คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
อ่านรอบเดียว หวังว่าจะเข้าใจถูกนะคะ
อ่านจบอยากบอกว่าเราเองพอจะเข้าใจ จขกท เพราะเคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน และแม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอยู่ แรกสุด ขอแนะนำให้ จขกท กลับไปพบจิตแพทย์ อาจจำเป็นต้องทำจิตบำบัดในช่วงเวลานี้ ซึ่งเรามองว่าเป็นช่วงการทรานส์ฟอร์ม หรือไม่ก็อาจเรียกได้ว่ากำลังดิ้นรนต่อสู้ภายใน้พื่อการเติบโตขึ้นในทางจิตวิญญาณ นอกจากนั้น อยากแนะนำให้ จขกท ศึกษาหลักธรรมของพระพุทธองค์อีกทางหนึ่งด้วย
โดยส่วนตัวคิดว่าสิ่งแรกที่ จขกท ต้องพัฒนาขึ้น คือความสามารถในการมองเห็นไดนามิค จากเดิมที่ดูเหมือนว่าการมองเห็นโลกและสรรพสิ่งของ จขกท ค่อนข้างนิ่ง และเป็นทวินิยม ไม่ดีก็ชั่ว ไม่ขาวก็ดำ ชัดเจน เพราะความจริงแล้วมันมีสเปคตรัมละเอียดแยกย่อยออกเป็นเทา เทาอ่อนเทาเข้มอีกมาก จิตแพทย์เคยบอกว่าคนที่เติบโต หรืออาจเรียกได้ว่ามีวุฒิภาวะ จะมองเห็นโลกในลักษณะที่ไม่ใช่ดีหรือชั่ว ใช่ทั้งหมดหรือไม่ใช่ทั้งหมด
นึกภาพตามที่ จขกท เล่าว่าพอเจอความจริง ทำให้รู้สึกถูกหักหลังนั้น พอจะเข้าใจเลยค่ะ ว่ามันเจ็บปวด ผิดหวัง สิ้นหวัง กระทั่งหมดศรัทธาในชีวิต ทั้งตนเอง ผู้อื่นและโลก เมื่อเจอแบบนี้ แน่นอนนะคะ ว่าชีวิตไปต่อลำบาก ยากจะเลี่ยงความเจ็บป่วยที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าได้
เราเอง เดิมเชื่อว่า ธรรมชาติของคนนั้นดีงาม หรืออย่างน้อยหากจะทำผิดบ้าง แต่พอจะรู้จักดีรู้จักชั่ว แต่เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น โลกกว้างขึ้น มันเริ่มเปิดเผยตัวเองว่าผิดจากความคิดความเชื่อที่มีมานับตั้งแต่เป็นเด็ก ความดี ความงามและความจริงกลายเป็นสิ่งชวนขำ และถูกล้อเลียนเพราะมันมีลักษณะไอเดียล ชีวิตจริงและโลกจริง แตกต่างหรือกระทั่งตรงข้ามจากสิ่งเหล่านั้น ทุกวันนี้ เคสเราต่างจาก จขกท ตรงที่เราเองพัฒนาตนเองให้สามารถมองเห็นโลกตามจริงหรือตามที่มันเป็น โดยเป็นทุกข์น้อยลง เรียนรู้ว่าคนแตกต่างหลากหลาย คงเพราะเราเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว เรายังเลือกที่จะอยู่กับความเชื่อเดิมของเรา แต่อยู่เป็นมากขึ้น ไม่ทุกข์ ไม่ตะลึง ไม่งง ไม่เสียใจ ไม่ตกใจและไม่แปลกใจเท่าแต่ก่อน ในทางจิตวิทยาอาจเรียกได้ว่าดีเซ็นซิไทส์ หรือไม่อ่อนไหวเท่าเดิม สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่องการรู้จักคุ้มครองจิตด้วยสติให้ได้เสมอ และในการปฏิบัติตัวของตนเองก็ยังค่อนไปทางความเชื่อเดิมของตนเอง ยังเชื่อในเรื่องความดี ความงามและความจริง เรื่องกรรมและผลของกรรม และอื่น ๆ รวมถึงการเห็นโลกในระดับปรมัตถ์ ทั้งที่อยู่ในโลกสมมติ หากถามว่าอยู่ยากหรือไม่ ตอบได้เลยค่ะ ว่ามาก (^^)
เขียนมายาว หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อ จขกท อยู่บ้าง กลับไปหาหมออีกครั้ง และหากพอทำได้ ขอแนะนำให้เริ่มศึกษาหลักธรรมของพระพุทธองค์ค่ะ
ป.ล. พิมพ์จากโทรศัพท์ ไม่ถนัดเท่าพิมพ์จากแลปท้อป ไม่มีย่อหน้า ไม่เปลี่ยนตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษ ขออภัยล่วงหน้าค่ะ
ป.ล. 1 เข้ามาจัดย่อหน้าใหม่ และแก้ไขคำพิมพ์ตก และพิมพ์ผิดค่ะ
อ่านจบอยากบอกว่าเราเองพอจะเข้าใจ จขกท เพราะเคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน และแม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอยู่ แรกสุด ขอแนะนำให้ จขกท กลับไปพบจิตแพทย์ อาจจำเป็นต้องทำจิตบำบัดในช่วงเวลานี้ ซึ่งเรามองว่าเป็นช่วงการทรานส์ฟอร์ม หรือไม่ก็อาจเรียกได้ว่ากำลังดิ้นรนต่อสู้ภายใน้พื่อการเติบโตขึ้นในทางจิตวิญญาณ นอกจากนั้น อยากแนะนำให้ จขกท ศึกษาหลักธรรมของพระพุทธองค์อีกทางหนึ่งด้วย
โดยส่วนตัวคิดว่าสิ่งแรกที่ จขกท ต้องพัฒนาขึ้น คือความสามารถในการมองเห็นไดนามิค จากเดิมที่ดูเหมือนว่าการมองเห็นโลกและสรรพสิ่งของ จขกท ค่อนข้างนิ่ง และเป็นทวินิยม ไม่ดีก็ชั่ว ไม่ขาวก็ดำ ชัดเจน เพราะความจริงแล้วมันมีสเปคตรัมละเอียดแยกย่อยออกเป็นเทา เทาอ่อนเทาเข้มอีกมาก จิตแพทย์เคยบอกว่าคนที่เติบโต หรืออาจเรียกได้ว่ามีวุฒิภาวะ จะมองเห็นโลกในลักษณะที่ไม่ใช่ดีหรือชั่ว ใช่ทั้งหมดหรือไม่ใช่ทั้งหมด
นึกภาพตามที่ จขกท เล่าว่าพอเจอความจริง ทำให้รู้สึกถูกหักหลังนั้น พอจะเข้าใจเลยค่ะ ว่ามันเจ็บปวด ผิดหวัง สิ้นหวัง กระทั่งหมดศรัทธาในชีวิต ทั้งตนเอง ผู้อื่นและโลก เมื่อเจอแบบนี้ แน่นอนนะคะ ว่าชีวิตไปต่อลำบาก ยากจะเลี่ยงความเจ็บป่วยที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าได้
เราเอง เดิมเชื่อว่า ธรรมชาติของคนนั้นดีงาม หรืออย่างน้อยหากจะทำผิดบ้าง แต่พอจะรู้จักดีรู้จักชั่ว แต่เมื่อใช้ชีวิตมานานขึ้น โลกกว้างขึ้น มันเริ่มเปิดเผยตัวเองว่าผิดจากความคิดความเชื่อที่มีมานับตั้งแต่เป็นเด็ก ความดี ความงามและความจริงกลายเป็นสิ่งชวนขำ และถูกล้อเลียนเพราะมันมีลักษณะไอเดียล ชีวิตจริงและโลกจริง แตกต่างหรือกระทั่งตรงข้ามจากสิ่งเหล่านั้น ทุกวันนี้ เคสเราต่างจาก จขกท ตรงที่เราเองพัฒนาตนเองให้สามารถมองเห็นโลกตามจริงหรือตามที่มันเป็น โดยเป็นทุกข์น้อยลง เรียนรู้ว่าคนแตกต่างหลากหลาย คงเพราะเราเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว เรายังเลือกที่จะอยู่กับความเชื่อเดิมของเรา แต่อยู่เป็นมากขึ้น ไม่ทุกข์ ไม่ตะลึง ไม่งง ไม่เสียใจ ไม่ตกใจและไม่แปลกใจเท่าแต่ก่อน ในทางจิตวิทยาอาจเรียกได้ว่าดีเซ็นซิไทส์ หรือไม่อ่อนไหวเท่าเดิม สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่องการรู้จักคุ้มครองจิตด้วยสติให้ได้เสมอ และในการปฏิบัติตัวของตนเองก็ยังค่อนไปทางความเชื่อเดิมของตนเอง ยังเชื่อในเรื่องความดี ความงามและความจริง เรื่องกรรมและผลของกรรม และอื่น ๆ รวมถึงการเห็นโลกในระดับปรมัตถ์ ทั้งที่อยู่ในโลกสมมติ หากถามว่าอยู่ยากหรือไม่ ตอบได้เลยค่ะ ว่ามาก (^^)
เขียนมายาว หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อ จขกท อยู่บ้าง กลับไปหาหมออีกครั้ง และหากพอทำได้ ขอแนะนำให้เริ่มศึกษาหลักธรรมของพระพุทธองค์ค่ะ
ป.ล. พิมพ์จากโทรศัพท์ ไม่ถนัดเท่าพิมพ์จากแลปท้อป ไม่มีย่อหน้า ไม่เปลี่ยนตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษ ขออภัยล่วงหน้าค่ะ
ป.ล. 1 เข้ามาจัดย่อหน้าใหม่ และแก้ไขคำพิมพ์ตก และพิมพ์ผิดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
หายจากโรคซึมเศร้า แต่รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง รับตัวเองไม่ได้ ทำไงดีครับ
"ผมโดนหักหลังจากความรัก" ผมดิ่งมากๆ และพบว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า เพราะความคิดที่ขัดแย้งกัน และหนักมากๆเมื่อมันเกิดมาเป็น ตอนวัยทำงาน ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปจนหมด ผมเลิกเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดชีวิต ผมไม่มีศาสนาด้วยซ้ำในตอนนี้ ผมไม่ศรัทธาในอะไรเลย การสวด ไหว้ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการทำบุญ ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ผมเป็นแบบนี้ ข่าวเด็กยากไร้ที่แชร์กันทั่วๆไปจากปกติผมก็โอนเงินช่วยเหลือตลอด ทุกวันนี้กลับเฉยๆ ไม่แม้แต่ศรัทธาตัวเอง ความคิดที่จะทำแบบเดิมมันมีนะ จากหลายเหตุการที่ผ่านมา ทำให้เราคิดถึงความจริงได้ว่า เราไม่อาจเปลี่ยนความจริงของใจคนด้วยการเป็นคนดีได้ เหล้า เบียร์ บุหรี่ จากที่เคยเห็นว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี มันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาของผม แต่ผมไม่ได้สูบหรือดื่มนะ แค่จากที่เห็นว่ามันมันไม่ดี ตอนนี้กลับเฉยๆนะ ใครชวนสูบ-ดื่ม ก็เอาด้วยหมดตอนนี้ จากที่เคยปฏิเสธมาตลอด หรือฒอาจแค่ต้องการมิตรภาพ หรือความจริงใจจากคนเหล่านี้กันแน่ ผมไม่รู้ ต่อไปจะหนักขึ้นหรือป่าวผมไม่แน่ใจนะ ผมควรทำไงดี จะกลับไปพบจิตแพทย์อีกรอบดีมั้ยครับ ใครเป็นเหมือนผม หรือมีวิธีการปรับตัว ปรับความคิดอย่างไรบอกหน่อยครับ