เมื่อเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของศัตรูโมกุล นั่นคือช่วงเวลาที่ผู้หญิงที่กล้าหาญตระกูลราชปุต ได้แสดงความกล้าหาญทางวัฒนธรรมแทนที่จะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้และการล่วงละเมิดจากศัตรู
Jauhar (บางครั้งสะกดว่า Juhar หรือ จอฮาร์ Jowhar) เป็นประเพณีของการปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากชะตากรรมแห่งพันธณาการหมู่ (ไม่เรียกว่าการฆ่าตัวตาย) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในอาณาจักรรของราชสกุลราชปุตหลังจากการพ่ายแพ้ของกษัตริย์
พระราชวังราชปุตโบราณทุกแห่งล้วนต้องมี Jauhar Kund ซึ่งมีลักษณะคล้ายหลุมถังสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ขุดลึกลงไปในพื้นดินคล้ายห้องโถงเพื่อไว้ทำพิธีจอฮาร์หากเกิดการแพ้สงคราม.........
หลังจากทำพิธีกรรมพระเวทย์ที่สำคัญแล้วพระราชินีจะเป็นผู้เดินนำขบวนกระโจนเข้าไปใน Jauhar Kund พร้อมกับลูก ๆ บรรดานางในวังทั้งหมดที่สามีร่วมรบในสงครามจะทยอยกันเดินตามเข้าไปในหลุมไฟดังกล่าว ดังคลิปฉากสุดท้ายในภาพยนต์ ปัทมะวตี
รานี ปัทมวตีเป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่า "เฮเลนออฟทรอยด์ของอินเดีย" แรกเกิดมีพระนามว่า ปัทมิณี ทรงเป็นพระธิดาของกษัตริย์แห่งอาณาจักรสิงหลหรือปัจจุบันคือศรีลังกา ซึ่งความงามของเธอโด่งดังมากเป็นอันดับต้นๆของหญิงงามในประวัติศาสตร์อินเดียเลยทีเดียวจนแม้แต่กษัตริย์ต่างแดนไม่ว่าจะทั้งชาวเปอร์เชียหรือพวกมองโกลเติร์กต่างหมายปองมาเป็นคูครอง แต่พระนางเลือกที่จะตอบตกลงเป็นมเหสีของชาวอินเดียด้วยกันคือเจ้าเมืองหน้าด่านของอาณาจักรราชปุต ราชารัตทาน ซึ่งทรงได้ยินกิตติศัพท์ความงามของเธอผ่านทางนกแก้วแสนรู้ที่พราหมณ์นำมาถวายให้
ภาพจากภาพยนต์ที่แสดงให้เห็นความใจเด็ดของรานีปัทมวตีที่เดินลงลุมไฟ จอฮาร์ กูน
ด้วยรอมยิ้มผิดกับสาวชาวบ้านทั่วไปที่ต่างตื่นกลัวพิธีที่แสนทรมานนี้
นกแก้วแสนรู้นั้น เดิมเป็นนกที่ราชกุมารีปัทมินีทรงเลี้ยงไว้มีชื่อว่า หิระมณี แต่พระบิดาทรงหวงพระธิดามากและไม่แม้แต่จะอยากให้ลูกสาวแต่งงานออกเรือนหรือสนิทสนมกับใครจึงปล่อยนกแก้วไปเพราะเห็นว่านกพูดมาก ซึ่งในภายหลังนกตัวนี้ถูกคนจับนกขายจับเอาไว้ได้ และขายต่อให้พราหมณ์ชาวราชปุตที่นำนกมาถวายให้กษัตริย์ราชปุตราชารัตทาน.....พระองค์จึงได้ยินนกแก้วตัวนี้บอกเล่าถึงความงามของปัทมิณีจนทรงอยากอภิเษกกับนาง
ทรงปลอมตัวมาพร้อมทหารดั้นด่นพากองทหารไปยลความงามนางถึงศรีลังกาจนโดนจับเข้าคุกกันทั้งขบวนพระองค์และนายทหาร
และเกือบโดนโทษประหารชีวิตแต่กวีหลวงได้รายงานแก่ผู้คุมนักโทษว่าทรงเป็นกษัตริย์ราชปุตปลอมตัวมาเพื่อยลความงามพระธิดา พระบิดาของปัทมิณีจึงทรงปล่อยพระองค์และพรรคพวกผู้ติดตาม
ในที่สุดบิดานางจึงทรงยกพระธิดาปัทมิณีให้พร้อมยกนางในวังอีก 1หมื่น6 พันคนให้ติดตามนางไปรับใช้ที่เมืองจิตตอครณ์ chittiorgash หรือเรียกสั้นๆเมืองจิตตอในราชาสถาน ราชารัตทานได้ทรงอัญเชิญพระนางปัทมิณีขึ้นมาอภิเษกที่อาณจักรราชปุตซึ่งเป็นแคว้นทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียหลังอภิเษกพระนางได้กลายเป็นกุลสตรีแห่งราชปุตและรู้จักในนามรานีปัทมวตี....มเหสีองค์ที่สองรองจากพระนางนาคมาตีรานีองค์แรก
ในเวลาต่อมารักกาพพราหมณ์คนหนึ่งผู้ทรยศได้ฉ้อโกงในวังหลวง เขาจึงถูกโทษเนรเทศออกนอกเมืองแทนการประหารเพราะตามความเชื่อฮินดูกษัตริย์ไม่สามารสั่งประหารพราหมณ์ได้เพราะถือว่าเป็นวรรณะสูงสุดสืบทอดสายเลือดมาจากพระพรหมต้องให้เกียรติและหากสั่งประหารพราหมณ์จะเป็นบาปมหันต์และเกิดอาเพศ พราหมณ์ผู้ทรยศเคืองแค้นราชารัตทานที่เนรเทศเขาออกจากวังและเกลียดปัทมวตีที่เป็นหญิงฉลาดและมีอำนาจเหนือราชารัตทานที่ฟังนางมากกว่าตนหลังอภิเษกเข้าราชปุตมา พราหมณ์ผู้เคืองแค้น จึงวางแผนเข้าไปทำงานในราชสำนักของสุลต่าน อะลาอุดดิน แห่งเดลฮีที่เป็นพวกโมกุลและพยามปั่นหูกษัตริย์มุสลิมถึงความงามที่สุดในโลกของรานีปัทมะวตีมเหสีองค์ใหม่ของราชปุตอะลาอุดดิน จึงได้ขอบรรณาการจากราชารัตทานเป็นมเหสีองค์ใหม่ปัทมะวตีแต่ถูกปฏิเสธ .....อะลาอุดดินจึงใช้แผนหลอกจับตัวราชารัตทานไว้ปัทมะวตีจึงส่งสายลับของวัง2นายคือโกราและบาดาลและทหารอีก7คนปลอมตัวใส่ชุดส่าหรีมีผ้าคลุมหน้าแอบเข้าวังคาลิด อะลาอุดดินเพื่อไปช่วยพระสวามีนางออกจากคุกของจนสำเร็จแต่ระหว่างทางกลับที่ต้องต่อสู้กับคนของอะลาอุดดิน โกราถูกฆ่าตายรอดมาได้แต่องค์ราชากับบาดาลเท่านั้น
ในระหว่างที่ราชารัตทานถูกคุมขังในคุกสุลต่านเดลฮี ราชาเทพปาล เจ้าเมืองกุมพันเนอร์ซึ่งเป็นอาณาจักรเพื่อนบ้านที่เป็นพระญาติสกุลราชปุตก็หลงรักปัทะมวตีเช่นกันและพยามขอนางอภิเษก พอราชารัตทานกลับรอดมาได้จากคุกสุลต่าน เดลฮีจึงต่อสู้กับราชาเทพปาลที่มาหยามเกียรติ ในเวลานั้นคาลิด สุลต่าน อะลาอุดดินจึงได้โอกาสบุกโจมตีเมืองจิตตอ chittor เพื่อชิงตัวปัทมวตีในขณะที่ราชารัตทานและราชาเทพปาลสิ้นชีพจากการต่อสู้ชิงตัวปัทมวตี พระนางปัทมวตีและ พระนางนาคมาตีพระมเหสีเอกจึงทำการนำนางในวังที่สามีออกรบและตายในสมรภูมิทำพิธีจอฮาร์เข้าสู่หลุมเพลิงที่เรียก จอฮาร์ กูน jauhar kund ยามที่อะลาอุดดินมาถึงไม่พบสตรีแม้แต่คนเดียวในพระราชวังราวกับเมืองร้าง
ภาพถัง จอฮาร์ กูน ในพระราชวังของราชปุตที่มีอยู่ทุกพระราชวังของสายสกุลนี้ซึ่งเป็นที่ฆ่าตัวตายหมู่ของสตรีชั้นสูงมาแล้วนับหลายหมื่นคน
รากของประเพณีว่ามาจากไหนนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนอย่างไรก็ตามเอกสารในช่วงต้นชี้ให้เห็นว่าเหตุผลเบื้องหลังคือการปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์หญิงแห่งอาณาจักรราชปุต สตรีในราชอาณาจักรต่างทำตามขั้นตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับโดยผู้รุกรานจากต่างชาติ (โดยเฉพาะชาวโมกุล) เมื่อเผชิญกับความพ่ายแพ้ในช่วงสงคราม การจับกุมครั้งนี้เคยก่อให้เกิดการกดขี่ข่มเหงเด็กการข่มขืนผู้หญิงบังคับให้เป็นนางสนมและการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพื่อป้องกันตัวเองจากชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ราชินีราชปุตและสตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ จึงต้องลงมือทำสิ่งที่น่ากลัวนี้
ในเหตุการณ์ที่อ้างถึงครั้งแรกที่ได้รับการอธิบายไว้ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของชาวเปอร์เซียได้ดำเนินการหลังจากการล้อมเมืองรันทัมโบร์ในปี 1301 โดย สุลต่าน อะลาอุดดิน หลังจากนั้นนักรบผู้สูงศักดิ์จะประกอบพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่งโดยพวกเขาเดินขบวนอย่างกล้าหาญไปยังสนามรบเพื่อทำลายล้างศัตรูซึ่งในประเพณีของภูมิภาคเรียกว่าชาการ์ที่มาจากคำว่าชาตรี ซึ่งมักมาคู่กับพิธีกรรม จอฮาร์
เมื่อศัตรูอยู่ที่ประตูป้อมเมื่อความพ่ายแพ้เป็นที่ประจักษ์ว่าแน่นอน อาณาจักรราชปุตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียได้ปฏิบัติตามหลักราชประเพณีที่สร้างความสะพรึงขวัญจนทุกวันนี้ ผู้หญิงทุกคนในป้อมที่นำโดยราชินีที่แต่งกายด้วยชุดแต่งงานและเครื่องประดับพร้อมกับเด็ก ๆ จะก้าวเข้าสู่กองไฟขนาดใหญ่และกลายเป็นเถ้าถ่านในพิธีที่เรียกว่า Jauhar ต่อหน้าศัตรู ในขณะที่ผู้หญิงถูกเผา ชายชาวราชปุตได้แสดง Shaka หรือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายซึ่งไม่มีการหวนกลับทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางรอดเพราะศัตรูมีเยอะกว่ าแต่ชาวราชปุตมีศักดิ์ศรีและความกล้าเป็นกฏประจำตระกูลและจะไม่หนีหรือยอมจำนน ประตูป้อมจะถูกเปิดออกและผู้ชายที่แต่งกายด้วยชุด กษัตริยาสีแดงหญ้าฝรั่น ซึ่งเป็นสีแห่งการสละของชาวฮินดูโดยมีใบตุลสีอยู่ในปาก พวกเขาจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูโดยมีจุดประสงค์เดียวเพื่อฆ่าให้ได้มากที่สุดก่อนลมหายใจสุดท้าย
สตรีราชปุตที่เข้าพิธีจอฮาร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละกล้าหาญหรือเป็นตัวอย่างของความทุ่มเทอย่างสุดซึ้งที่มีต่อสามีของพวกเธอ พวกเธอต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาในการเกิดมาครองคู่กันในชาติหน้ามากกว่าที่จะมีชีวิตที่แยกจากกันและเสียชื่อเสียงในชาตินี้ ผู้ชายที่ขี่ม้าออกไปแสดง Shaka (หรือ Saka) ยังได้รับความเคารพอย่างสูงในการแสดงเครื่องบูชาที่น่ากลัวที่สุด จนนามสกุลราชปุตมีชื่อเสียงมาจากความกล้าหาญและศักดิ์ศรีจนทุกวันนี้
ตามตำนานเมื่อกองทหารข้าศึกรื้อค้นป้อมหลวงหลังการยึด พวกเขาไม่พบอะไรเลยนอกจากป้อมร้างที่เป็นพยานถึงความกล้าหาญของสกุลราชปุต
นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าพิธีจอฮาร์อาจได้ไอเดียพัฒนามาจากพิธีสตีแต่ทั้งสองพิธีแตกต่างกันพิธีสตี นั้นมีมาไกลถึงยุคอเล็กซานเดอร์บุกอินเดียเลยเดียว ทั้งบันทึกจากฝั่งนักปราชญ์ชาวมาซิโดเนียและเปอร์เชียในยุคโมกุลหลังจากนั้น
Sati ได้มาจากชื่อของเทพธิดาสตี Sati ผู้ซึ่งไม่สามารถทนต่อความอัปยศอดสูของพ่อของเธอและพระอิศวรสามี
คำว่า สตีเดิมถูกตีความว่า "ผู้หญิงบริสุทธิ์" Sati ปรากฏในตำราภาษาฮินดีและภาษาสันสกฤตซึ่งมีความหมายเหมือนกันกับ "ภรรยาที่ดี"
พิธีสตีมีชื่อทางเทคนิคเช่น สหกรรมณา sahagamana ("ไปกับ") หรือสหมรณา sahamarana ("ตายไปด้วย") Anvarohana อัณวโรหณา("ไปตายในไฟด้วย) พบเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกับ สธิดาหา satidaha เป็นเงื่อนไขในการกำหนดกระบวนการ Satipratha สตีปราธา ยังใช้เป็นคำที่แสดงถึงประเพณีของการเผาแม่ม่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกสองคำที่เกี่ยวข้องกับพิธีสตี คือ สตีวารณา sativrata และ สตีมาตา สตีวารณา satimata Sativrata เป็นคำที่ไม่ค่อยมีใครใช้ หมายถึงผู้หญิงที่สาบานปาวารณาเพื่ออยู่เคียงข้างช่วยเหลือสามีของเธอในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่และจากนั้นก็ตายไปพร้อมกับสามีของเธอ
พิธีสตีถือว่าเป็นการอุทิศที่สูงมากในวิถีทางศาสนาของสตรีฮินดู ปัจจุบันถูกแบนโดยรัฐบาลในอินเดียโดยมีโทษรุนแรงสำหรับครอบครวฝ่ายชายที่บังคับสะใภ้แต่ก็มีครอบครัวของผู้ชายที่เสียชีวิตที่บังคับให้ลูกสะใภ้เข้าพิธีนี้หลายครั้งที่เหยื่อพยามหลบหนีจนญาติฝ่ายสามีต้องจับเธอมัดติดกับศพและเผาไปพร้อมศพสามีหรือทุบขาของเธอให้หักก่อนเพื่อกันหนี
มีการบันทึกว่าพิธีกรรมจอฮาร์หรือปลดปล่อยตัวเองที่คร่าชีวิตสตรีชั้นสูงในพิธีกรรมนี้มากที่สุดคือในยุคของพระนางปัทมวตีที่มีสตรีชั้นสูงร่วมพิธีเข้ากองไฟโดยการนำของรานีปัทมวตีและนาคมาตีสูงถึงสองหมื่นสี่พันนางที่ฆ่าตัวตายหมู่ในหลุมไฟด้วยความสมัครใจในหลุมไฟที่พะราชวังของราชสกุล
ราชปุต บางนางตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้นด้วย ......จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชวังราชปุตในเมืองจิตครหรือเมืองจิตตะคต Jittorkot จะเฮี้ยนแค่ไหนว่ากันว่าตอนที่คาลิด อะลาอุดดินสุลต่านแห่งเดลฮีชนะสงครามและตามเข้ามาในพระราชวังราชปุตเพื่อค้นหาตัวพระนางปัทมวตีและนางในทั้งนครในคืนที่มีการทำพิธีจอร์ฮาร์ เสียงกรีดร้องโหยหวนของบรรดานางในดังระงมชนิดที่ไม่สามารถบรรยายความทรมานได้นั้นดังไปทั่วทั้งเมืองจิตตอคร จนสุลต่านเดลฮีถึงกับสยดสยองและสั่งให้ปิดประตูทางเข้าเพราะไม่ต้องการได้ยินเสียงนั้น......ทุกวันนี้ที่นี้ก็เป็นอีกสถานที่หลอนในอินเดียที่มีคนเจอสิ่งลับกันไม่ว่าจะเสียงกรีดร้องและเสียงกำไรข้อเท้าสตรีที่ลอยมาตามลม
เกล็ดความรู้ด้านมืดสุดช็อคหลังประตูวังราชกุลราชปุตจากหนัง Bollywood
เมื่อเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของศัตรูโมกุล นั่นคือช่วงเวลาที่ผู้หญิงที่กล้าหาญตระกูลราชปุต ได้แสดงความกล้าหาญทางวัฒนธรรมแทนที่จะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้และการล่วงละเมิดจากศัตรู
Jauhar (บางครั้งสะกดว่า Juhar หรือ จอฮาร์ Jowhar) เป็นประเพณีของการปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากชะตากรรมแห่งพันธณาการหมู่ (ไม่เรียกว่าการฆ่าตัวตาย) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในอาณาจักรรของราชสกุลราชปุตหลังจากการพ่ายแพ้ของกษัตริย์
พระราชวังราชปุตโบราณทุกแห่งล้วนต้องมี Jauhar Kund ซึ่งมีลักษณะคล้ายหลุมถังสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ขุดลึกลงไปในพื้นดินคล้ายห้องโถงเพื่อไว้ทำพิธีจอฮาร์หากเกิดการแพ้สงคราม.........
หลังจากทำพิธีกรรมพระเวทย์ที่สำคัญแล้วพระราชินีจะเป็นผู้เดินนำขบวนกระโจนเข้าไปใน Jauhar Kund พร้อมกับลูก ๆ บรรดานางในวังทั้งหมดที่สามีร่วมรบในสงครามจะทยอยกันเดินตามเข้าไปในหลุมไฟดังกล่าว ดังคลิปฉากสุดท้ายในภาพยนต์ ปัทมะวตี
รานี ปัทมวตีเป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่า "เฮเลนออฟทรอยด์ของอินเดีย" แรกเกิดมีพระนามว่า ปัทมิณี ทรงเป็นพระธิดาของกษัตริย์แห่งอาณาจักรสิงหลหรือปัจจุบันคือศรีลังกา ซึ่งความงามของเธอโด่งดังมากเป็นอันดับต้นๆของหญิงงามในประวัติศาสตร์อินเดียเลยทีเดียวจนแม้แต่กษัตริย์ต่างแดนไม่ว่าจะทั้งชาวเปอร์เชียหรือพวกมองโกลเติร์กต่างหมายปองมาเป็นคูครอง แต่พระนางเลือกที่จะตอบตกลงเป็นมเหสีของชาวอินเดียด้วยกันคือเจ้าเมืองหน้าด่านของอาณาจักรราชปุต ราชารัตทาน ซึ่งทรงได้ยินกิตติศัพท์ความงามของเธอผ่านทางนกแก้วแสนรู้ที่พราหมณ์นำมาถวายให้
ภาพจากภาพยนต์ที่แสดงให้เห็นความใจเด็ดของรานีปัทมวตีที่เดินลงลุมไฟ จอฮาร์ กูน
ด้วยรอมยิ้มผิดกับสาวชาวบ้านทั่วไปที่ต่างตื่นกลัวพิธีที่แสนทรมานนี้
นกแก้วแสนรู้นั้น เดิมเป็นนกที่ราชกุมารีปัทมินีทรงเลี้ยงไว้มีชื่อว่า หิระมณี แต่พระบิดาทรงหวงพระธิดามากและไม่แม้แต่จะอยากให้ลูกสาวแต่งงานออกเรือนหรือสนิทสนมกับใครจึงปล่อยนกแก้วไปเพราะเห็นว่านกพูดมาก ซึ่งในภายหลังนกตัวนี้ถูกคนจับนกขายจับเอาไว้ได้ และขายต่อให้พราหมณ์ชาวราชปุตที่นำนกมาถวายให้กษัตริย์ราชปุตราชารัตทาน.....พระองค์จึงได้ยินนกแก้วตัวนี้บอกเล่าถึงความงามของปัทมิณีจนทรงอยากอภิเษกกับนาง
ทรงปลอมตัวมาพร้อมทหารดั้นด่นพากองทหารไปยลความงามนางถึงศรีลังกาจนโดนจับเข้าคุกกันทั้งขบวนพระองค์และนายทหาร
และเกือบโดนโทษประหารชีวิตแต่กวีหลวงได้รายงานแก่ผู้คุมนักโทษว่าทรงเป็นกษัตริย์ราชปุตปลอมตัวมาเพื่อยลความงามพระธิดา พระบิดาของปัทมิณีจึงทรงปล่อยพระองค์และพรรคพวกผู้ติดตาม
ในที่สุดบิดานางจึงทรงยกพระธิดาปัทมิณีให้พร้อมยกนางในวังอีก 1หมื่น6 พันคนให้ติดตามนางไปรับใช้ที่เมืองจิตตอครณ์ chittiorgash หรือเรียกสั้นๆเมืองจิตตอในราชาสถาน ราชารัตทานได้ทรงอัญเชิญพระนางปัทมิณีขึ้นมาอภิเษกที่อาณจักรราชปุตซึ่งเป็นแคว้นทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียหลังอภิเษกพระนางได้กลายเป็นกุลสตรีแห่งราชปุตและรู้จักในนามรานีปัทมวตี....มเหสีองค์ที่สองรองจากพระนางนาคมาตีรานีองค์แรก
ในเวลาต่อมารักกาพพราหมณ์คนหนึ่งผู้ทรยศได้ฉ้อโกงในวังหลวง เขาจึงถูกโทษเนรเทศออกนอกเมืองแทนการประหารเพราะตามความเชื่อฮินดูกษัตริย์ไม่สามารสั่งประหารพราหมณ์ได้เพราะถือว่าเป็นวรรณะสูงสุดสืบทอดสายเลือดมาจากพระพรหมต้องให้เกียรติและหากสั่งประหารพราหมณ์จะเป็นบาปมหันต์และเกิดอาเพศ พราหมณ์ผู้ทรยศเคืองแค้นราชารัตทานที่เนรเทศเขาออกจากวังและเกลียดปัทมวตีที่เป็นหญิงฉลาดและมีอำนาจเหนือราชารัตทานที่ฟังนางมากกว่าตนหลังอภิเษกเข้าราชปุตมา พราหมณ์ผู้เคืองแค้น จึงวางแผนเข้าไปทำงานในราชสำนักของสุลต่าน อะลาอุดดิน แห่งเดลฮีที่เป็นพวกโมกุลและพยามปั่นหูกษัตริย์มุสลิมถึงความงามที่สุดในโลกของรานีปัทมะวตีมเหสีองค์ใหม่ของราชปุตอะลาอุดดิน จึงได้ขอบรรณาการจากราชารัตทานเป็นมเหสีองค์ใหม่ปัทมะวตีแต่ถูกปฏิเสธ .....อะลาอุดดินจึงใช้แผนหลอกจับตัวราชารัตทานไว้ปัทมะวตีจึงส่งสายลับของวัง2นายคือโกราและบาดาลและทหารอีก7คนปลอมตัวใส่ชุดส่าหรีมีผ้าคลุมหน้าแอบเข้าวังคาลิด อะลาอุดดินเพื่อไปช่วยพระสวามีนางออกจากคุกของจนสำเร็จแต่ระหว่างทางกลับที่ต้องต่อสู้กับคนของอะลาอุดดิน โกราถูกฆ่าตายรอดมาได้แต่องค์ราชากับบาดาลเท่านั้น
ในระหว่างที่ราชารัตทานถูกคุมขังในคุกสุลต่านเดลฮี ราชาเทพปาล เจ้าเมืองกุมพันเนอร์ซึ่งเป็นอาณาจักรเพื่อนบ้านที่เป็นพระญาติสกุลราชปุตก็หลงรักปัทะมวตีเช่นกันและพยามขอนางอภิเษก พอราชารัตทานกลับรอดมาได้จากคุกสุลต่าน เดลฮีจึงต่อสู้กับราชาเทพปาลที่มาหยามเกียรติ ในเวลานั้นคาลิด สุลต่าน อะลาอุดดินจึงได้โอกาสบุกโจมตีเมืองจิตตอ chittor เพื่อชิงตัวปัทมวตีในขณะที่ราชารัตทานและราชาเทพปาลสิ้นชีพจากการต่อสู้ชิงตัวปัทมวตี พระนางปัทมวตีและ พระนางนาคมาตีพระมเหสีเอกจึงทำการนำนางในวังที่สามีออกรบและตายในสมรภูมิทำพิธีจอฮาร์เข้าสู่หลุมเพลิงที่เรียก จอฮาร์ กูน jauhar kund ยามที่อะลาอุดดินมาถึงไม่พบสตรีแม้แต่คนเดียวในพระราชวังราวกับเมืองร้าง
ภาพถัง จอฮาร์ กูน ในพระราชวังของราชปุตที่มีอยู่ทุกพระราชวังของสายสกุลนี้ซึ่งเป็นที่ฆ่าตัวตายหมู่ของสตรีชั้นสูงมาแล้วนับหลายหมื่นคน
รากของประเพณีว่ามาจากไหนนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนอย่างไรก็ตามเอกสารในช่วงต้นชี้ให้เห็นว่าเหตุผลเบื้องหลังคือการปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์หญิงแห่งอาณาจักรราชปุต สตรีในราชอาณาจักรต่างทำตามขั้นตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับโดยผู้รุกรานจากต่างชาติ (โดยเฉพาะชาวโมกุล) เมื่อเผชิญกับความพ่ายแพ้ในช่วงสงคราม การจับกุมครั้งนี้เคยก่อให้เกิดการกดขี่ข่มเหงเด็กการข่มขืนผู้หญิงบังคับให้เป็นนางสนมและการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพื่อป้องกันตัวเองจากชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ราชินีราชปุตและสตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ จึงต้องลงมือทำสิ่งที่น่ากลัวนี้
ในเหตุการณ์ที่อ้างถึงครั้งแรกที่ได้รับการอธิบายไว้ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของชาวเปอร์เซียได้ดำเนินการหลังจากการล้อมเมืองรันทัมโบร์ในปี 1301 โดย สุลต่าน อะลาอุดดิน หลังจากนั้นนักรบผู้สูงศักดิ์จะประกอบพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่งโดยพวกเขาเดินขบวนอย่างกล้าหาญไปยังสนามรบเพื่อทำลายล้างศัตรูซึ่งในประเพณีของภูมิภาคเรียกว่าชาการ์ที่มาจากคำว่าชาตรี ซึ่งมักมาคู่กับพิธีกรรม จอฮาร์
เมื่อศัตรูอยู่ที่ประตูป้อมเมื่อความพ่ายแพ้เป็นที่ประจักษ์ว่าแน่นอน อาณาจักรราชปุตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียได้ปฏิบัติตามหลักราชประเพณีที่สร้างความสะพรึงขวัญจนทุกวันนี้ ผู้หญิงทุกคนในป้อมที่นำโดยราชินีที่แต่งกายด้วยชุดแต่งงานและเครื่องประดับพร้อมกับเด็ก ๆ จะก้าวเข้าสู่กองไฟขนาดใหญ่และกลายเป็นเถ้าถ่านในพิธีที่เรียกว่า Jauhar ต่อหน้าศัตรู ในขณะที่ผู้หญิงถูกเผา ชายชาวราชปุตได้แสดง Shaka หรือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายซึ่งไม่มีการหวนกลับทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางรอดเพราะศัตรูมีเยอะกว่ าแต่ชาวราชปุตมีศักดิ์ศรีและความกล้าเป็นกฏประจำตระกูลและจะไม่หนีหรือยอมจำนน ประตูป้อมจะถูกเปิดออกและผู้ชายที่แต่งกายด้วยชุด กษัตริยาสีแดงหญ้าฝรั่น ซึ่งเป็นสีแห่งการสละของชาวฮินดูโดยมีใบตุลสีอยู่ในปาก พวกเขาจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูโดยมีจุดประสงค์เดียวเพื่อฆ่าให้ได้มากที่สุดก่อนลมหายใจสุดท้าย
สตรีราชปุตที่เข้าพิธีจอฮาร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละกล้าหาญหรือเป็นตัวอย่างของความทุ่มเทอย่างสุดซึ้งที่มีต่อสามีของพวกเธอ พวกเธอต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาในการเกิดมาครองคู่กันในชาติหน้ามากกว่าที่จะมีชีวิตที่แยกจากกันและเสียชื่อเสียงในชาตินี้ ผู้ชายที่ขี่ม้าออกไปแสดง Shaka (หรือ Saka) ยังได้รับความเคารพอย่างสูงในการแสดงเครื่องบูชาที่น่ากลัวที่สุด จนนามสกุลราชปุตมีชื่อเสียงมาจากความกล้าหาญและศักดิ์ศรีจนทุกวันนี้
ตามตำนานเมื่อกองทหารข้าศึกรื้อค้นป้อมหลวงหลังการยึด พวกเขาไม่พบอะไรเลยนอกจากป้อมร้างที่เป็นพยานถึงความกล้าหาญของสกุลราชปุต
นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าพิธีจอฮาร์อาจได้ไอเดียพัฒนามาจากพิธีสตีแต่ทั้งสองพิธีแตกต่างกันพิธีสตี นั้นมีมาไกลถึงยุคอเล็กซานเดอร์บุกอินเดียเลยเดียว ทั้งบันทึกจากฝั่งนักปราชญ์ชาวมาซิโดเนียและเปอร์เชียในยุคโมกุลหลังจากนั้น
Sati ได้มาจากชื่อของเทพธิดาสตี Sati ผู้ซึ่งไม่สามารถทนต่อความอัปยศอดสูของพ่อของเธอและพระอิศวรสามี
คำว่า สตีเดิมถูกตีความว่า "ผู้หญิงบริสุทธิ์" Sati ปรากฏในตำราภาษาฮินดีและภาษาสันสกฤตซึ่งมีความหมายเหมือนกันกับ "ภรรยาที่ดี"
พิธีสตีมีชื่อทางเทคนิคเช่น สหกรรมณา sahagamana ("ไปกับ") หรือสหมรณา sahamarana ("ตายไปด้วย") Anvarohana อัณวโรหณา("ไปตายในไฟด้วย) พบเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกับ สธิดาหา satidaha เป็นเงื่อนไขในการกำหนดกระบวนการ Satipratha สตีปราธา ยังใช้เป็นคำที่แสดงถึงประเพณีของการเผาแม่ม่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกสองคำที่เกี่ยวข้องกับพิธีสตี คือ สตีวารณา sativrata และ สตีมาตา สตีวารณา satimata Sativrata เป็นคำที่ไม่ค่อยมีใครใช้ หมายถึงผู้หญิงที่สาบานปาวารณาเพื่ออยู่เคียงข้างช่วยเหลือสามีของเธอในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่และจากนั้นก็ตายไปพร้อมกับสามีของเธอ
พิธีสตีถือว่าเป็นการอุทิศที่สูงมากในวิถีทางศาสนาของสตรีฮินดู ปัจจุบันถูกแบนโดยรัฐบาลในอินเดียโดยมีโทษรุนแรงสำหรับครอบครวฝ่ายชายที่บังคับสะใภ้แต่ก็มีครอบครัวของผู้ชายที่เสียชีวิตที่บังคับให้ลูกสะใภ้เข้าพิธีนี้หลายครั้งที่เหยื่อพยามหลบหนีจนญาติฝ่ายสามีต้องจับเธอมัดติดกับศพและเผาไปพร้อมศพสามีหรือทุบขาของเธอให้หักก่อนเพื่อกันหนี
มีการบันทึกว่าพิธีกรรมจอฮาร์หรือปลดปล่อยตัวเองที่คร่าชีวิตสตรีชั้นสูงในพิธีกรรมนี้มากที่สุดคือในยุคของพระนางปัทมวตีที่มีสตรีชั้นสูงร่วมพิธีเข้ากองไฟโดยการนำของรานีปัทมวตีและนาคมาตีสูงถึงสองหมื่นสี่พันนางที่ฆ่าตัวตายหมู่ในหลุมไฟด้วยความสมัครใจในหลุมไฟที่พะราชวังของราชสกุล
ราชปุต บางนางตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้นด้วย ......จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชวังราชปุตในเมืองจิตครหรือเมืองจิตตะคต Jittorkot จะเฮี้ยนแค่ไหนว่ากันว่าตอนที่คาลิด อะลาอุดดินสุลต่านแห่งเดลฮีชนะสงครามและตามเข้ามาในพระราชวังราชปุตเพื่อค้นหาตัวพระนางปัทมวตีและนางในทั้งนครในคืนที่มีการทำพิธีจอร์ฮาร์ เสียงกรีดร้องโหยหวนของบรรดานางในดังระงมชนิดที่ไม่สามารถบรรยายความทรมานได้นั้นดังไปทั่วทั้งเมืองจิตตอคร จนสุลต่านเดลฮีถึงกับสยดสยองและสั่งให้ปิดประตูทางเข้าเพราะไม่ต้องการได้ยินเสียงนั้น......ทุกวันนี้ที่นี้ก็เป็นอีกสถานที่หลอนในอินเดียที่มีคนเจอสิ่งลับกันไม่ว่าจะเสียงกรีดร้องและเสียงกำไรข้อเท้าสตรีที่ลอยมาตามลม