ตำนานแห่งความกล้าหาญ

ตำนานความกล้าหาญของผู้โดยสาร”United Airlines Flight 93″ 



United Airlines เที่ยวบินที่ 93 (UA 93) เป็นเที่ยวบินภายในประเทศของอเมริกา ออกเดินทางเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 จาก Newark Liberty International Airport ที่เมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ และมีจุดหมายปลายทางคือ San Francisco International Airport เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย

เที่ยวบินดังกล่าวเป็นเครื่องบินโดยสาร Boing 757-200 สามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 182 คน แต่ในเช้าวันนั้น เครื่องว่าง มีผู้โดยสารเพียง 37 คน และลูกเรืออีก 7 คน รวมเป็น 44 คน หลังจากเครื่องบินออกเดินทางประมาณ 46 นาที เครื่องบินก็ถูกจี้โดยผู้ก่อการร้ายนำโดย ซิอัด จาร์ราห์ ชาวเลบานอน สมาชิกกลุ่มอัลเคดา สลัดอากาศได้ทำการยึดเครื่องบิน บริเวณเหนือน่านฟ้านิวยอร์ก โดยมีเป้าหมายคือ พุ่งชนอาคารรัฐสภา

การขาดการติดต่อของ UA 93 ถูกรายงานจากศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศที่คลีฟแลนด์ ไปยัง สำนักงานการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ FAA เช่นเดียวกับ Todd Morgan Beamer ได้โทรศัพท์ไปยังโอเปอเรเตอร์ เก็บเงินปลายทาง โดยแจ้งเหตุการยึดเครื่องบินโดยชาย 3 คน อ้างว่ามีระเบิด และนักบินได้ตายแล้ว โดยสลัดอากาศคนหนึ่งมีระเบิดพร้อมสายคาดสีแดงมัดติดกับเสื้อนอก   ผู้โดยสารบนเครื่องตัดสินใจกระทำการบางอย่างเพื่อยึดเครื่องคืนจากสลัดอากาศ  จนแผนการใช้เครื่องบินเข้าก่อวินาศกรรมด้วยเครื่องยูไนเต็ด 93 ล้มเหลว
 
ภายหลังเมื่อเจ้าหน้าที่จากสำนักงานความปลอดภัยในการคมนาคมขนส่งของสหรัฐ NTSB ได้พบกล่องดำ และกล่องบันทึกการสนทนาบนเครื่องบินจึงรู้ว่า ก่อนเครื่องตกผู้โดยสารได้ร่วมกันต่อสู่กับสลัดอากาศเพื่อยึดเครื่องคืน โดยได้ยินทั้งเสียงการสนทนาของสลัดอากาศ เสียงการต่อสู้ เสียงการทุบกระจก และเสียงกรีดร้องของผู้โดยสารคืนอื่นๆ
 
United Airlines เที่ยวบินที่ 93 เป็นเที่ยวบินเดียวที่ไม่ประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายของสลัดอากาศ จากการจี้เครื่องบินทั้ง 4 ลำในวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 จนหลายคนยกย่องผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้เป็นผู้กล้าหาญ
Cr.https://www.wegointer.com/2014/ตำนานความกล้าหาญ

เหรียญกษาปณ์เงินรุ่นใหม่ เพื่อเชิดชูเกียรติบิลลี บิชอป นักบินรบระดับตำนาน


เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019  โรงกษาปณ์แคนาดาถ่ายทอดเรื่องราวความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อเชิดชูเกียรติแด่บิลลี บิชอป นักบินรบชาวแคนาดาผู้เก่งกล้าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 บนเหรียญกษาปณ์เงินเกรดดีเพื่อสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติอันน่าภาคภูมิใจ ในการรำลึกถึงเหล่าชายหญิงผู้กล้าที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ด้านกองทัพของแคนาดา

ย้อนกลับไปเมื่อ 125 ปีที่แล้ว บิลลี บิชอป ทหารอากาศผู้เก่งกล้าจากเมืองโอเวนซาวน์ ออนแทรีโอ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นนักบินรบแห่งกองบินทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งได้รับการบันทึกสถิติที่มีการยืนยันถึงการสังหาร 72 ครั้ง และได้รับเหรียญกล้าหาญ (Victoria Cross) ในฐานะเป็นผู้บุกโจมตีอย่างเด็ดเดี่ยวในลานบินแห่งหนึ่งของเยอรมนีใกล้กับเมืองก็องเบรของฝรั่งเศส 

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2460 ชื่อเสียงของเขาเป็นที่กล่าวขานมากขึ้น เมื่อมีผู้เชื่อว่าเขาเป็นผู้ยิงเครื่องบินของบารอน มันเฟรด ฟอน ริชโทเฟน เจ้าของฉายาเรด บารอน
เพื่อเป็นการรำลึกถึงบิชอป ผู้บัญชาการกองบินรบ เหรียญที่ระลึกรูปแบบใหม่ที่สวยสะดุดตานี้จึงได้มีการสลักภาพของนักบินผู้เลื่องชื่อในรูปแบบที่มีสีสันพร้อมเครื่องบินรบคู่กาย Nieuport 17 ที่เขาตั้งชื่อให้ว่า “Little Daisy”
Cr.https://www.prbuffet.com/-8

ฮันนิบาล "บิดาแห่งยุทธศาสตร์" ในตำนาน


Hannibal Barka (247-183 BC) คือผู้บัญชาการที่โดดเด่นของชาวคาร์เธจ (Carthage)ในประวัติศาสตร์โลก เมื่อ 241 ปีก่อนคริสตกาล บิดาของเขา ฮามิลการ์ บาร์กา (Hamilcar Barca) เป็นแม่ทัพและรัฐบุรุษที่ไม่พึงพอใจในสนธิสัญญาสงบศึกกับโรมัน ซึ่งทำให้คาร์เธจต้องเสียทั้งอาณานิคมซิซิลี และต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้โรมัน นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันได้บันทึกไว้ว่า ฮามิลการ์สั่งให้ฮันนิบาลในวัยเยาว์สาบานเลือดว่าจะจองเวรกับโรมันตราบชั่วชีวิตของเขา
โดยในการยุทธที่ Cannae เมื่อ 216 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของเขาขยี้กองทัพโรมจนย่อยยับ เขาพลิกวิกฤตเป็นโอกาสโดยการถอนกำลังตรงกลางแนวรบ ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย มาใช้สร้างแนวตีโอบ สิ่งนี้ทำให้ทหารโรมันซึ่งกำลังบุกโจมตีถูกขนาบข้างและถูกล้อม การดำเนินกลยุทธ์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์การทหาร และยุทธการที่ Cannae ยังเป็นหนึ่งในการรบที่นองเลือดที่สุดสำหรับกองทัพใดๆ ในยุโรป ซึ่งเกิดขึ้นภายในวันเดียว
 
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขายังคงรักษาสัญญาเลือด และจองเวรกับโรมันจวบจนห้วงสุดท้ายของชีวิต ท้ายที่สุด ความตายของเขามาถึง  ในป้อมปราการแห่งหนึ่งใน Libyssa (ในตุรกี ณ ปัจจุบัน) โดยการฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ แทนที่จะยอมจำนนต่อกองกำลังโรมันซึ่งกำลังปิดล้อมป้อมปราการของเขา
Cr.https://ngthai.com/history/19818/hannibal/

“เลโอ เมเจอร์” วีรบุรุษคาดที่ปิดตา ปลดปล่อยเมืองทั้งเมืองจากนาซีด้วยตัวคนเดียว


(เลโอกับเจ้าหน้าที่และเด็กๆ ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการปลดปล่อยซโวลเลอ)

เรื่องราวของเลโอ ในสงครามโลก เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 เมื่อเขาและเพื่อนทหารแคนาดาบุกขึ้นฝั่งที่ฝรั่งเศส ในเหตุการณ์ที่เรารู้จักกันในนาม D-Day   เลโอได้รับหน้าที่เป็นแนวหน้าหน่วยสำรวจ และสร้างผลงานที่โดดเด่นเป็นครั้งแรกด้วยการบุกยึดรถหุ้มเกราะของเยอรมันด้วยตัวคนเดียว ในระหว่างที่เข้าไปสำรวจพื้นที่แดนข้าศึก และบังคับให้คนขับรถที่เป็นทหารนาซี ขับรถกลับไปยังฐานทัพ

หลายวันหลังจากนั้น ระหว่างที่เลโอกำลังทำภารกิจเข้าไปสำรวจพื้นที่แดนข้าศึกอีกครั้ง เขาก็ได้ถูกพบโดยหน่วยทหารของนาซี 
ในเวลานั้น เลโอได้ทำการยิงสังหารทหารนาซีไปได้ 4 ราย ก่อนที่หนึ่งในทหารที่บาดเจ็บจะทำการโยนระเบิด (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าเป็นระเบิดฟอสฟอรัส) ใส่เลโอ ส่งผลให้ดวงตาข้างซ้ายของเลโอบอดสนิท

หลังจากที่ตาบอดไปหนึ่งข้าง เลโอก็เริ่มต่อสู้โดยใส่ผ้าปิดตาข้างหนึ่ง  โดยเขาเข้าร่วมศึกมากมายในระหว่างการบุกจากฝรั่งเศสไปยังเนเธอร์แลนด์ จนกระทั่งในวันหนึ่ง เข้าได้รับคำสั่งให้ไปตามหา ทหารเกณฑ์ของแคนาดาที่หายไประหว่างการลาดตระเวน
เขาตัดสินใจทำภารกิจนี้ด้วยคนเดียว และออกเดินทางไปหลังแดนข้าศึกในค่ำคืนที่ทั้งมืด หนาว และมีฝนตก แต่แทนที่จะพบกับทหารที่หายไป เขากลับได้พบกับทหารนาซีกองหนึ่งซึ่งกำลังนอนหลับในหลุมเพาะที่เพิ่งขุดแทน

เพื่อไม่ให้โอกาสหลุดมือไป เลโอได้ปลุกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทหารด้วยการเอาปืนจ่อหน้า และบังคับให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวสั่งกองทหารให้ตามเขากลับค่าย  แน่นอนว่าในตอนแรกทหารนาซีบางส่วนได้พยายามต่อต้านเลโอ แต่หลังจากทหาร 4 คน โดนเลโอยิงสังหาร สุดท้ายทหารนาซีที่เหลือจึงยอมตามเขากลับค่ายอย่างสงบ
ในระหว่างทาง เลโอถูกดักโจมตีโดยหน่วย SS ส่งผลให้เชลยเยอรมันจำนวนมากต้องเสียชีวิตไป ก่อนที่รถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรจะมาถึง ช่วยชีวิตทหารที่เชลยที่เหลือ 93 คนและตัวเลโอเอาไว้
 
เลโอได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลเหรียญ “Distinguished Conduct Medal” ซึ่งเป็นเหรียญตราลำดับสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งอังกฤษเครือจักรภพจะสามารถมอบให้ทหารได้  แต่ลีโอปฏิเสธเหรียญรางวัลดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่านายพลของอังกฤษผู้ซึ่งจะมอบเหรียญรางวัลให้แก่เขานั้น “ไร้ความสามารถ”

เลโอทำภารกิจในการรบอีกหลายครั้งจนได้รับบาดเจ็บหนักจากแรงระเบิด แต่ก็ยังคงไม่ยอมที่จะถูกส่งตัวกลับ จนในภารกิจที่เนเธอร์แลนด์ กองกำลังฝั่งสัมพันธมิตรได้วางแผนที่จะเข้าปลดปล่อยเมืองขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “ซโวลเลอ” (Zwolle) เลโอตัดสินใจออกตระเวนไปรอบเมืองคนเดียวเพื่อก่อความโกลาหลให้มากที่สุด
เขาได้พบกับกลุ่มชาวเมืองที่มีสมาชิกลับของฝ่ายต่อต้านชาวดัตช์อยู่ด้วย  เลโอและฝ่ายต่อต้านในเมืองจึงตัดสินใจที่จะรวบรวมคนเพื่อปลดปล่อยเมือง โดยเข้ายึดศาลากลางเมืองคืน จนทหารนาซีถอนกำลังจากเมืองไปจนหมด

เขาถูกเสนอให้รับเหรียญ Distinguished Conduct Medal อีกครั้ง และในครั้งนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะรับเหรียญดังกล่าวเอาไว้
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงเลโอได้ออกจากกองทัพและกลับไปทำงานในฐานะพลเรือนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อสงครามเกาหลีเริ่มขึ้น เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะกลับเข้าสู่กองทัพอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ เขาได้เป็นหน่วยซุ่มยิงและสอดแนมพิเศษ ภายในการรบที่เกาหลีใต้
Cr.https://www.catdumb.tv/leo-major-378/

ความกล้าหาญของกองทัพไทยกับเหล่ายุวชนทหาร


(ภาพ:ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งในจังหวัดปัตตานี วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 หรือ 1941)

8 ธันวาคม เมื่อปี 1941 หลังจากถล่มกองเรือสหรัฐฯที่ Pearl Harbor จนเสียหายอย่างหนักกองทัพจักรวรรดิญี่ปุนก็เริ่มทำการรุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้ยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทยทางฝั่งอ่าวไทย รวม 7 จังหวัด คือ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และกองกำลังทางบกก็รุกรานเข้ามาทางภาคตะวันออกผ่านจังหวัด พิบูลสงคราม

ซึ่งการรุกรานนี้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้าปะทะกับ ทหาร ตำรวจ ยุวชนทหาร และ ประชาชนจากทางฝั่งไทย ถึงแม้ทางกองทัพไทยกับเหล่ายุวชนทหารจะเสียเปรียบกองทัพจักวรรดิญี่ปุ่นแทบทุกด้านแต่ก็ได้ทำการต่อสู้ต้านรับการบุกอย่างกล้าหาญจนสามารถสร้างความลำบากต่อการบุกของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นจนกระทั่งรัฐบาลไทยได้สั่งหยุดยิงเมื่อเวลา 11.00 น. โดยประมาณ เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นทราบว่ากลุ่มยุวชนทหารเป็นเพียงนักเรียนมัธยม จึงส่งหนังสือเชิดชูความกล้าหาญมายังกระทรวงกลาโหมของไทยและในวันที่ 21 ธันวาคม 1941

ปัจจุบัน รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “ วันนักศึกษาวิชาทหาร “ ซึ่งจะมีการจัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของ ทหาร ตำรวจ ยุวชนทหาร และประชาชน ที่ได้ร่วมมือต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2
Cr.ขอบคุณ:‎Artid Savenghasap‎ / https://th-th.facebook.com/สงคราม 20+

หนึ่งในภาพอันเป็นตำนานของแนวรบด้านตะวันออก (1941-1945) 


หนึ่งในภาพอันเป็นตำนานของแนวรบด้านตะวันออก (1941-1945) คือภาพนายทหารโซเวียต ชูปืนพกประจำกายหันหลังไปตะโกนบอกสหายลูกน้องให้รุกรบไปข้างหน้า
นายทหารโซเวียตท่านนี้ เขาคือ อเล็กเซย์ เยโรเมงโก้ นายทหารฝ่ายการเมือง หรือ คอมมิสซาร์ ประจำกรมปืนเล็กยาวที่ 220 กองพลปืนเล็กยาวที่ 4 เขาและสหายลูกน้อง นำกำลังเข้าตีหมู่บ้านโครอสเซเย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองโวโลชิโรกราด ซึ่งอยู่ในยูเครน ในวันที่ 12 กรกฎาคม 1942 

โดยช่างภาพและนักข่าวสงคราม แม็กซ์ อัลเพิร์ท ที่ต้องหมอบอยู่ในหลุมบุคคลเพื่อถ่ายภาพสำคัญนี้ เขาสามารถถ่ายภาพวินาทีที่เยโรเมงโก้ชูปืนพกแบบโตกาเรฟ 33 พร้อมกับตะโกนอย่างสุดเสียงให้สหายลูกน้องทุกคนได้ยินว่า "Атака แอทตากา" ซึ่งแปลว่า โจมตี
ช่างโชคร้ายที่ไม่กี่นาทีต่อมา เยโรเมงโก้ ถูกยิงเสียชีวิตในการรบ
Cr.War History with Teacher Panyanat
Cr.https://th-th.facebook.com/pages/category/Education-Website/สงคราม-20-502091946518622/

ขออนุญาตและขอบคุณข้อมูลทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมในลิ้งค์ได้ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่