พิชัย สวน บิ๊กตู่ หยุดพูดเศรษฐกิจ เพราะไม่รู้จริง ท้า อิเหนาเมาหมัดมั่นใจ ออกทีวีดีเบต
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1837519
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้เตือนคนที่ไม่เข้าใจเศรษฐกิจอย่าโพสต์ซึ่งจะสร้างความขัดแย้ง ซึ่งตนเห็นว่าคนแรกเลยที่ไม่ควรโพสต์ หรือพูดเศรษฐกิจคือ พลเอก
ประยุทธ์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอก
ประยุทธ์ไม่เคยแสดงให้ประชาชนเห็นเลย ว่ามีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจเลย
และยิ่งมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองก็ยิ่งไปกันใหญ่ นอกจากนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอก
ประยุทธ์ได้แสดงความเห็นทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาโดยตลอด พูดเหมือนคนไม่รู้เรื่อง และทำให้ความมั่นใจของประเทศหดหาย จึงทำให้การลงทุนหดหายไปด้วย ทั้งนี้พลเอก
ประยุทธ์เองยังไม่รู้ตัวเองเลยว่า เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปัจจุบันเป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาตลอด 5 ปีกว่า ที่การลงทุนหดหาย ส่งผลทำให้การส่งออกติดลบ
ล่าสุดการส่งออกเดือนพฤศจิกายนยิ่งติดลบหนักถึง -7.4% และเศรษฐกิจของไทยจะยิ่งเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ โรงงานจะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีก คนจะยิ่งตกงานเพิ่มขึ้น หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น เหมือนทฤษฎีกบต้มที่ตนเคยเตือนไว้แล้ว แต่พลเอก
ประยุทธ์ก็ยังขาดความรู้ว่ามีทฤษฎีกบต้มนี้อยู่จริง จึงได้ส่งพลตรี
บุรินทร์ ทองประไพ ไปฟ้องตน ซึ่งถ้ามีความรู้อยู่บ้าง คงไม่กล้าส่งคนไปฟ้องตนแน่
ก่อนหน้านี้ที่พล.อ.
ประยุทธ์ ได้พูดว่า “
ผมทำมากกว่าไอ้รัฐบาลบ้าพวกนั้นอีก จะบอกให้ ผมรู้มากกว่าที่เขารู้อีก ผมไม่โง่ขนาดนั้นหรอก” ยิ่งแสดงถึงความไม่รู้มากเข้าไปอีก เพราะหากเทียบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะพบว่าช่วง 5 ปีกว่า รัฐบาล
ประยุทธ์มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุดในแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา และรัฐบาลที่ผ่านมาคงไม่แย่พอที่จะคิดว่า จะปลูกหมามุ่ยแทนปลูกข้าวได้ เพราะไม่รู้ว่าจะนำหมามุ่ยจำนวนมากไปขายที่ไหน น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา แล้วเมื่อน้ำลดแต่ปลายังไม่โตจะทำอย่างไร คิดถึงขนาดจะส่งรองเท้าแตะ ขัน ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ที่พลทหารทุกคนใช้กันไปขายทั่วโลกได้ นำเงินประกันสังคมปล่อยกู้ได้ทั้งที่มีกฏหมายห้ามไว้ อาหารทะเลแพงก็ไม่ต้องกิน และ ส่งยางพาราขายดาวอังคารได้ ซึ่งคงไม่มีรัฐบาลในอดีตจะสามารถคิดได้ย่ำแย่ขนาดนี้ แล้วจะบอกว่าไม่โง่ขนาดนั้นได้อย่างไร
โดยหากรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ ทำได้ดีกว่ารัฐบาลในอดีตจริง ก็คงไม่มีการลบคลิปการปาฐกถาของนาย
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่พูดโจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในช่วงก่อนการปฏิวัติปลายปี 2556 โดยต่อว่ารัฐบาลในขณะนั้นได้ทำให้ทุกเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อม แต่เมื่อนาย
สมคิดได้เข้ามาบริหารเศรษฐกิจแทนหลังการปฏิวัติ กลับทำให้ทุกเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อมหนักยิ่งกว่าเดิมมาก ทั้งการส่งออกที่ติดลบ การลงทุนที่หดหาย รายได้ของประชาชนที่ตกต่ำทำให้การบริโภคลดลง และ การพัฒนาประเทศที่เสื่อมถอย
จนนาย
สมคิดเองอาจจะทนละอายใจไม่ไหว จึงมีการลบคลิปที่พูดออกไป แต่ประชาชนสามารถเข้าไปอ่านในข่าวที่นาย
สมคิดเคยพูดไว้ได้ เพราะในโลกสมัยใหม่ที่เป็นดิจิตอลจึงทำให้ไม่สามารถลบข่าวออกได้หมด ซึ่งก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมนาย
สมคิดถึงต้องละอายใจถึงขนาดที่ต้องมีการลบคลิปทิ้ง เพราะว่าแต่เขาแต่ตัวเองกลับทำได้แย่กว่ามาก และความล้มเหลวนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่นาย
สมคิดสมควรจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อย่างไรก็ดี ฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้ ว่าเป็นรัฐเซียงกง เปรียบเหมือนแหล่งค้าขายอะไหล่มือสอง ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีเสถียรภาพ และ ฉายา อิเหนาเมาหมัด น่าจะสะท้อนความเป็นตัวตนของรัฐบาลและพล.อ.
ประยุทธ์ ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะฉายาพล.อ.
ประยุทธ์ ที่พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย ชอบตำหนิรัฐบาลที่แล้วแต่ก็นำแนวคิดมาเลียนแบบทำเองซะหมด และพูดจาอะไรก็เข้าตัวเองหมด เหมือนสำนวน “
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” แต่มึนมากกว่าเหมือนเมาหมัดเพราะสับสน
แม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจนี้ หากจำกันได้ พล.อ.
ประยุทธ์ เพิ่งส่งเสริมให้ประชาชนพูดเรื่องเศรษฐกิจมากๆ โดยบอกเองว่าเพราะประเทศที่เจริญแล้วประชาชนจะพูดเศรษฐกิจกันมาก เพื่อจะได้ช่วยกันคิดพัฒนาประเทศ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก่อนหน้านี้กลับเรียกตนไปปรับทัศนคติหลายหน เพราะวิจารณ์เศรษฐกิจ ซึ่งแสดงถึงความสับสนในตัวเองสูง แต่ต่อมาอีกไม่กี่วันพล.อ.
ประยุทธ์ เองกลับบอกว่าอย่าวิจารณ์เศรษฐกิจมาก เพราะรัฐบาลจะแก้ไขเศรษฐกิจยาก
และหลังสุดบอกถ้าไม่รู้จริง อย่าโพสต์เศรษฐกิจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าขนาดหลักคิดง่ายๆ เรื่องการพูดเรื่องเศรษฐกิจพลเอก
ประยุทธ์เอง ยังไม่รู้จริงและคิดสับสนกลับไปกลับมา แล้วเรื่องเศรษฐกิจอื่นจะรู้เรื่องได้อย่างไร ซึ่งตนได้เคยท้ามาตลอดว่าหากพล.อ.
ประยุทธ์ เชื่อว่ารู้เศรษฐกิจอย่างแท้จริง ก็ควรจะกล้าออกทีวีให้ตนสัมภาษณ์ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่า พลเอก
ประยุทธ์จะมีความรู้ทางเศรษฐกิจจริงอย่างที่โม้ไว้หรือไม่ โดยตนยินดีส่งคำถามให้เตรียมตัวก่อนด้วย
ปีหนูทองสุดท้าทายธุรกิจแบงก์พาณิชย์ ระทึกสินเชื่อโต 3.8% เอ็นพีแอลพุ่งเกิน 3%
https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/1733061
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ประเมินว่า ปี 2563 ถือว่าเป็นอีกปีที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จะต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายรอบด้าน ที่เพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ต่อผลการดำเนินงาน โดยไล่เรียงจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่เติบโตในกรอบจำกัด เกณฑ์การกำกับดูแลของทางการ ที่เน้นดูแลและสร้างความเป็นธรรมต่อทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าผู้ประกอบการ ตลอดจนการบังคับใช้มาตรฐานการ บัญชีกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) จึงคาดว่า
สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า อาจเติบโตในกรอบจำกัดที่ 3.0-3.8%
ขณะที่ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (NIM) จะชะลอลงมาที่ 2.70-2.80% ตามแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยและโอกาส ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างปี ขณะที่
เศรษฐกิจที่เติบโตในกรอบต่ำอาจทำให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล ) ของระบบธนาคารพาณิชย์ขยับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 3.0% ตลอดทั้งปี
ดังนั้น สิ่งที่จะได้เห็นในปีหน้าคือ การหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการด้านต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ ทั้งที่ดำเนินการผ่านการปรับปรุงรูปแบบ การให้บริการของสาขา, ทบทวนจำนวนสาขาที่ให้บริการ, บริหารจัดการให้จำนวนพนักงานต่อสาขา มีความเหมาะสม, การเพิ่มทักษะความชำนาญให้พนักงานให้มีศักยภาพที่หลากหลาย, การปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสภาวะการแข่งขันในตลาด ให้บริการทางการเงินที่จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น จากผู้เล่นอื่นๆ อาทิ ผู้ประกอบการ ฟินเทค และผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซ์
ทั้งนี้ ปี 2563 จะได้ เห็นธนาคารพาณิชย์เร่งกระบวนการ เปลี่ยนผ่านของการยกระดับการให้บริการ ทางการเงิน ด้วยการขยายฐานลูกค้าและเร่งสร้างรายได้ใหม่ๆ จากแพลตฟอร์มของธนาคารพาณิชย์ อาทิ การปล่อยสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง ผ่านช่องทางออนไลน์, การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพันธมิตร เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศของบริการทางการเงินให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น.
JJNY : พิชัยสวนบิ๊กตู่ หยุดพูดศก./ปีหนูทอง ระทึกสินเชื่อโต3.8% เอ็นพีแอลพุ่งเกิน3%/ช็อก!'เพลินวาน'จ่อปิด อ้างเจอพิษศก.
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1837519
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้เตือนคนที่ไม่เข้าใจเศรษฐกิจอย่าโพสต์ซึ่งจะสร้างความขัดแย้ง ซึ่งตนเห็นว่าคนแรกเลยที่ไม่ควรโพสต์ หรือพูดเศรษฐกิจคือ พลเอกประยุทธ์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ไม่เคยแสดงให้ประชาชนเห็นเลย ว่ามีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจเลย
และยิ่งมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองก็ยิ่งไปกันใหญ่ นอกจากนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ได้แสดงความเห็นทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาโดยตลอด พูดเหมือนคนไม่รู้เรื่อง และทำให้ความมั่นใจของประเทศหดหาย จึงทำให้การลงทุนหดหายไปด้วย ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์เองยังไม่รู้ตัวเองเลยว่า เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปัจจุบันเป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาตลอด 5 ปีกว่า ที่การลงทุนหดหาย ส่งผลทำให้การส่งออกติดลบ
ล่าสุดการส่งออกเดือนพฤศจิกายนยิ่งติดลบหนักถึง -7.4% และเศรษฐกิจของไทยจะยิ่งเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ โรงงานจะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีก คนจะยิ่งตกงานเพิ่มขึ้น หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น เหมือนทฤษฎีกบต้มที่ตนเคยเตือนไว้แล้ว แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังขาดความรู้ว่ามีทฤษฎีกบต้มนี้อยู่จริง จึงได้ส่งพลตรี บุรินทร์ ทองประไพ ไปฟ้องตน ซึ่งถ้ามีความรู้อยู่บ้าง คงไม่กล้าส่งคนไปฟ้องตนแน่
ก่อนหน้านี้ที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดว่า “ผมทำมากกว่าไอ้รัฐบาลบ้าพวกนั้นอีก จะบอกให้ ผมรู้มากกว่าที่เขารู้อีก ผมไม่โง่ขนาดนั้นหรอก” ยิ่งแสดงถึงความไม่รู้มากเข้าไปอีก เพราะหากเทียบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะพบว่าช่วง 5 ปีกว่า รัฐบาลประยุทธ์มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุดในแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา และรัฐบาลที่ผ่านมาคงไม่แย่พอที่จะคิดว่า จะปลูกหมามุ่ยแทนปลูกข้าวได้ เพราะไม่รู้ว่าจะนำหมามุ่ยจำนวนมากไปขายที่ไหน น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา แล้วเมื่อน้ำลดแต่ปลายังไม่โตจะทำอย่างไร คิดถึงขนาดจะส่งรองเท้าแตะ ขัน ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ที่พลทหารทุกคนใช้กันไปขายทั่วโลกได้ นำเงินประกันสังคมปล่อยกู้ได้ทั้งที่มีกฏหมายห้ามไว้ อาหารทะเลแพงก็ไม่ต้องกิน และ ส่งยางพาราขายดาวอังคารได้ ซึ่งคงไม่มีรัฐบาลในอดีตจะสามารถคิดได้ย่ำแย่ขนาดนี้ แล้วจะบอกว่าไม่โง่ขนาดนั้นได้อย่างไร
โดยหากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำได้ดีกว่ารัฐบาลในอดีตจริง ก็คงไม่มีการลบคลิปการปาฐกถาของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่พูดโจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในช่วงก่อนการปฏิวัติปลายปี 2556 โดยต่อว่ารัฐบาลในขณะนั้นได้ทำให้ทุกเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อม แต่เมื่อนายสมคิดได้เข้ามาบริหารเศรษฐกิจแทนหลังการปฏิวัติ กลับทำให้ทุกเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อมหนักยิ่งกว่าเดิมมาก ทั้งการส่งออกที่ติดลบ การลงทุนที่หดหาย รายได้ของประชาชนที่ตกต่ำทำให้การบริโภคลดลง และ การพัฒนาประเทศที่เสื่อมถอย
จนนายสมคิดเองอาจจะทนละอายใจไม่ไหว จึงมีการลบคลิปที่พูดออกไป แต่ประชาชนสามารถเข้าไปอ่านในข่าวที่นายสมคิดเคยพูดไว้ได้ เพราะในโลกสมัยใหม่ที่เป็นดิจิตอลจึงทำให้ไม่สามารถลบข่าวออกได้หมด ซึ่งก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมนายสมคิดถึงต้องละอายใจถึงขนาดที่ต้องมีการลบคลิปทิ้ง เพราะว่าแต่เขาแต่ตัวเองกลับทำได้แย่กว่ามาก และความล้มเหลวนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่นายสมคิดสมควรจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อย่างไรก็ดี ฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้ ว่าเป็นรัฐเซียงกง เปรียบเหมือนแหล่งค้าขายอะไหล่มือสอง ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีเสถียรภาพ และ ฉายา อิเหนาเมาหมัด น่าจะสะท้อนความเป็นตัวตนของรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะฉายาพล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย ชอบตำหนิรัฐบาลที่แล้วแต่ก็นำแนวคิดมาเลียนแบบทำเองซะหมด และพูดจาอะไรก็เข้าตัวเองหมด เหมือนสำนวน “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” แต่มึนมากกว่าเหมือนเมาหมัดเพราะสับสน
แม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจนี้ หากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งส่งเสริมให้ประชาชนพูดเรื่องเศรษฐกิจมากๆ โดยบอกเองว่าเพราะประเทศที่เจริญแล้วประชาชนจะพูดเศรษฐกิจกันมาก เพื่อจะได้ช่วยกันคิดพัฒนาประเทศ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก่อนหน้านี้กลับเรียกตนไปปรับทัศนคติหลายหน เพราะวิจารณ์เศรษฐกิจ ซึ่งแสดงถึงความสับสนในตัวเองสูง แต่ต่อมาอีกไม่กี่วันพล.อ.ประยุทธ์ เองกลับบอกว่าอย่าวิจารณ์เศรษฐกิจมาก เพราะรัฐบาลจะแก้ไขเศรษฐกิจยาก
และหลังสุดบอกถ้าไม่รู้จริง อย่าโพสต์เศรษฐกิจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าขนาดหลักคิดง่ายๆ เรื่องการพูดเรื่องเศรษฐกิจพลเอกประยุทธ์เอง ยังไม่รู้จริงและคิดสับสนกลับไปกลับมา แล้วเรื่องเศรษฐกิจอื่นจะรู้เรื่องได้อย่างไร ซึ่งตนได้เคยท้ามาตลอดว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่ารู้เศรษฐกิจอย่างแท้จริง ก็ควรจะกล้าออกทีวีให้ตนสัมภาษณ์ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่า พลเอกประยุทธ์จะมีความรู้ทางเศรษฐกิจจริงอย่างที่โม้ไว้หรือไม่ โดยตนยินดีส่งคำถามให้เตรียมตัวก่อนด้วย
ปีหนูทองสุดท้าทายธุรกิจแบงก์พาณิชย์ ระทึกสินเชื่อโต 3.8% เอ็นพีแอลพุ่งเกิน 3%
https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/1733061
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ประเมินว่า ปี 2563 ถือว่าเป็นอีกปีที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จะต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายรอบด้าน ที่เพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ต่อผลการดำเนินงาน โดยไล่เรียงจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่เติบโตในกรอบจำกัด เกณฑ์การกำกับดูแลของทางการ ที่เน้นดูแลและสร้างความเป็นธรรมต่อทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าผู้ประกอบการ ตลอดจนการบังคับใช้มาตรฐานการ บัญชีกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) จึงคาดว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า อาจเติบโตในกรอบจำกัดที่ 3.0-3.8%
ขณะที่ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (NIM) จะชะลอลงมาที่ 2.70-2.80% ตามแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยและโอกาส ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างปี ขณะที่ เศรษฐกิจที่เติบโตในกรอบต่ำอาจทำให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล ) ของระบบธนาคารพาณิชย์ขยับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 3.0% ตลอดทั้งปี
ดังนั้น สิ่งที่จะได้เห็นในปีหน้าคือ การหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการด้านต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ ทั้งที่ดำเนินการผ่านการปรับปรุงรูปแบบ การให้บริการของสาขา, ทบทวนจำนวนสาขาที่ให้บริการ, บริหารจัดการให้จำนวนพนักงานต่อสาขา มีความเหมาะสม, การเพิ่มทักษะความชำนาญให้พนักงานให้มีศักยภาพที่หลากหลาย, การปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสภาวะการแข่งขันในตลาด ให้บริการทางการเงินที่จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น จากผู้เล่นอื่นๆ อาทิ ผู้ประกอบการ ฟินเทค และผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซ์
ทั้งนี้ ปี 2563 จะได้ เห็นธนาคารพาณิชย์เร่งกระบวนการ เปลี่ยนผ่านของการยกระดับการให้บริการ ทางการเงิน ด้วยการขยายฐานลูกค้าและเร่งสร้างรายได้ใหม่ๆ จากแพลตฟอร์มของธนาคารพาณิชย์ อาทิ การปล่อยสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง ผ่านช่องทางออนไลน์, การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพันธมิตร เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศของบริการทางการเงินให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น.