
การวางใจเป็นอุเบกขาและเป็นกุศล
ต่อพระเทวทัต ผู้จะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อฝึกเจริญสติดูอารมณ์ดูจิตใจตนเอง จะพบว่า
เมื่อพบเรื่องราวที่ไม่ชอบใจมักโกรธมีโทสะ
ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศลพระพุทธเจ้าให้รู้แล้วให้ละเสีย
เช่นเรื่องของพุทธบุตรท่านนี้...
พระเทวทัตท่านได้กระทำเรื่องราวต่างๆ ทำให้เราเกิดโทสะ เกิดความไม่พอใจ อันเป็นอกุศลมากต่อเราเพราะท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
จึงควรวางอุเบกขา
เพื่อตัวเราเอง และสร้างศรัทธาอนุโมทนาเมื่อกล่าวถึงตอนที่ท่านสำนึกผิด ถวายอวัยวะตนเองเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า หรือเมื่อเรานึกถึงท่านตอนเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
และเราจะเข้าใจได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงมีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่าเทียมกับพระราหุลซึ่งเป็นพระบุตร เพราะทั้งสองทั้งต่างเป็นพุทธบุตร
เช่นเดียวกัน
เราจึงควรสำรวมระวังกายวาจาและใจ
วางอุเบกขาต่อพระเทวทัต หรือพระพุทธบุตร
ทุกๆท่านแม้ว่าพระบางรูปจะทำผิด ทั้งนี้เพื่อตัวเราเอง เพื่อศาสนา ทั้งนี้การดำเนินการใดๆ ต่อผู้ทำผิด
พระวินัยก็ยังต้องทำต่อไป เช่น การติติงทักท้วงแนะนำ ด้วยอุเบกขา
*รวมถึงบุคคลใด หรือสรรพสัตว์ใดๆ ก็ตาม
เราไม่ควรมีความโกรธเคืองต่อใครๆ เลย
การวางอุเบกขา :
อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆ โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างเพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลงและเพราะกลัว เช่นไม่เสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติ หรือไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติ มิใช่วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้เป็นต้น
ลักษณะของผู้มีอุเบกขา คือเป็นคนหนักแน่นมีสติอยู่เสมอ ไม่ดีใจไม่เสียใจจนเกินเหตุ เป็นคนยุติธรรม ยึดหลักความเป็นผู้ใหญ่ รักษาความเป็นกลางไว้ได้มั่นคงไม่เอนเอียงเข้าข้าง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลถูกต้องคลองธรรม และเป็นผู้วางเฉยได้เมื่อไม่อาจประพฤติเมตตา กรุณา หรือมุทิตาได้
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2
พระเทวทัต:
...ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาระบุว่า เดิมนั้นท่านออกบวชด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ทว่าในที่สุดพระเทวทัตได้สำนึกผิดเมื่อช้าไป ได้ถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีมหานรกหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร
[2] แต่ด้วยการกระทำที่เคยบำเพ็ญบุญบารมีมาแล้วในอดีตมากนับประมาณ และประกอบกับการเห็นถูกต้องตรงสัมมาทิฏฐิเมื่อก่อนสิ้นใจกลับสำนึกผิดมอบถวายกระดูกคางด้วยเป็นพระพุทธบูชาแม้ในขณะวินาทีสุดท้ายในขณะที่ถูกแผ่นดินสูบ ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ด้วยเหตุนั้น ว่าเมื่อพระเทวทัตสิ้นกรรมจากอเวจีมหานรก จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต...
...
แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง. เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า, เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึงพื้นดิน ได้กล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ (แต่ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย ว่าเป็นที่พึ่งด้วย กระดูกเหล่านี้พร้อมด้วยลมหายใจ.”
(เป็นคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์)
นัยว่า “พระตถาคตเจ้าทรงเห็นฐานะนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัตบวช. ก็ถ้าพระเทวทัตนั้น จักไม่ได้บวชไซร้, เป็นคฤหัสถ์ จักได้ทำกรรมหนัก, จักไม่ได้อาจทำปัจจัยแห่งภพต่อไป, ก็แลครั้นบวชแล้ว จักทำกรรมหนักก็จริง, (ถึงดังนั้น) ก็จะสามารถทำปัจจัยแห่งภพต่อไปได้” เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงโปรดให้เธอบวชแล้ว.
— อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ 1 เรื่องพระเทวทัต
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%95
การเจริญสติช่วยให้ปล่อยวางเป็นอุเบกขา
https://pantip.com/topic/37487612/desktop
เพิ่มเติม:
ผมได้อ่านพบข้อความนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวถึงบุพกรรมของท่านสมัยเป็นพระโพธิสัตว์
กระทำบาปต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
จึงขอนำมาลงไว้ เพื่อให้ผู้อ่านสังเกตและ
เปรียบเทียบ
การวางอุเบกขาของตนเองครับ
...พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน ต้องการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า. วันหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องบน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาเวภาระ (ที่อื่นเป็นเขาคิชฌกูฏ) กลิ้งยอดเขาลงมา ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยอดเขายอดอื่นรับเอายอดเขานั้นที่กำลังตกลงมา. สะเก็ดหินที่ตั้งขึ้นเพราะยอดเขาเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมากระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เมื่อชาติก่อน เราฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์ เราใส่ลงในซอกหิน และบดขยี้ด้วยหิน
เพราะวิบากของกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน ก้อนหิน
บดขยี้นิ้วหัวแม่เท้าของเรา.
ปัญหาข้อที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
สะเก็ดหินกระทบ ชื่อว่าสกลิกาเวธะ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนนใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในถนนคิดว่า สมณะโล้นนี้จะไปไหน จึงถือเอาสะเก็ดหินขว้างไปที่หลังเท้าของท่าน. หนังหลังเท้าขาด โลหิตไหลออก.
เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เกิดการห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่หลังพระบาท ด้วยอำนาจกรรมเก่า.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าในหนทาง จึงขว้างสะเก็ดหินใส่.
เพราะวิบากของกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
จึงประกอบนายขมังธนูเพื่อฆ่าเรา.
...
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=1&p=11
การวางใจเป็นอุเบกขา หรือเป็นกุศล ต่อพระเทวทัต ผู้จะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
การวางใจเป็นอุเบกขาและเป็นกุศล
ต่อพระเทวทัต ผู้จะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อฝึกเจริญสติดูอารมณ์ดูจิตใจตนเอง จะพบว่า
เมื่อพบเรื่องราวที่ไม่ชอบใจมักโกรธมีโทสะ
ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศลพระพุทธเจ้าให้รู้แล้วให้ละเสีย
เช่นเรื่องของพุทธบุตรท่านนี้...
พระเทวทัตท่านได้กระทำเรื่องราวต่างๆ ทำให้เราเกิดโทสะ เกิดความไม่พอใจ อันเป็นอกุศลมากต่อเราเพราะท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
จึงควรวางอุเบกขา
เพื่อตัวเราเอง และสร้างศรัทธาอนุโมทนาเมื่อกล่าวถึงตอนที่ท่านสำนึกผิด ถวายอวัยวะตนเองเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า หรือเมื่อเรานึกถึงท่านตอนเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
และเราจะเข้าใจได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงมีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่าเทียมกับพระราหุลซึ่งเป็นพระบุตร เพราะทั้งสองทั้งต่างเป็นพุทธบุตร
เช่นเดียวกัน
เราจึงควรสำรวมระวังกายวาจาและใจ
วางอุเบกขาต่อพระเทวทัต หรือพระพุทธบุตร
ทุกๆท่านแม้ว่าพระบางรูปจะทำผิด ทั้งนี้เพื่อตัวเราเอง เพื่อศาสนา ทั้งนี้การดำเนินการใดๆ ต่อผู้ทำผิด
พระวินัยก็ยังต้องทำต่อไป เช่น การติติงทักท้วงแนะนำ ด้วยอุเบกขา
*รวมถึงบุคคลใด หรือสรรพสัตว์ใดๆ ก็ตาม
เราไม่ควรมีความโกรธเคืองต่อใครๆ เลย
การวางอุเบกขา :
อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆ โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างเพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลงและเพราะกลัว เช่นไม่เสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติ หรือไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติ มิใช่วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้เป็นต้น
ลักษณะของผู้มีอุเบกขา คือเป็นคนหนักแน่นมีสติอยู่เสมอ ไม่ดีใจไม่เสียใจจนเกินเหตุ เป็นคนยุติธรรม ยึดหลักความเป็นผู้ใหญ่ รักษาความเป็นกลางไว้ได้มั่นคงไม่เอนเอียงเข้าข้าง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลถูกต้องคลองธรรม และเป็นผู้วางเฉยได้เมื่อไม่อาจประพฤติเมตตา กรุณา หรือมุทิตาได้
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2
พระเทวทัต:
...ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาระบุว่า เดิมนั้นท่านออกบวชด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ทว่าในที่สุดพระเทวทัตได้สำนึกผิดเมื่อช้าไป ได้ถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีมหานรกหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร[2] แต่ด้วยการกระทำที่เคยบำเพ็ญบุญบารมีมาแล้วในอดีตมากนับประมาณ และประกอบกับการเห็นถูกต้องตรงสัมมาทิฏฐิเมื่อก่อนสิ้นใจกลับสำนึกผิดมอบถวายกระดูกคางด้วยเป็นพระพุทธบูชาแม้ในขณะวินาทีสุดท้ายในขณะที่ถูกแผ่นดินสูบ ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ด้วยเหตุนั้น ว่าเมื่อพระเทวทัตสิ้นกรรมจากอเวจีมหานรก จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต...
...แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง. เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า, เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึงพื้นดิน ได้กล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ (แต่ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย ว่าเป็นที่พึ่งด้วย กระดูกเหล่านี้พร้อมด้วยลมหายใจ.”
(เป็นคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์)
นัยว่า “พระตถาคตเจ้าทรงเห็นฐานะนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัตบวช. ก็ถ้าพระเทวทัตนั้น จักไม่ได้บวชไซร้, เป็นคฤหัสถ์ จักได้ทำกรรมหนัก, จักไม่ได้อาจทำปัจจัยแห่งภพต่อไป, ก็แลครั้นบวชแล้ว จักทำกรรมหนักก็จริง, (ถึงดังนั้น) ก็จะสามารถทำปัจจัยแห่งภพต่อไปได้” เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงโปรดให้เธอบวชแล้ว.
— อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ 1 เรื่องพระเทวทัต
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%95
การเจริญสติช่วยให้ปล่อยวางเป็นอุเบกขา
https://pantip.com/topic/37487612/desktop
เพิ่มเติม:
ผมได้อ่านพบข้อความนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวถึงบุพกรรมของท่านสมัยเป็นพระโพธิสัตว์
กระทำบาปต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
จึงขอนำมาลงไว้ เพื่อให้ผู้อ่านสังเกตและ
เปรียบเทียบ
การวางอุเบกขาของตนเองครับ
...พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน ต้องการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า. วันหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องบน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาเวภาระ (ที่อื่นเป็นเขาคิชฌกูฏ) กลิ้งยอดเขาลงมา ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยอดเขายอดอื่นรับเอายอดเขานั้นที่กำลังตกลงมา. สะเก็ดหินที่ตั้งขึ้นเพราะยอดเขาเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมากระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เมื่อชาติก่อน เราฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์ เราใส่ลงในซอกหิน และบดขยี้ด้วยหิน
เพราะวิบากของกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน ก้อนหิน
บดขยี้นิ้วหัวแม่เท้าของเรา.
ปัญหาข้อที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
สะเก็ดหินกระทบ ชื่อว่าสกลิกาเวธะ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนนใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในถนนคิดว่า สมณะโล้นนี้จะไปไหน จึงถือเอาสะเก็ดหินขว้างไปที่หลังเท้าของท่าน. หนังหลังเท้าขาด โลหิตไหลออก.
เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เกิดการห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่หลังพระบาท ด้วยอำนาจกรรมเก่า.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าในหนทาง จึงขว้างสะเก็ดหินใส่.
เพราะวิบากของกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
จึงประกอบนายขมังธนูเพื่อฆ่าเรา.
...
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=1&p=11