เรื่องจริงของชีวิตคู่เราคล้ายหมอเป้งเลยนะ แต่จบคนละแบบ

ดูจบแล้วแอบสงสารหมอเป้งแฮะ แต่คิดว่า ถ้าทานตะวันเลือกได้ชัดเจนแล้วเจ็บแต่จบยังไงก็เป็นผลดีกับเป้งมากกว่ายังครึ่งๆกลางๆล่ะ อย่างนั้นมันทรมานกว่าเยอะเลย

ดูละครแล้วนึกถึงสมัยยังเป็นหมอจบใหม่ๆ เนื้อเรื่องคล้ายๆในละครเลย แต่ของเราจบอีกแบบแฮะ...หลายๆฉาก ดูแล้วก็แอบอินไปกับคุณซันนี่มาก

เราว่าละครเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าหลายๆครั้ง คนเป็นหมอต้องยอมเลือกที่จะทำเพื่อคนที่เราไม่รู้จักมากกว่าคนใกล้ชิดหรือตัวเอง...

เราเคยต้องวางสายโทรศัทพ์แฟนที่กำลังร้องไห้ เพราะ มีสายโทรศัพท์แทรกจากห้องฉุกเฉินเรียกเข้า ซึ่งเราต้องรับก่อน เพราะเราไม่รู้หรอกว่า สายที่โทรเข้ามาจะสำคัญขนาดไหน...
..ฉากทานตะวันถูกทิ้งไว้ในวันลอยกระทง ภรรยาเราอินมากบอก จำได้ไหม ตอนนั้นที่เธอทิ้งเราไว้ที่ร้านหมูกระทะอยู่ชั่วโมงกว่าจนเย็นชืดอะ..
..ครั้งหนึ่งที่คุณพ่อของเราเครียดกับงานจนเอาหัวโขกกำแพงและบอกว่าจะฆ่าตัวตาย แต่เราอยู่เวรคืนนั้น และหมอคนอื่นๆในรพ.(ชนบท)ก็ลากลับต่างจังหวัดกันหมด ไม่มีใครมาอยู่เวรแทนได้ เราเป็นห่วงแต่ไม่สามารถไปหาคนสำคัญของเราได้ในคืนนั้น เพราะ เราไม่รู้ว่าจะมีคนมาที่ห้องฉุกเฉินของรพ.กลางดึกเพราะอุบัติเหตุหรือโรคหัวใจแล้วต้องเสียชีวิตเพราะหมอที่อยู่เวรไม่อยู่หรือเปล่า...สุดท้ายเราต้องคุยทางโทรศัพท์ให้กำลังใจคุณพ่อและรีบขับรถไปหาเช้าวันถัดไปที่เรามีคนแทนได้ ละครเรื่องนี้มันทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นจริงๆ..
คุณซันนี่แสดงได้ดีจริงๆ ฉากที่ยืนที่เสาแล้วทานตะวันมายอมรับกับหมอเป้งตรงๆว่า หวั่นไหวไปกับคนอื่น หรือ ฉากที่หมอเป้งหันไปเห็นกุ้งที่ทานตะวันทำทิ้งไว้แล้วทำสีหน้าเจ็บปวด เราเจ็บแปล๊บๆไปด้วยจริงๆ เพราะ นึกออกว่ามันรู้สึกยังไง..
นึกถึงตอนนั้นที่คนที่เราคบและรักกันอยู่ดีๆมาตลอด 3 ปี เมื่อวันนึงเมื่อเธอบอกเราว่า เธอมีเรื่องจะสารภาพกับเรา ช่วงนั้นเราไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยดูแลเธอเลย และเธอสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานและพักอยู่ที่หอพักเดียวกัน จนตอนนั้นเธอเริ่มรู้สึกว่าขาดเพื่อนคนนี้ไม่ได้แล้ว... ตอนนั้นเราตอบเธอว่า เราโอเค เราขอโทษที่ช่วงนั้นเราเหมือนปล่อยปละละเลยเธอลงไปจริงๆ เราขอโอกาสทำให้มันดีเหมือนเดิมได้ไหม แต่เราขอให้เธอชัดเจนได้ไหมว่าหลังกลับไปแล้วความสัมพันธ์กับเพื่อนคนนี้มันจะเป็นแค่เพื่อนจริงๆ.. ใช่อยู่ ตอนนั้นภายนอกเราโอเค แต่หลังส่งเธอกลับไปแล้ว เราขับรถไปร้องไห้ไปเกือบ 5 ชั่วโมง จนกลับถึงบ้านล่ะ..ความรู้สึกมันเหมือนโลกมันแตกสลายจริงๆนะ จะนอนก็นอนไม่หลับ แต่ก็ยังต้องไปทำงานทุกเช้าเหมือนปกติ เพราะ หมอจะมีกี่คน คนไข้ก็มีอยู่เท่าเดิมจะลางานพร่ำเพรื่อไม่ได้เด็ดขาด บางครั้งต้องแว้บออกไปร้องไห้ในห้องน้ำก็มี..ต้องสั่งยานอนหลับคลายกังวลมากินเอง ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมีวันนึงต้องใช้มัน..
หลายๆคนที่ด่าบทหมอเป้งว่า ทำไมตอนนั้นถึงพูดจาใจร้ายกับทานตะวันจัง (ฉากกำแพง) เราคิดว่า หมอเป้งพูดไม่เก่งจริงๆ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเสียใจที่รู้สึกถูกหักหลังจากคนที่เรารักมาตลอด แต่ใจจริงของหมอเป้งตอนนั้นคงคิดว่า ถ้าเราดูแลเขาไม่ดี เราควรถอยให้คนอื่นที่ดูแลเธอได้ดีกว่า จะดีกว่าไหม..
นับจากตอนที่เรารู้ เราก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม (คล้ายๆเป้งอะแหละ) พยายามคุยกับแฟนให้มากเหมือนเดิม ถึงแม้การที่ต้องอยู่ไกลกันมาก ต้องขับรถไปกลับเกือบ 10 ชั่วโมงเราก็ยังขับไปหาทุกเสาร์อาทิตย์ที่เราไม่อยู่เวรตลอด แต่เราก็ไม่สามารถที่จะทำได้ดีเท่าคนที่อยู่ด้วยกันและสนิทกันตลอดเวลาจริงๆ มันเป็นช่วงเวลา 6 เดือนที่เรียกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร มันเหมือนสองวันดี สี่วันทะเลาะ บางวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้ววูบหนึ่งจริงๆที่คิดว่า ดีใจจังแค่ฝันร้ายไปหรือนี่ แต่แว้บต่อมาก็ต้องเศร้าอีกเมื่อสมองมันคิดทันว่าเรื่องจริงนี่นะ.. เป็นช่วงเวลาที่ทั้งเรากับแฟนต่างไม่รู้ว่าจริงๆ ควรจะคบกันต่อหรือควรจะถอยเพื่อให้ทุกอย่างมันจบกันแน่ เราเองบางวันก็คิดว่าจะฮึดสู้ จะเริ่มใหม่ บางวันก็บอกไม่ไหวแล้วหยุดดีไหม แฟนเองบางวันก็อารมณ์ว่าไม่ไหวแล้ว บางวันก็บอกว่าเธอจะทิ้งเราไปเหรอ ที่จะเลิกกัน จริงๆเธอไปรักคนอื่นใช่ไหม..(เราไม่ได้มีใครเข้ามาแบบบะหมี่หรอกนะ)...
วันเวลาผ่านไป..มันก็เริ่มล้าลง ล้าลง บางครั้งเราคุยโทรศัพท์แล้วเธอบอกว่า เหนื่อยแล้วขอไปนอน แต่เราแอบดูในไลน์แล้วเห็นว่าเธอยังคุยกับเพื่อนต่อจนตีสองตีสาม เราอ่านไปร้องไห้ไปจนหลับ.. บางครั้งเราก็เคยเสียใจว่า ที่ผ่านมาเธอเคยบอกกับเราว่า อยากแต่งงานกับเราเร็วๆมาตลอด จนเราคุยกับพ่อแม่และได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะแต่งงานกันช่วงไหน แต่วันนึงเธอก็มาบอกเราว่า เธอไม่พร้อมแล้วนะ เธอไม่เชื่อใจในตัวเราแล้ว ขอเลื่อนแต่งงานออกไปก่อนดีไหม...มันอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น จนเราเคยบอกกับแฟนว่า ช่วงเวลาแค่ 6 เดือนนี้ เราร้องไห้มากกว่าที่เราเคยร้องไห้มาทั้งชีวิตรวมกันอีกนะ...แต่คือเราตัดใจไม่ได้ ทุกครั้งที่จะเลิก เธอจะร้องไห้หนักมาก ทุกครั้งที่จะเลิก เราคิดถึงหน้าของเธอเวลาที่เราไปส่งแล้วทำหน้าหงอยๆเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก มันปล่อยใจไม่ได้เลยสักที..
จนวันหนึ่ง สุดท้ายมันก็ไม่ไหว..เราตัดสินใจที่จะตัดใจแล้ว เราขับรถไปหาแฟน เอาของขวัญทุกชิ้นที่แฟนให้มาแล้วเก็บไว้มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันใส่ตะกร้าเอาไปให้เธอ แล้วบอกว่า เราไม่ไหวแล้ว.. เราขอคืนความรู้สึกทั้งหมดให้ได้ไหม..หลังจากนั้นเราก็ไม่ติดต่อ ไม่โทรไปหาอีกเลย เธอโทรมาเราก็ไม่ยอมรับสาย ต้องหักห้ามใจหนักมาก ไม่งั้นมันก็เหมือนกับ 6 เดือนที่ผ่านมาที่พยายามอย่างไร เราก็ไม่สามารถเชื่อใจและทำความรู้สึกให้เหมือนเดิมได้เต็มที่อีกแล้ว ถึงปากจะบอกว่าไว้ใจ แต่เห็นอะไรมันก็คิดทุกเรื่องจริงๆ..
..บางครั้งถ้ามันไปต่อไม่ไหว การหยุดห่างกันสักพักนึง อาจจะทำให้ทั้งสองคนกลับมารักกันดีก็ได้นะ..
หลังจากนั้นเธอก็ยังโทรมาหาเราเรื่อยๆ ทุกวันๆ แม้ว่าเราจะไม่รับก็ตาม สุดท้ายผ่านไปเดือนกว่าๆ เราตัดสินใจรับสายเธอ เธอร้องไห้หนักมาก เธอโวยวายใส่เราหนักมาก มันเหมือนเธอระบายความรู้สึกที่มีทั้งหมดในวันนั้นออกมา เราร้องไห้กันทั้งคู่ สุดท้ายเราก็ตัดสินใจกลับมาคบกัน...
ช่วงเวลาที่ห่างกัน มันทำให้เราได้ทบทวนตัวเองนะว่า ช่วงที่ผ่านมาเราให้เวลาและความสำคัญกับเธอน้อยลงกว่าตอนคบกันแรกๆจริงๆ และมันทำให้เราหยุดคิดมากคิดวกวนไม่มีที่สิ้นสุดได้เสียที ตอนที่กลับมาคบกันใหม่ เราตัดสินใจเลยว่า เราจะไม่คิดอีกแล้วว่าเธอจะอะไรยังไงกับเพื่อนคนนั้น เราจะไม่พยายาม ไม่อยากรู้อีกแล้ว เราจะเชื่อใจเธอที่สุดจริงๆแล้วอย่างที่เธอบอกแล้วว่าเธอเลือกเรานะ สำหรับเธอเราคิดว่า ช่วงเวลา 1 เดือนที่เราตัดใจจากเธอจริงๆ มันอาจจะทำให้เธอตัดสินใจได้ว่า ความรักความผูกพันที่ผ่านมาสามปีที่มันเริ่มเนือยๆลงไป กับคนที่ดูแลใกล้กัน และรู้สึกดีในช่วงสั้นๆที่ผ่านมา ถ้าต้องเลือกได้แค่อย่างใดอย่างนึงแล้วจริงๆ เธอจะตัดสินใจอย่างไร..
สุดท้ายเราก็กลับมารักกันและก็แต่งงานกันในที่สุด... 

ปล. นั่งดูละครด้วยกัน ลุ้นมาก เราเข้าข้างเป้ง ภรรยาเข้าข้างทานตะวันตลอดเลย
แอบเสียดายว่าละครไม่จบแบบเดียวกันแฮะ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่