Joker แพทย์เตือนจริงจัง กลุ่มเสี่ยงต้องเลือกเสพ!

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข มาอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่หนังที่มีความรุนแรงเท่านั้น แม้แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่เอง ก็มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกันหากรับชมโดยไม่มีวิจารณญาณ

1. ทำให้เด็กกลัว อย่างกลัวผี กลัวตำรวจ 
2. ทำให้เด็กเลียนแบบ อย่าว่าแต่เรื่องที่รุนแรงเลย หนังซูเปอร์ฮีโร่ เหาะลงมาจากชั้นสูงๆ ถ้าเด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะก็จะเลียนแบบ
และ
3. ความรุนแรง การแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ของหนังที่ใช้ความรุนแรง เด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะก็อาจจะซึมซับเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็จะใช้ความรุนแรงตามมา 

หนังเรื่องนี้ ด้านข้อคิดมันก็มีนะครับ เช่น ระหว่างชนชั้นที่มีความห่างในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม ถ้ามีความไม่ยุติธรรมกันก็ทำให้เกิดอีกฝ่ายหนึ่งมีความกดดัน มีความเคียดแค้น มีการสะสมความอาฆาตพยาบาท แล้วก็จะแสดงออกมาทางความรุนแรง ผู้ปกครองที่มีวุฒิภาวะก็จะสอนเด็กได้ว่าเราอยู่ในสังคม ก็คงจะต้องมาเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข การดูแลซึ่งกันและกัน ก็จะเป็นผลที่ดี


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน



และมีเรื่องของการพูดถึงรอยโรคในสมอง Pathological laughing โรคนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่มีพยาธิสภาพในสมอง เช่น เส้นเลือดในสมองแตกในบริเวณสมองลึกๆ บางส่วน ก็จะทำให้เกิดการหัวเราะได้ เพราะโดยปกติแล้วการหัวเราะก็ควรจะมีเหตุมีผล มีการกระตุ้น อันนี้มีจริงอยู่ในรายงานทางการแพทย์ อาจจะฉุกคิดหน่อยว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติต่อการแสดงออกตรงนี้มั้ย ก็ให้ระมัดระวังและไปพบกับแพทย์เพื่อไปตรวจ

ไม่เพียงแค่เด็กและเยาวชนเท่านั้น อีกกลุ่มที่ได้รับการเตือนระวังถึงความเสี่ยงคือ กลุ่มผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและผู้ที่อยู่ในสภาพจิตใจอ่อนแอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จิตแพทย์ผู้นี้กลับให้ความเห็นในอีกแง่มุมว่า แม้โจ๊กเกอร์จะมีความรุนแรงและความกดดันอยู่ในหลายฉาก แต่ก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วยการย้อนกลับมาพิจารณสภาพจิตใจของตนเอง  

ปฏิกิริยาของคนดูสามารถแปรเปลี่ยนไปตามฉากหนังได้ แต่ว่าความเศร้านั้น ถ้ามันเป็นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว หลังจากดูหนังจบแล้วก็จบไป แต่ถ้ามันไม่ใช่ ก็เป็นโอกาสดีอีกเหมือนกันที่จะทำให้เราหันมาค้นหาจิตใจของเราว่าทำไมมันดาวน์
ถ้าความรู้สึกมันตกต่ำขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่เฉพาะแค่หนังรึเปล่า หรือมีอารมณ์ร่วมอื่นๆ ถ้าเยียวยา พูดคุยกับคนที่เราใกล้ชิดแล้วมันหายไปก็จบ แต่ถ้ามันไม่ใช่ มันมีอะไรที่ลึกไปกว่านั้น ก็มาปรึกษาแพทย์ก็จะเป็นการดีครับ”

สุดท้าย โฆษกกระทรวงสาธารณสุขได้ฝากข้อคิดถึงการเสพสื่อในปัจจุบัน เพราะสุดท้ายแล้วการจะ “เลือก” รับข้อมูลไม่ว่าแง่ไหน ก็อยู่ที่ตนเองเป็นผู้ตัดสิน

“ยังไงก็ตาม ในเมื่อมันอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หนังแอ็กชันหรือหนังความรุนแรงได้รับความนิยมสูง สังคมหรือคนก็ต้องมีการรู้เท่าทัน แล้วก็เลือกที่จะเสพ เลือกที่จะดู หนังอะไรที่คิดว่ามันเหมาะกับจิตใจของเราเช่น หนังครอบครัว หนังรัก หนังโรแมนติกมีมากมายให้เราเลือก ไม่จำเป็นต้องมาเลือกหนังรุนแรงประเภทนี้

การจะสั่งห้ามอย่างเดียวก็คงยาก ในยุคของมีเดียที่แพร่กระจายไปมากมายขนาดนี้ เราควรจะให้เด็กรู้เท่าทันสื่อ แล้วก็ดึงกลับมาเป็นเชิงบวก ถ้าจะไปดูก็ฝากผู้ปกครองดึงเอาด้านดีๆ ของหนังมาสอนเด็กด้วย สมัยนี้การห้ามค่อนข้างยาก เพราะว่าเด็กสามารถดาวน์โหลดหนังมาดูในมือถือของตัวเองได้

ผมว่าเรื่องการอยากรู้อยากเห็นก็เป็นเรื่องปกติของทุกคนอยู่แล้ว แต่ถ้าคนที่มีพยาธิสภาพทางจิตใจโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า บางคนถึงแม้เคยชอบดูหนังก็ไม่อยากจะดูหนังนะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากังวลใจ หรือสังคมกังวลใจบางทีอาจจะไม่ถึงเขาหรอกครับ เพราะเขาชัตดาวน์ตัวเองไปตั้งนานแล้ว 

แต่คนที่เป็นน้อยๆ อาจจะเข้าไปดูแล้วอาจมีผลกระทบทางจิตใจ อันนี้ก็อย่างที่บอก ใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เอามาเป็นตัวตั้งข้อสังเกตกับตัวเองและคนรอบข้าง ถ้าดูในมิติของความเป็นอาร์ต การเป็นศิลปะ ซึ่งมันอยู่รอบตัวเรา ก็คิดวิเคราะห์กันในหลายมุมมอง ผมมองดูแล้ว ถ้ามองเป็นศิลปะไปก็ได้ แต่ถ้ามองว่ามันเป็นตัวที่ทำให้แย่ โดยเฉพาะบางคน เราก็ต้องระมัดระวัง
ถ้าไปดูมาแล้ว เราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ มองเป็นมุมบวกเสียว่า ‘ดูละครย้อนดูตัว’”

https://mgronline.com/live/detail/9620000096743
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่