......แพทย์หญิง-ปุจฉา, หลวงพ่อชา-วิสัชนา
ถาม
ในบางขณะที่จิตของเรา บังเกิดบังหมองขึ้น แต่เราก็รู้ตัวของเราเอง เช่น บางครั้งเราเกิดโทสะโมหะและโลภะขึ้น เราก็รู้ว่ามันเป็นของที่น่ารังเกียจ แต่มันบังเกิดขึ้นโดยที่เราห้ามไม่ได้ ทั้งๆที่เรารู้อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นเครื่องให้เรายึดเหนี่ยวมากขึ้น หรือดึงกลับไปสู่ที่เดิมมากขึ้น
ตอบ
นั่นแหละ ต้องรู้มันไว้ ตรงนั้นแหละ คือข้อปฏิบัติหละ
ถาม
คือทั้งๆ ที่รู้แล้ว และก็รังเกียจด้วยค่ะ แต่ไม่สามารถจะหักห้าม มันพลุ่งออกมาเสียแล้ว
ตอบ
อันนั้น มันเหลือวิสัยของมันแล้ว ตรงนั้นต้องปรับพิจารณาอีกต่อไป อย่าไปทิ้งมันตรงนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น บางคนก็เสียใจ ไม่สบายใจ เมื่อเห็นขึ้นมาเช่นนั้น ก็เรียกว่า… อันนี้มันก็ไม่แน่ เพราะว่าเราเห็นความผิดมันอยู่ แต่เรายังไม่พร้อม คือมันเป็นของมัน คือกรรมที่มันเหลือเศษอยู่ มันปรุงแต่งขึ้นมา เราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น อันนี้เรียกว่า “ความรู้” เรายังไม่พอ… ไม่ทัน จะต้องทำสตินี้ให้มาก ให้รู้ยิ่งขึ้น มันจะเศร้าหมองก็ช่างมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมา เราก็พิจารณาว่า อันนี้มันก็เป็นของไม่เที่ยง… ไม่แน่นอน พิจารณาอยู่ทุกขณะที่มันเกิดขึ้น นานไปๆเราก็เห็นของไม่เที่ยงในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น อันนั้นมันจะค่อยๆหมดราคาเรื่อยไป เพราะมันเป็นอย่างนั้น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นในความเศร้าหมองอันนั้น มันก็น้อยลงๆ ทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ปรับปรุงได้อีก แต่อย่าทิ้งมัน ต้องให้ติดต่อ พยายามให้รู้เท่าทันมัน ก็เรียกว่ามรรคของเรามันยังมีกำลังไม่พอ มันสู้กิเลสไม่ได้ เมื่อทุกข์ขึ้นมาก็ขุ่นมัว ไอ้ความรู้เรื่องขุ่นมัว เราก็พิจารณามันอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เราก็จับเอาอันนั้น มาพิจารณาอีกต่อไปว่า เรื่องทุกข์เรื่องไม่สบายใจนี่ มันก็ไม่แน่หรอกนะ มันเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาทั้งสิ้น เราจับจุดนี้ไว้ เมื่อหากว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาอีก ที่เรารู้มันเดี๋ยวนี้ก็เพราะเราได้ผ่านมันมาแล้ว กำลังอันนี้เราจะค่อยๆเห็นทีละน้อยๆเข้าไป ต่อไป เรื่องอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมาก็หมดราคาเหมือนกัน จิตเราก็รู้ ก็วาง ที่เรารู้ มันวางได้ง่ายๆ ก็เรียกว่า “มรรค” มันกล้าขึ้นมาแล้ว มันจึงข่มกิเลสได้เร็วมากที่สุด ต่อไปก็ ตรงนี้มันเกิดขึ้นมา ตรงนี้ก็รับ เหมือนกันกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงแค่ฝั่ง มันก็ละลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาอีก ก็ต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อันนี้มันจะเลยความรู้เราไปไม่ได้เหมือนกัน เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา จะพบกันที่ตรงนั้น มันจะแตกร้าวอยู่ที่ตรงนั้น มันจะหายก็อยู่ที่ตรงนั้น เห็นว่า อนิจจังทุกขังอนัตตา คือฝั่งทะเล อารมณ์ทั้งหลายผ่านเข้ามา มันก็เป็นอย่างนั้น ไอ้ความสุขมันก็ไม่แน่ มันเกิดมาหลายครั้งแล้ว ไอ้ความทุกข์มันก็ไม่แน่ มันเกิดมาหลายทีแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ในใจเรารู้ว่า เออ มันก็อย่างนั้นแหละ มันก็เท่านั้นแหละ อย่างนี้ มันจะมีอาการอยู่ในใจของเรา อันนั้นก็ค่อยๆหมดราคาไปเรื่อยๆ มันจะเป็นอย่างนี้ อันนี้พูดเรื่องอาการจิต มันจะเป็นอย่างนั้นทุกคน แม้พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามรรคมันกล้าขึ้นมา มันก็ไม่ต้องการอะไร มันเป็นอัตโนมัติ เมื่อเกิดขึ้นมา มันก็รู้ทัน มันทำลายไปเลย อันนั้นเรียกว่ามรรคมันยังไม่กล้า และก็ข่มกิเลสยังไมได้รวดเร็ว อย่างนี้มันต้องเป็น ใครก็ต้องเป็นทุกคน แต่ว่าเอาเหตุผลที่ตรงนั้นน่ะ อย่าได้ไปคว้าอย่างอื่นเลย อย่าไปแก้ตรงอื่น แก้ตรงนี้แหละ แก้ตรงที่มันเกิด และมันก็ดับ สุขเกิดแล้วมันดับไปมั้ย? ทุกข์เกิดแล้วมันดับไปมั้ย? มันก็เห็นเรื่องเกิดดับ ความดีความชั่ว อยู่เสมอ อันนี้เป็นสภาวะที่เป็นอยู่อย่างนี้ของมันเอง อย่าไปยึดมั่นหมายมั่นมันเลย ถ้าเรามีความรู้อันนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ แม้กระทบกันอยู่ แต่ว่าไม่มีเสียง มันหมดเสียง เรียกว่าเรามาเห็นธรรมดา เกิดแล้วดับ เห็นมันเกิดแล้วมันก็ดับ เห็นความเกิดดับในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เรื่องธรรมะมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เมื่อเราเห็นของแค่นี้ มันก็อยู่แค่นั้น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มี อุปาทานทั้งหลายพอจะรู้สึก มันก็หายไป เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น อันนี้มันก็สงบ ไอ้ที่มันสงบ ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ยินอะไรนะ ได้ยินอยู่ แต่ว่ามันรู้เรื่อง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเหล่านั้น เรียกว่ามันสงบ เรื่องอารมณ์ทั้งหลาย ก็มีอยู่ในใจเรานี่แหละ แต่ว่ามันไม่ตามอารมณ์นั้น เรื่องจิตก็เป็นอย่างหนึ่ง เรื่องอารมณ์มันเป็นอย่างหนึ่ง เรื่องกิเลสนี้มันก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่ออารมณ์มากระทบเราไปชอบมันๆ ก็เกิดกิเลสขึ้นมา เมื่อไม่ชอบมันก็เกิดกิเลสขึ้นมา ถ้าหากเราเห็นความเกิดดับ ของมันอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นมาแล้ว มันหมดแค่นั้น
ไม่แน่
หลวงปู่ชา สุภัทโท หนังสือ หมวด: ปุจฉา วิสัชนา
แพทย์หญิง-ปุจฉา, หลวงพ่อชา-วิสัชนา
http://anuchah.com/not-certain/
บางครั้งเราเกิดโทสะโมหะและโลภะขึ้น เราก็รู้ว่ามันเป็นของที่น่ารังเกียจ แต่มันบังเกิดขึ้นโดยที่เราห้ามไม่ได้
......แพทย์หญิง-ปุจฉา, หลวงพ่อชา-วิสัชนา
ถาม
ในบางขณะที่จิตของเรา บังเกิดบังหมองขึ้น แต่เราก็รู้ตัวของเราเอง เช่น บางครั้งเราเกิดโทสะโมหะและโลภะขึ้น เราก็รู้ว่ามันเป็นของที่น่ารังเกียจ แต่มันบังเกิดขึ้นโดยที่เราห้ามไม่ได้ ทั้งๆที่เรารู้อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นเครื่องให้เรายึดเหนี่ยวมากขึ้น หรือดึงกลับไปสู่ที่เดิมมากขึ้น
ตอบ
นั่นแหละ ต้องรู้มันไว้ ตรงนั้นแหละ คือข้อปฏิบัติหละ
ถาม
คือทั้งๆ ที่รู้แล้ว และก็รังเกียจด้วยค่ะ แต่ไม่สามารถจะหักห้าม มันพลุ่งออกมาเสียแล้ว
ตอบ
อันนั้น มันเหลือวิสัยของมันแล้ว ตรงนั้นต้องปรับพิจารณาอีกต่อไป อย่าไปทิ้งมันตรงนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น บางคนก็เสียใจ ไม่สบายใจ เมื่อเห็นขึ้นมาเช่นนั้น ก็เรียกว่า… อันนี้มันก็ไม่แน่ เพราะว่าเราเห็นความผิดมันอยู่ แต่เรายังไม่พร้อม คือมันเป็นของมัน คือกรรมที่มันเหลือเศษอยู่ มันปรุงแต่งขึ้นมา เราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น อันนี้เรียกว่า “ความรู้” เรายังไม่พอ… ไม่ทัน จะต้องทำสตินี้ให้มาก ให้รู้ยิ่งขึ้น มันจะเศร้าหมองก็ช่างมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมา เราก็พิจารณาว่า อันนี้มันก็เป็นของไม่เที่ยง… ไม่แน่นอน พิจารณาอยู่ทุกขณะที่มันเกิดขึ้น นานไปๆเราก็เห็นของไม่เที่ยงในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น อันนั้นมันจะค่อยๆหมดราคาเรื่อยไป เพราะมันเป็นอย่างนั้น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นในความเศร้าหมองอันนั้น มันก็น้อยลงๆ ทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ปรับปรุงได้อีก แต่อย่าทิ้งมัน ต้องให้ติดต่อ พยายามให้รู้เท่าทันมัน ก็เรียกว่ามรรคของเรามันยังมีกำลังไม่พอ มันสู้กิเลสไม่ได้ เมื่อทุกข์ขึ้นมาก็ขุ่นมัว ไอ้ความรู้เรื่องขุ่นมัว เราก็พิจารณามันอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เราก็จับเอาอันนั้น มาพิจารณาอีกต่อไปว่า เรื่องทุกข์เรื่องไม่สบายใจนี่ มันก็ไม่แน่หรอกนะ มันเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาทั้งสิ้น เราจับจุดนี้ไว้ เมื่อหากว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาอีก ที่เรารู้มันเดี๋ยวนี้ก็เพราะเราได้ผ่านมันมาแล้ว กำลังอันนี้เราจะค่อยๆเห็นทีละน้อยๆเข้าไป ต่อไป เรื่องอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมาก็หมดราคาเหมือนกัน จิตเราก็รู้ ก็วาง ที่เรารู้ มันวางได้ง่ายๆ ก็เรียกว่า “มรรค” มันกล้าขึ้นมาแล้ว มันจึงข่มกิเลสได้เร็วมากที่สุด ต่อไปก็ ตรงนี้มันเกิดขึ้นมา ตรงนี้ก็รับ เหมือนกันกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงแค่ฝั่ง มันก็ละลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาอีก ก็ต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อันนี้มันจะเลยความรู้เราไปไม่ได้เหมือนกัน เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา จะพบกันที่ตรงนั้น มันจะแตกร้าวอยู่ที่ตรงนั้น มันจะหายก็อยู่ที่ตรงนั้น เห็นว่า อนิจจังทุกขังอนัตตา คือฝั่งทะเล อารมณ์ทั้งหลายผ่านเข้ามา มันก็เป็นอย่างนั้น ไอ้ความสุขมันก็ไม่แน่ มันเกิดมาหลายครั้งแล้ว ไอ้ความทุกข์มันก็ไม่แน่ มันเกิดมาหลายทีแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ในใจเรารู้ว่า เออ มันก็อย่างนั้นแหละ มันก็เท่านั้นแหละ อย่างนี้ มันจะมีอาการอยู่ในใจของเรา อันนั้นก็ค่อยๆหมดราคาไปเรื่อยๆ มันจะเป็นอย่างนี้ อันนี้พูดเรื่องอาการจิต มันจะเป็นอย่างนั้นทุกคน แม้พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามรรคมันกล้าขึ้นมา มันก็ไม่ต้องการอะไร มันเป็นอัตโนมัติ เมื่อเกิดขึ้นมา มันก็รู้ทัน มันทำลายไปเลย อันนั้นเรียกว่ามรรคมันยังไม่กล้า และก็ข่มกิเลสยังไมได้รวดเร็ว อย่างนี้มันต้องเป็น ใครก็ต้องเป็นทุกคน แต่ว่าเอาเหตุผลที่ตรงนั้นน่ะ อย่าได้ไปคว้าอย่างอื่นเลย อย่าไปแก้ตรงอื่น แก้ตรงนี้แหละ แก้ตรงที่มันเกิด และมันก็ดับ สุขเกิดแล้วมันดับไปมั้ย? ทุกข์เกิดแล้วมันดับไปมั้ย? มันก็เห็นเรื่องเกิดดับ ความดีความชั่ว อยู่เสมอ อันนี้เป็นสภาวะที่เป็นอยู่อย่างนี้ของมันเอง อย่าไปยึดมั่นหมายมั่นมันเลย ถ้าเรามีความรู้อันนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ แม้กระทบกันอยู่ แต่ว่าไม่มีเสียง มันหมดเสียง เรียกว่าเรามาเห็นธรรมดา เกิดแล้วดับ เห็นมันเกิดแล้วมันก็ดับ เห็นความเกิดดับในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เรื่องธรรมะมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เมื่อเราเห็นของแค่นี้ มันก็อยู่แค่นั้น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มี อุปาทานทั้งหลายพอจะรู้สึก มันก็หายไป เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น อันนี้มันก็สงบ ไอ้ที่มันสงบ ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ยินอะไรนะ ได้ยินอยู่ แต่ว่ามันรู้เรื่อง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเหล่านั้น เรียกว่ามันสงบ เรื่องอารมณ์ทั้งหลาย ก็มีอยู่ในใจเรานี่แหละ แต่ว่ามันไม่ตามอารมณ์นั้น เรื่องจิตก็เป็นอย่างหนึ่ง เรื่องอารมณ์มันเป็นอย่างหนึ่ง เรื่องกิเลสนี้มันก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่ออารมณ์มากระทบเราไปชอบมันๆ ก็เกิดกิเลสขึ้นมา เมื่อไม่ชอบมันก็เกิดกิเลสขึ้นมา ถ้าหากเราเห็นความเกิดดับ ของมันอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นมาแล้ว มันหมดแค่นั้น
ไม่แน่
หลวงปู่ชา สุภัทโท หนังสือ หมวด: ปุจฉา วิสัชนา
แพทย์หญิง-ปุจฉา, หลวงพ่อชา-วิสัชนา
http://anuchah.com/not-certain/