แต่เดิม ผมมีเครื่องวัดลมยางเกจเข็มแบบพกพา ที่ซื้อมาจาก Big C อันละประมาณร้อยกว่าบาท ซึ่งผมก็ใช้อยู่ปีสองปี ก็ใช้งานได้ดีและทนทานมากครับ รูปร่างหน้าตาจะประมาณนี้..



แต่มันมีปัญหาครั้งนึงในตอนที่รถผมไปเหยียบตะปูฝังในมา ซึ่งใครที่เคยเจอจะทราบว่าเหนียบแล้วมันไม่ได้รั่วเลย แต่จะค่อยๆซึมวันละนิดหน่อย ซึ่งผมเป็นคนที่เช็คลมยางประมาณ 2 สัปดาห์ครั้งนึง ไม่รู้ตัวว่าไปเหยียบมาตอนไหน และขับลมยางอ่อนๆแบบนี้มากแค่ไหนแล้ว แต่ ณ ตอนที่เช็คลมยางมันเหลืออยู่แค่ 22 ปอนด์ครับ!

หลังจากที่ผมไปปะยางมาเรียบร้อย ผมกลายเป็นวิตกจริต ต้องเช็คลมยางแทบจะทุกครั้งก่อนออกรถเลยครับ (ผมใช้รถสัปดาห์ละ 2 ครั้งครับ ขับไปทำงาน 1 วัน และในวันหยุดอีก 1 วัน) ซึ่งมันทำให้ผมขี้เกียจ และบางทีรีบๆก็ต้องมาเสียเวลาเช็คทุกครั้ง ไม่เช็คก็ไม่ได้ ขับไปก็ไม่สบายใจอีกครับ เลยเป็นที่มาของการซื้อเครื่องวัดลมยางอัตโนมัติ (TPMS - Tyre Pressure Monitoring System) นี้ครับ



เป็นสินค้าที่น่าจะมาจากจีน คุณภาพก็จีนๆทั่วไปครับ ราคาตอนนี่ (22-10-2019) เห้นในเน็ตอยู่ราวๆ 950-1000 บาทครับ ส่วนค่าที่ TPMS นี้จะช่วยบอกเราได้ก็คือค่าลมยางและที่พิเศษกว่านั้นก็คือสามารถบอกอุณหภูมิของลมยางได้ด้วย (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าความคลาดเคลื่อนมันจะมากน้อยแค่ไหนนะครับ เอาเป็นว่าดูเป็นแนวๆทางเอาละกัน) ซึ่งเครื่องตัวนี้จะร้องเตือนเมื่อลมยางอ่อน ถ้าจำไม่ผิดร้องเตือนที่ 22 ปอนด์ และร้องเตือนเมื่ออุณหภูมิลมยางสูงถึง 50 องศา ครับ (ตั้งได้)



ซึ่งในช่วงแรกๆผมยอมรับว่าวัดลมยางได้ค่อนข้างแม่นยำครับ เทียบกับเครื่องวัดลมยางแบบเกจเข็ม แทบจะเท่ากันตลอดเลย ส่วนเรื่องอุณหภูมิพบว่าในตอนกลางวันช่วงบ่ายจนถึงเย็น (พื้นถนนร้อน) ถ้ามีการจอดติดไฟแดงอุณหภูมิยางจะร้อนขึ้นไปถึง 50 จนถึงสูงสุด 54 องศาในบางทีครับ ซึ่งจะเริ่มร้อนที่สุดในล้อหน้าขวา (ตำแหน่งคนขับ) ก่อนเพื่อน แล้วตำแหน่งอื่นๆจะค่อยๆร้อนตามมาครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือ ลมยางไนโตรเจนที่เติมมา ปกติที่เราเข้าใจมันจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงมากนักหลังยางอุ่นจากการใช้งาน แต่ผมพบว่าทุกครั้งที่ขับรถ ล้อคู่หน้าจะลมยางเพิ่มขึ้น 3-4 ปอนด์ ล้อหลังจะเพิ่ม 2-3 ปอนด์ ทุกครั้ง ยกเว้นในวันที่ฝนตก (พื้นเย็น) ซึ่งผมเคยลองเอาที่วัดลมยางแบบเข็มไปวัดซ้ำ มันก็ได้ผลเช่นเดียวกันครับ

หลังจากใช้มาสักระยะหนึ่ง ประมาณครึ่งปี ก็ถ่านหมดครับ คืออุปกรณ์ในชุดจะมีตัวอ่านซึ่งเราเอาไว้ในรถ เอาไว้ดูค่าต่างๆ และอีกตัวคือจุ๊บลมจะต้องเอาใส่ติดไว้กับล้อ ถ่านที่จุ๊บตัวแรกหมดเมื่อผมใช้ไปราวๆ 6 เดือนแรกครับก็เลยไล่เปลี่ยนครบๆ 4 ตัว ซึ่งถ่านก้อนละ 100 บาท ซื้อที่บิ๊กซี ส่วนที่ตัวอ่านมันใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผมใช้ได้ประมาณ 1.5-2 เดือนจะหมดครั้งนึง ก็สามารถเสียบ USB ชาร์ตได้ในรถเลยครับ ครึ่ง ชม. ก็เต็มแล้ว

หลังจากใช้มาปีกว่าๆ จุ๊บลมยางก็เจ๊งไป 1 อันครับ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าผมได้ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ ชนกับขอบฟุตบาทมาและกระทบกระเทือนจุ๊บลมอันนี้ด้วยครับ รวมถึงล้อผมดุ้งด้วยก็เลยคิดว่าค่อนข้างหนัก ซึ่งอาการจุ๊บเสียที่ว่าคือ แรกๆจะค่อยๆวัดเพี้ยนเมื่อลุยน้ำฝนตก แต่พอหลังๆมันเริ่มวัดค่าไม่ได้เลย ค่าลดลงเหลือ 22 20 18 ไปจนถึงเหลือ 1 และเหลือ 0 ครับ ซึ่งผ่านมาคืนนึงมันก็ไม่หาย ก็เป็นอันว่าเสียแล้วครับ เดี๋ยวคงต้องซื้อใหม่ 1 ชุดในไม่ช้าครับ



ผมแกะด้านในออกมา เจอว่าเป็นสนิทที่ถ่านและตรงจุ๊บที่ติดกับถ่านครับ แต่ถ่ายรูปมาไม่ค่อยติดสนิมเท่าไร ส่วนเบอร์ถ่านที่ใช้กับตัวนี้เป้นเบอร์หายากครับ เดี๋ยวจะลองไปหาที่ Home Pro ตามที่เพื่อนสมาชิกแนะนำครับ



สิ่งที่ชอบ
- วัดลมยางได้ค่อนข้างตรง
- วัดอุณหภูมิลมยางได้
- ร้องเตือนเมื่อความร้อนถึง 50 องศา (ตั้งได้)
- ร้องเตือนเมื่อแรงดันลมยางต่ำเกินไป (ถ้าจำไม่ผิด 22 ปอนด์)

สิ่งที่ไม่ชอบ
- ถ่านจุ๊บลมหมดบ่อย
- ราคาถ่านจุ๊บลมยางแพง
- หน้าตาจุ๊บลมยางไม่สวย
- ตัวอ่านที่วางในรถบางจังหวะมีเสียงดังเหมือนลวดตีกัน เมื่อผ่านทางขรุขระ

ก็เป็นอีกอุปกรณ์นึงที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมได้ค่อนข้างน่าประทับใจครับ สุดท้ายนี้หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ ถ้าในรีวิวมีสิ่งใดผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

** เพิ่มเติม **
หลังจากที่ใช้ชุดที่ 2 ช่วงแรกใช้ดีไม่มีปัญหาอะไรครับ บอกลมยางได้ค่อนข้างตรง หลังใช้มา 8 เดือน มีปัญหาจุ๊บหน้าซ้ายลมรั่ว จอดข้ามคืน (10-12 ชม.) ลมจะซึมออกประมาณ 3 ปอนด์ โดยวัดเทียบกับล้ออื่นๆนะครับ แต่ถ้าถอดจุ๊บออกลมยางจะไม่ซึมครับ เป็นอีกปัญหาที่ผมเจอ และก็ค่อนข้างเป็นปัญหาที่ค่อนข้างซีเรียสด้วยเหมือนกันครับสำหรับผม ต่อไปว่าจะลองเปลี่ยนไปใช้ของแบรนด์ดูบ้างครับ หวังว่าจะไม่เจอปัญหาที่เคยเจอในของโนเนมแบบนี้

ฝากกดไลค์เป็นกำลังใจ และติดตามผลงานได้ที่เพจ Need For Slow ครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/