สมมุติว่าย้อนอดีตไปกรุงศรีฯก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 ควรจะอพยพไปอยู่ที่ไหนดีที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม

สมมุติว่าย้อนอดีตไปกรุงศรีฯก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 ควรจะอพยพไปอยู่ที่ไหนดีที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามคะ

ควรไปกรุงธนบุรี หรือไปอยู่แถวภาคตะวันออก ภาคอีสาน หรือภาคใต้ดีคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ครั้งนั้นกองทัพพม่ายกมาสองทางและไล่ตีหัวเมืองของอยุทธยาไปจำนวนมาก ไม่ได้โจมตีอยุทธยาเพียงเมืองเดียว โดยทัพทางเหนือของเนมฺโยสีหปเต๊ะตั้งต้นจากเชียงใหม่ ลงมาตีเมืองตาก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อ่างทอง แล้วลงมาตั้งที่ปากน้ำประสบชานพระนคร

ทัพทางใต้ของมหานรธา เริ่มต้นจากทวาย แล้วไปตีมะริด ตะนาวศรี ไชยา ชุมพร กุยบุรี ปราณบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ธนบุรี นนทบุรี แล้วขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านสีกุกชานพระนคร

พงศาวดารฝั่งไทยระบุว่าพระเจ้ามังระทรงส่งทัพเสริมจากเมืองเมาะตะมะ ยกเข้ามาทางด่านเมืองอุทัยธานีไปตั้งที่เมืองวิเศษไชยชาญทัพหนึ่ง อีกทัพยกมาทางกาญจนบุรีเข้าไปตั้งที่ขนอนวัดโปรดสัตว์ มีชาวบ้านในหัวเมืองแถบแม่น้ำน้อยคือวิเศษไชยชาญ สิงห์บุรี สรรคบุรียอมอ่อนน้อมต่อพม่าที่ยกมาทางอุทัยธานี  แต่ภายหลังกลุ่มนี้ไม่พอใจที่พม่าข่มเหงเลยแยกตัวไปตั้งค่ายบ้านระจันต่อต้านพม่า


ดังนั้น หัวเมืองที่ไม่ถูกพม่าโจมตีและสามารถหลบหนีไปได้ คือ

- ภาคใต้ ต่ำกว่าไชยาลงไป คือชุมนุมของเจ้านครศรีธรรมราช  มีคนในกรุงลงไปอยู่หลายคน เช่น นายฤทธิ์ (จันทร์) มหาดเล็กบุตรเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์พาครอบครัวหนีลงไป เนื่องจากนายฤทธิ์รู้ขนบธรรมเนียมราชสำนักมากจึงได้เป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้านคร ต่อภายเจ้านครจึงยกขึ้นเป็นวังหน้าเมืองนครศรีธรรมราช  หรือพระอาจารย์ศรีวัดพนัญเชิงซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช

- ภาคตะวันออก เลยฉะเชิงเทราไปเพราะยังปรากฏในพงศาวดารว่ามีกองทัพพม่ายกจากปากน้ำโจ้โล้มาตั้งอยู่ที่ท่าข้ามเมืองฉะเชิงเทราจนต้องรบพระเจ้ากรุงธนบุรี อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าอิทธิพลของพม่ามาถึงบางละมุงเพราะพม่าสั่งให้ผู้รั้งเมืองถือหนังสือไปเมืองจันทบูรให้แต่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปอ่อนน้อมต่อพม่าที่โพธิ์สามต้น  ถ้าจะหลบหลีกจริงๆ อาจต้องไปอยู่แถบระยอง จันทบูร หรือตราด  

- ภาคกลาง แถบแม่น้ำป่าสักคือ ลพบุรี สระบุรี  ลพบุรีนั้นมีหลักฐานว่ามีเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าและพระญาติวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปหลบซ่อนอยู่จำนวนมาก ส่วนสระบุรีไม่ได่ถูกพม่าตีโดยตรง แต่เจอผลกระทบคือกองจีนอาสาที่คลองสวนพลูละทิ้งหน้าที่การรักษากรุงขึ้นไปเผาพระพุทธบาทแล้วลอกเอาเงินทองที่หุ้มอยู่ไปหมด

- ภาคอีสาน แถบพิมาย นครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมเจ้าพิมายของกรมหมื่นเทพพิพิธ  

- ภาคเหนือ (ภาคกลางตอนบน) เมืองพิษณุโลก เมืองสวางคบุรี ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมของเจ้าพิษณุโลกและเจ้าพระฝาง เมืองพิษณุโลกมีขุนนางในกรุงหลบหนีไปอยู่ เช่น พระอักษรสุนทร (สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก) พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ ไปรับราชการกับเจ้าพิษณุโลกจนได้เป็นสมุหนายก  (หลักฐานพม่าอ้างว่าตีเมืองพิษณุโลกได้แต่ไม่สอดคล้องกับหลักฐานไทย  อาจจะหมายถึงเมืองน้อยที่ขึ้นกับเขตเมืองพิษณุโลกถูกโจมตีก็เป็นได้)


แต่ถึงไม่ได้โดนพม่าโจมตี หัวเมืองต่างๆก็ได้รับผลกระทบจากสงครามมาก ทั้งเรื่องสถานะของผู้ปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ส่วนใหญ่ตั้งตัวเป็นเจ้าเพราะรัฐบาลกลางคืออยุทธยาไม่สามารถปกครองได้อีก รวมถึงการเกิดศึกแย่งชิงอำนาจระหว่างหัวมืองและเจ้าชุมนุมต่างๆ เช่นชุมนุมเจ้าพิษณุโลกและเจ้าพระฝางที่ปรากฏว่าทำสงครามกันถึงสามครั้ง      ชุมนุมเจ้าพิมายที่มีกลุ่มของกรมหมื่นเทพิพิธเข้าไปแย่งชิงอำนาจกับกลุ่มผู้ปกครองเดิม หรือกรณีที่พระยาตากเข้าไปโจมตีหัวเมืองชายทะเลตะวันออกไว้ในอำนาจทำให้เจ้าเมืองเดิมทั้งระยองและจันทบูรต้องเสียอำนาจไปครับ  ในพื้นที่ภาคกลางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็ปรากฏว่าเกิดจลาจลภาวะอดอยากขาดอาหาร มีโจรผู้ร้ายชุกชุมจำนวนมาก


ถ้าไม่อยากเจอกับผลกระทบจากสงครามในช่วงเสียกรุง ลงใต้ไปอยู่ชุมนุมนครศรีธรรมราชน่าจะดีที่สุดครับ สถานการณ์ภายในสงบเรียบร้อยไม่มีสงครามเลยจนกระทั่งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพมาใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่