของป้อมจากระยะไกลด้วยนะคะ แนะนำให้ทานอาหารกลางวันก่อนขึ้นไปบนป้อมปราการต่อๆไปบนเขานะคะ หลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จพวกเราก็มุ่งหน้าขึ้นเขาไปที่ Jaigarh Fort หรือป้อมเสือ กันเลยค่ะ บนป้อมนี้มีปืนใหญ่ที่มีชื่อว่า Jaivana ถูกสร้างขึ้นในปี 1720 โดยราชา Sawai Jai Singh ที่ 2 เป็นปืนใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนล้อ 4 ล้อ ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ลำกล้องของปืนใหญ่มีขนาดความยาว 6.15 m. มีน้ำหนักถึง 50 ตัน และตัวลำกล้องของปืนใหญ่ ไม่เพียงถูกหล่อขึ้นจากโลหะที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียว ยังมีการตกแต่งทีประณีตด้วยลวดลายสวยงามอีกด้วย ในการยิงกระสุน 1 นัด จะต้องใช้ดินปืนหนัก 100 กก. เพื่อใช้ยิงกระสุนปืนใหญ่ที่กระสุนแต่ละนัดมีน้ำหนัก 50 กก. ที่สำคัญตามตำนานเล่าขานกันว่าในการยิงแต่ละครั้ง สามารถยิงกระสุนได้ระยะทางไกลกว่า 40 กม. เลยทีเดียว ลองจินตนาการความยิ่งใหญ่นะคะ นอกจากเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ใกล้กันเรายังสามารถมองลงไปเห็นวิวที่ทะเลสาบ และพระราชวังฤดูร้อน Jal Mahal ได้อีกด้วยค่ะ ส่วนด้านในของป้อมปราการยังมีการเนรมิตสวนย่อมขาดใหญ่สวยงามไว้ตรงกลางอีกด้วย สวนถูกห้อมล้อมไว้ด้วยพระตำหนักทั้ง 4 แต่เสียดายที่สวยไม่ได้ถูกอนุญาตให้ลงไปเที่ยวชม ทำได้เพียงมองจากด้านบนมุมสูงเท่านั้น ด้านหลังของป้อมเสือ เราสามารถมองเห็นทะเลสาย เมาตา ที่มีหุบเขาล้อมรอบ และแนวกำแพงที่เชื่อมกับแนวกำแพงของป้อม Amber อีกด้วย ภายในป้อมยังมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นที่รวมพล โรงงานผลิตอาวุธ และยังเชื่อกันว่ามีทางเชื่อมจากป้อมแห่งนี้ไปยังป้อม Amber ได้อีกด้วย เราใช้เวลากันที่นี่ไม่น้อย และสถานที่ต่อไปที่เป็นจุดหมายของเราก็คือ ป้อมปราการที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนภูเขาแห่งนี้ เพื่อเที่ยวชมภายใน และเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นั่น ใช้เวลาเดินทางตามถนนขึ้นเขามาไม่นานมากจากป้อม Jaigarh ก็ถึงป้อม Nahargarh ด้านหน้าของป้อมนี้ มีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ร้านอาหาร แต่ที่เราสนใจคือ ตรงข้ามก่อนเข้าด้านขวามือ ของตัวป้อมปราการมี Step Well บ่อเก็บน้ำขนาดเล็กตั้งอยู่ด้วย อย่าลืมแวะชมกันนะคะ บ่อเก็บน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามสไตล์พี่อินเดียเค้าแหล่ะ ต้องมีขั้นบันไดเยอะๆ เผื่อให้เดินลงไปตักน้ำได้ถึงก้นบ่อ จาหน้าตาของบ่อเก็บน้ำที่นี่แตกต่างจากทุกที่นะคะ ขั้นบันไดถูกสร้างให้โค้งเรียงตัวทอดยาวตามรูปทางของบ่อและมีขนาดเล็กมากๆเรียงซ้อนกัน แต่เราไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมได้นะคะ ทำได้เพียงแค่ยืนมองจากด้านบนของบ่อเท่านั้น
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้