╰☆╮หากคุณมีความฝัน คุณสามารถเป็นได้
หากคุณมีจินตนาการ คุณสามารถทำให้สำเร็จได้╰☆╮
นิรนาม
-1-
ค.ศ. 1970 หนึ่งปีหลังมนุษย์คนแรกเหยียบดวงจันทร์
ผมเริ่มออกเดินทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่า สันโดษอย่างอิสระ
ทุกคนเรียกผมว่า อาเธอร์ แต่ตอนนี้ ผมใช้นามปากกาว่า บุรุษแห่งตัวอักษร
ผมเป็นนักเขียน หรือพูดให้ถูกคือ ผมฝันไกล ว่าอยากเป็นนักเขียน
ที่มีชื่อเสียงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ อย่างโอเฮนรี่, เฮมมิงเวย์, ลีโอดอสตอย หรือกีย์ เดอ โมปาส์ซังต์
ผมไม่เคยเดียวดายในวันสิ้นปีมาก่อน ฉะนั้นนี่จึงเป็นคืนแรก ที่ไม่ได้อยู่เฉลิมฉลองกับครอบครัว เพื่อนฝูง....
ลมหนาวพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมวิ่งฝ่าหิมะสุดฝีเท้า เข้าสู่แนวป่า
บริเวณรอบ ต้นสนปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เรียงรายจนจรดทะเลสาป
ส่วนพื้นดินเต็มไปด้วยก้อนหินสีขาวเรืองรอง ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น... ขบวนรถด่วนเที่ยวสุดท้ายจะออกห้าทุ่มตรง
"ถ้าขึ้นรถไฟไม่ทัน คืนนี้คงได้หนาวตาย" ริมฝีปากเริ่มแห้งแตก
ผมเป่าลมออกมาแรง ๆ
"เกลียดฤดูหนาวชะมัด ร่างกายทนความเย็นไม่ไหว เลือดในกายจะแข็งตัวอยู่แล้ว!"
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ
มันบอกเวลา สี่ทุ่มสี่สิบเก้านาที ลมหนาวกรรโชกตามป่าอีกระรอก ร่างกายสั่นสะท้าน
ผมดึงเสื้อแจ็คเก็ตแนบชิดลำคอ ทว่าไม่ได้ช่วยให้อบอุ่น...
กระเป๋าเดินทางสะพายข้าง โยกไหวเป็นจังหวะ มือซ้ายผมคว้ามากอดแน่นข้างลำตัว ใจหวังคงช่วยคลายหนาวได้
เกล็ดหิมะบาง ๆ ปลิวว่อน มันค่อย ๆ ร่อนลงอย่างไร้น้ำหนักราวขนนก
ผมหอบหายใจแรง ขณะที่หัวใจเต้นเร็วถี่
เมื่อพ้นแนวป่า ก็เห็นเงาของสถานีปรากฏขึ้น จากจุดที่ผมยืนเพียงร้อยเมตรเท่านั้น
ผมวิ่งเข้าไปในชานชาลา ตรงไปยังช่องขายตั๋ว หยิบเงินซื้อตั๋วหนึ่งใบ
"ในที่สุดก็มาทัน" ผมพูดด้วยเสียงหอบ แต่มีมาดเกินกว่าจะแสดงออก
"เดินทางคนเดียวเหรอครับ ?" คนขายตั๋วพูดเสียงต่ำ เขาสวมเสื้อโค๊ทหนังแกะ ผมสีน้ำตาลเข้มผูกหางเปีย ใส่แว่นกันลม
"ใช่" ลมหายใจผมมีไอน้ำแผ่ว ๆ
"ไม่เหงาแย่เหรอครับ ?" เขายื่นตั๋วให้
"หึ" ผมยิ้มที่มุมปาก "ความเหงาทำอะไรผมไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าอยากถึงจุดหมายเร็ว ๆ ต้องไปตามลำพัง"
ผมรับตั๋ว มือสองข้างถูตั๋วในมือ ลมพัดแรงจัด ตั๋วปลิวละลิ่วเข้าไปในราง ผมวิ่งไปเก็บ
หลังจากกลับมายืนบนทางเท้า ที่ชานชาลาหมายเลขเก้า
สังเกตุได้ว่าไฟฟ้า กระพริบถี่ ๆ ไม่มีนักเดินทางคนอื่น
มีเพียงเสียงเพลงโอแลงซาย จากวิทยุระงมทั่ว
ปุยหิมะสีขาวตกไม่หยุด มือทั้งสองยังคงสั่นสะท้าน ผมเอาซุกเสื้อโค๊ท... ก้มมองรองเท้าบู๊ตของตัวเอง...
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยมีผมเพียงลำพัง...
ทว่าอีกใจ ก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ลึก ๆ ว่ายังมีคนอีกนับแสนนับล้าน ที่ฉลองสิ้นปีโดดเดียวเช่นเดียวกัน...
จริง ๆ เวลานี้ ผมควรซุกตัวอยู่ใต้ผ่าห่ม นั่งเขียนเรื่องสั้นข้ามปี ไม่ใช่ ยืนทำหน้าเบื่อโลก เผชิญอากาศหนาวแทบแข็งตายแบบนี้
ให้ตายเถอะ ผมควรเล่าตั้งแต่ต้นดีกว่า...
FT 5 | เรื่องสั้น ปาฏิหาริย์คืนสิ้นปี ตอนที่ 1
ผมเริ่มออกเดินทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่า สันโดษอย่างอิสระ
ทุกคนเรียกผมว่า อาเธอร์ แต่ตอนนี้ ผมใช้นามปากกาว่า บุรุษแห่งตัวอักษร
ผมเป็นนักเขียน หรือพูดให้ถูกคือ ผมฝันไกล ว่าอยากเป็นนักเขียน
ที่มีชื่อเสียงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ อย่างโอเฮนรี่, เฮมมิงเวย์, ลีโอดอสตอย หรือกีย์ เดอ โมปาส์ซังต์
ผมไม่เคยเดียวดายในวันสิ้นปีมาก่อน ฉะนั้นนี่จึงเป็นคืนแรก ที่ไม่ได้อยู่เฉลิมฉลองกับครอบครัว เพื่อนฝูง....
ลมหนาวพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมวิ่งฝ่าหิมะสุดฝีเท้า เข้าสู่แนวป่า
บริเวณรอบ ต้นสนปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เรียงรายจนจรดทะเลสาป
ส่วนพื้นดินเต็มไปด้วยก้อนหินสีขาวเรืองรอง ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น... ขบวนรถด่วนเที่ยวสุดท้ายจะออกห้าทุ่มตรง
"ถ้าขึ้นรถไฟไม่ทัน คืนนี้คงได้หนาวตาย" ริมฝีปากเริ่มแห้งแตก
ผมเป่าลมออกมาแรง ๆ
"เกลียดฤดูหนาวชะมัด ร่างกายทนความเย็นไม่ไหว เลือดในกายจะแข็งตัวอยู่แล้ว!"
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ
มันบอกเวลา สี่ทุ่มสี่สิบเก้านาที ลมหนาวกรรโชกตามป่าอีกระรอก ร่างกายสั่นสะท้าน
ผมดึงเสื้อแจ็คเก็ตแนบชิดลำคอ ทว่าไม่ได้ช่วยให้อบอุ่น...
กระเป๋าเดินทางสะพายข้าง โยกไหวเป็นจังหวะ มือซ้ายผมคว้ามากอดแน่นข้างลำตัว ใจหวังคงช่วยคลายหนาวได้
เกล็ดหิมะบาง ๆ ปลิวว่อน มันค่อย ๆ ร่อนลงอย่างไร้น้ำหนักราวขนนก
ผมหอบหายใจแรง ขณะที่หัวใจเต้นเร็วถี่
เมื่อพ้นแนวป่า ก็เห็นเงาของสถานีปรากฏขึ้น จากจุดที่ผมยืนเพียงร้อยเมตรเท่านั้น
ผมวิ่งเข้าไปในชานชาลา ตรงไปยังช่องขายตั๋ว หยิบเงินซื้อตั๋วหนึ่งใบ
"ในที่สุดก็มาทัน" ผมพูดด้วยเสียงหอบ แต่มีมาดเกินกว่าจะแสดงออก
"เดินทางคนเดียวเหรอครับ ?" คนขายตั๋วพูดเสียงต่ำ เขาสวมเสื้อโค๊ทหนังแกะ ผมสีน้ำตาลเข้มผูกหางเปีย ใส่แว่นกันลม
"ใช่" ลมหายใจผมมีไอน้ำแผ่ว ๆ
"ไม่เหงาแย่เหรอครับ ?" เขายื่นตั๋วให้
"หึ" ผมยิ้มที่มุมปาก "ความเหงาทำอะไรผมไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าอยากถึงจุดหมายเร็ว ๆ ต้องไปตามลำพัง"
ผมรับตั๋ว มือสองข้างถูตั๋วในมือ ลมพัดแรงจัด ตั๋วปลิวละลิ่วเข้าไปในราง ผมวิ่งไปเก็บ
หลังจากกลับมายืนบนทางเท้า ที่ชานชาลาหมายเลขเก้า
สังเกตุได้ว่าไฟฟ้า กระพริบถี่ ๆ ไม่มีนักเดินทางคนอื่น
มีเพียงเสียงเพลงโอแลงซาย จากวิทยุระงมทั่ว
ปุยหิมะสีขาวตกไม่หยุด มือทั้งสองยังคงสั่นสะท้าน ผมเอาซุกเสื้อโค๊ท... ก้มมองรองเท้าบู๊ตของตัวเอง...
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยมีผมเพียงลำพัง...
ทว่าอีกใจ ก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ลึก ๆ ว่ายังมีคนอีกนับแสนนับล้าน ที่ฉลองสิ้นปีโดดเดียวเช่นเดียวกัน...
จริง ๆ เวลานี้ ผมควรซุกตัวอยู่ใต้ผ่าห่ม นั่งเขียนเรื่องสั้นข้ามปี ไม่ใช่ ยืนทำหน้าเบื่อโลก เผชิญอากาศหนาวแทบแข็งตายแบบนี้
ให้ตายเถอะ ผมควรเล่าตั้งแต่ต้นดีกว่า...