บทความเชิญชวนเข้ารับการอบรมวิปัสสนากรรมฐานปีที่๒๕



      การดําเนินชีวิตในยุคไฮเทค(Hi-tech)หรือในสังคมปัจจุบัน มักก่อให้เกิดปัญหาต่อมวลมนุษยชาตินานัปปการ เกือบทุกคนต้องต่อสู้ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่น การเอารัดเอาเปรียบ ขาดความเห็นอกเห็นใจและความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์บางอย่าง เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาหุ้นที่ตกต่ำลงอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ วิกฤตกาลทางการเมือง อุบัติภัยธรรมชาติที่รุนแรง ภาวะมลพิษ อาชญากรรม การค้ายาเสพติด โรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งเหตุการณ์ชีวิตในรูปแบบต่างๆ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลแทบทั้งสิ้น
    ในทางจิตวิทยา ความเครียด เป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่ไม่จําเพาะ เจาะจงต่อสิ่งเร้าที่มากระทบกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เช่น ความเย็น ความร้อน ความสนุกสนาน ความรื่นเริง ความเสียใจ ความโกรธ การออกกําลังกาย การใช้ยา สารเคมี และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ จะก่อให้เกิดการปรับตัว (adaptation) ทางร่างกายแบบใดแบบหนึ่ง การปรับตัวดังกล่าวมีผลที่ตามมาคือ ความเครียด นั่นเอง
    ส่วนความวิตกกังวลเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นทางใจอย่างหนึ่ง เป็นความรู้สึกของความไม่สบายใจ ความหวาดหวั่น ความพรั่นพรึง เกี่ยวกับการคุกคามบางอย่างที่กําลังจะมาถึง แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ความวิตกกังวล มักจะมีต้นตอมาจากความขัดแย้งในจิตไร้สํานึก หรืออาจมีปัญหามาจากสิ่งแวดล้อมก็ได้ ความโกรธ ความขัดเคือง หรือความก้าวร้าวที่มีต่อใครสักคนหนึ่งอาจถูกเก็บกดไว้ตั้งแต่เด็ก เมื่อมีอะไรมากระตุ้น ก็อาจปรากฎออกมาเป็นความวิตกกังวลในปัจจุบันได้ อาจเกี่ยวกับเหตุการณ์ในขณะนี้ เช่น นักศึกษามีความเครียดและความวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการสอบไล่ที่กําลังจะมาถึง เป็นต้น
    ความเครียดและความวิตกกังวลในระดับต่ำๆ  อาจถือว่าเป็นสิ่งจําเป็นอย่างหนึ่งสําหรับมนุษย์ จะทําให้คนเราตื่นตัว กระตือรือร้น และสนใจในกิจวัตรประจําวันที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้ารุนแรงและเกิดนานเกินไป ก็จะมีผลเสียต่อหน้าที่การงานและการเข้าสังคม ย่อมก่อให้เกิดผลเสียเชิงลบต่อร่างกายและจิตใจ บางคนอาจเกิดเป็นแผล กระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรค ภูมิแพ้ หอบหืด ปวดศรีษะ แม้แต่สิวหรือโรคผิวหนังบางอย่าง ทางจิตใจ อาจทําให้เกิดโรคเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ตื่น ตระหนก (panic disorder) ย้ำคิดย้ำทํา นอนไม่หลับ เป็นต้น ดังนั้นความเครียดและความวิตกกังวลจึงมีผลเสียต่อสุขภาพกาย รวมทั้งสุขภาพจิตของคนเรา น้อยบ้าง มากบ้าง แตกต่างกันไป
    ปัจจุบันมีพยานหลักฐานเป็นจํานวนมากที่ยืนยันว่าการเจริญสติ (mindfulness development) หรือสติภาวนา (mindfulness meditation) สามารถลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ชัดเจน ในกลุ่มผู้ปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติ การเจริญสติ ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและจิตให้ดีขึ้นในมุมมองของสุขภาพจิต คนที่มีสุขภาพจิตดีอยู่แล้ว จะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนนําไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงความหลุดพ้นเช่นนี้ เป็นเป้าประสงค์ที่สําคัญอย่างหนึ่งของการเจริญสติ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งวิปัสสนากรรมฐาน ดังนั้นคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตแบบใดแบบหนึ่ง ก็แล้วแต่ รวมทั้งสุขภาพกายอันเกิดจากปัญหาสุขภาพจิต เมื่อได้รับแนวทางการเจริญสติอย่างถูกต้องรวมทั้งการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องปัญหาต่างๆก็จะค่อยๆหมดไปและมีโอกาสที่จะพัฒนา สุขภาพจิตของตนให้ค่อยๆสูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน
    นอกจากนั้นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานซึ่งมีบทบาทสําคัญ ในการพัฒนาสติและปัญญา ยังช่วยส่งเสริมเมตตา คือความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และกรุณา คือความหวังที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ รวมทั้งการช่วยพัฒนาความร่วมรู้สึก (empathy) คือ ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เข้าทํานอง “เอาใจเราไปใส่ใจเขา” ช่วยทําให้สังคมมีความสามัคคี และความเอื้ออาทรซึ่งกันและกันมากขึ้น ... เขียนบทความโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์จำลอง ดิษยวณิช

    สําหรับผู้สนใจ การอบรมวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อการพัฒนาสติและปัญญา (ปีที่ ๒๕) ระหว่างวันที่ ๒๐ ถึง ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ สถาบัน พิโมกข์มุข ซอยวัดอุโมงค์ ถนนสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สํานักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. ๐๕๓-๙๔๓-๖๓๔ (คุณฝน) และ โทร. ๐๕๓-๙๔๓-๖๒๕ (คุณหนิง) https://www.facebook.com/179956445409404/posts/2996476887090665?sfns=mo
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่