ขอถามคนที่มีประสบการณ์ และไม่มีประสบการณ์หน่อยค่ะ อยากรู้ความคิดเห็นคนอื่น ๆ ว่าถ้าเราทำแบบนี้จะดูเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินเกินไปไหม
สืบเนื่องมาจากเราอยู่ต่างประเทศ และช่วงปีที่แล้ว ทางบริษัทฯ สามีได้มีประกาศออกมาว่า จะทำการปิดกิจการในอีก 3 ปีข้างหน้าคือ ปี 22
แล้วสามีทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิต ต้องได้ไปเทรนคนที่ประเทศใกล้เคียง เนื่องจากบริษัทฯ ย้ายฐานผลิตไปประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ทำให้เขาต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และ บ้านที่เยอรมัน และเนื่องจากเรามีลูกชายด้วยกัน 1 คน ตอนนี้อายุจะ 4 ขวบ ลูกต้องไปอนุบาลทำให้เราติดตามเขาไปทำงานไม่ได้เพราะต้องดูลูกให้ลูกไปโรงเรียน เขาจะไปอยู่ต่างประเทศทีละเดือน กลับมาบ้านอาทิตย์นึง บางทีก็ 3-4 วันก็ไปอีก เป็นแบบนี้มาปีกว่า ๆ
และนี้เป็นที่มาทำให้ห่างกันและเขาก็มีชู้
ตอนแรกที่สงสัยเพราะมีกางเกงในจีสติงผู้หญิงติดมากับเสื้อผ้าเขา เราถามเขาก็ปฏิเสธ ว่าเป็นเสื้อผ้าจากร้านซักรีดส่งมาผิดกะเสื้อผ้าเขา เราก็เลยไม่ติดใจเนื่องจากไม่มีหลักฐาน ผ่านไปเกือบปี เราไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน แล้วเขาก็นั่งแชทกะผู้หญิงคนนี้ เราเปิดประตูออกไปเห็นในมือถือเขาคือผู้หญิงส่งรูปจูบมาให้ แต่เขาเอามือถือหลบอย่างเร็ว เราถามเขาก็ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่ แค่รูปไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ แต่ไม่ยอมให้เราดูมือถือ หรือ เช็คใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่อาการเขาคือเงียบ ถึงเราจะทำอะไรงี่เง่าเขาก็ไม่โกรธ ซึ่งผิดปรกติวิสัยเขา ปรกติเขาจะไม่เงียบเหมือนมีพิรุธ
เราสงสัยเลยแอบเปิดดูพาสปอร์ตเขาว่าไปที่ไหนหรือเปล่า ปรากฏว่าเจอไปเที่ยวต่างประเทศ และตอนนั้นหลอกเราว่าทำงาน แต่จริง ๆ ไปเที่ยวต่างประเทศกะผู้หญิงคนนี้ และเราเปิดดูอีเมล์เก่า ๆ ของเขา เพราะเขาเคยใช้ outlook ที่บ้าน เราเลยเจอชื่อผู้หญิงคนนี้ เราก็หาในเฟสบุ๊ค ก็เจอรูปสามีเรากะผู้หญิงคนนี้เป็นรูปในรถ รูปจูบกัน บอกเลยว่าจุกมาก ๆ เราเลยเปิดประเด็นถามอีก ถึงยอมรับเพราะจำนนด้วยหลักฐาน ก่อนหน้านี้ปฏิเสธมาตลอด ถ้าไม่มีหลักฐานไม่มีทางยอมรับเลย น่าโมโหมากคนแบบนี้
ที่นี้เข้าเรื่องนะคะ เพราะมีลูกด้วยกันเราเลยคิดว่าจะให้อภัยเพราะเป็นความผิดครั้งแรก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าครั้งแรกจริง ๆ หรือหลายครั้งแล้วเพราะไม่เคยเช็คมือถือใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พอคิดว่าให้อภัยแล้ว เหมือนเราเองจะรู้สึกดีแต่ไม่เลย เพราะมันระแวง ความเชื่อใจไม่มีเหลือแล้ว เราเลยมานั่งถามตัวเองว่าเราจะทนอยู่แบบระแวงแบบนี้ไปได้ตลอดเหรอ แล้วเราจะมีความสุขจริง ๆ เหรอ มันจะกระทบกับลูกได้ เพราะบางทีเหมือนไบโพล่า เวลานึกถึงเรื่องนี้เราจะจิตตก เศร้า ไม่มีอารมณ์เล่นกะลูก มันเครียด เราเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกเอง แต่ก่อนทำงานมาตลอด พึ่งหยุดทำงานตอนเลี้ยงลูกนี่แหละค่ะ การเงินสามีเป็นคนจัดการทั้งหมด
เนื่องจากมันไม่สามารถการันตีได้เลยว่าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีก หรือบางทีทำอีกแบบแนบเนียนกว่าเดิมเพื่อไม่ให้เราจับได้
หรือบางทีเขาอาจจะกลับตัวได้จริง ๆ คือเราเองก็ไม่สามารถรู้อนาคตได้เลย เขาขอโอกาสอีกครั้ง เขาไม่อยากเสียเรากะลูกไป ส่วนตัวเราว่าผู้ชายที่ทำแบบนี้ได้คงไม่รักเราแล้วละ ถึงได้กล้าทำโดยไม่นึกถึงจิตใจเราเลย เราไม่มีความรู้สึกรัก อยากกอดเขาใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนหมดใจไปเลยมาเจอแบบนี้
เราคิดว่าเราจะเสนอเขาไปแบบนี้ ซึ่งเขาเองอาจจะคิดว่าเราเห็นแก่เงินหรือเปล่า บอกไว้ก่อนว่าเขามีเงินระดับนึง เพราะได้มรดกจากแม่เขาตอนแม่ตาย
1. เราจะขอเงินเขาสักก้อนเพื่อมาเป็นทุน อาจจะสัก 2 -30,000 ยูโร แล้วเราจะให้โอกาสเขาอีกครั้งเพื่อกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม
2. หย่า ๆ กันไปเลยให้จบ ๆ ต่างคนต่างไปมีอนาคตของตัวเอง เราจะได้ไม่ต้องมานั่งทุกข์ระแวงเขาไปตลอดชีวิต หย่ากันเราจะได้เงินก้อนใหญ่เพื่อใช้จ่าย และเราจะไปหางานทำ เงินก้อนนี้สามารถเป็นทุนสำรองในอนาคตสำหรับเราและลูกได้หลายปี และเราจะได้เงินที่เขาต้องส่งเสียลูกรายเดือน และเงินลูกจากรัฐบาลอีกบางส่วนไปจนลูกเรียนจบมีงานทำ
คือเราคิดว่าบางทีถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง แล้วอีก 3 ปีข้างหน้าเขาตกงาน แล้วเขามีชู้อีกครั้ง เราจะไม่ได้เงินใด ๆ จากเขาเลยแถมถ้าเราทำงานต้องมานั่งส่งเสียเขาอีกหรือเปล่า กลายเป็น 3 ปีให้โอกาสไร้ค่า แถมเราไม่มีเงินติดตัวอีกต่างหาก ตอนนี้เรามองไปถึงอนาคตตัวเองและลูกต้องไม่ลำบากจากการกระทำของผู้ชายเลว ๆ คนนึง แล้วชีวิตเมืองนอกมันลำบากนะ ถ้าไม่มีเงิน มีงาน แต่งานมันหาไม่ยากถ้าไม่เลือกงาน เราทำงานมาตลอด เราหางานทำได้ไม่ยากถ้าไม่เลือกงานเพราะมันเมืองใหญ่ งานหาง่าย ใครมีความเห็นยังไงแสดงได้เลยนะคะ อยากรู้มุมมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง การที่ผู้ชายนอกใจเป็นปี ๆ นี่เขาบอกเขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นไปได้เหรอคะ
เมื่อสามีมีชู้ และการตัดสินใจเพื่อตัวเองและลูก
สืบเนื่องมาจากเราอยู่ต่างประเทศ และช่วงปีที่แล้ว ทางบริษัทฯ สามีได้มีประกาศออกมาว่า จะทำการปิดกิจการในอีก 3 ปีข้างหน้าคือ ปี 22
แล้วสามีทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิต ต้องได้ไปเทรนคนที่ประเทศใกล้เคียง เนื่องจากบริษัทฯ ย้ายฐานผลิตไปประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ทำให้เขาต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และ บ้านที่เยอรมัน และเนื่องจากเรามีลูกชายด้วยกัน 1 คน ตอนนี้อายุจะ 4 ขวบ ลูกต้องไปอนุบาลทำให้เราติดตามเขาไปทำงานไม่ได้เพราะต้องดูลูกให้ลูกไปโรงเรียน เขาจะไปอยู่ต่างประเทศทีละเดือน กลับมาบ้านอาทิตย์นึง บางทีก็ 3-4 วันก็ไปอีก เป็นแบบนี้มาปีกว่า ๆ
และนี้เป็นที่มาทำให้ห่างกันและเขาก็มีชู้
ตอนแรกที่สงสัยเพราะมีกางเกงในจีสติงผู้หญิงติดมากับเสื้อผ้าเขา เราถามเขาก็ปฏิเสธ ว่าเป็นเสื้อผ้าจากร้านซักรีดส่งมาผิดกะเสื้อผ้าเขา เราก็เลยไม่ติดใจเนื่องจากไม่มีหลักฐาน ผ่านไปเกือบปี เราไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน แล้วเขาก็นั่งแชทกะผู้หญิงคนนี้ เราเปิดประตูออกไปเห็นในมือถือเขาคือผู้หญิงส่งรูปจูบมาให้ แต่เขาเอามือถือหลบอย่างเร็ว เราถามเขาก็ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่ แค่รูปไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ แต่ไม่ยอมให้เราดูมือถือ หรือ เช็คใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่อาการเขาคือเงียบ ถึงเราจะทำอะไรงี่เง่าเขาก็ไม่โกรธ ซึ่งผิดปรกติวิสัยเขา ปรกติเขาจะไม่เงียบเหมือนมีพิรุธ
เราสงสัยเลยแอบเปิดดูพาสปอร์ตเขาว่าไปที่ไหนหรือเปล่า ปรากฏว่าเจอไปเที่ยวต่างประเทศ และตอนนั้นหลอกเราว่าทำงาน แต่จริง ๆ ไปเที่ยวต่างประเทศกะผู้หญิงคนนี้ และเราเปิดดูอีเมล์เก่า ๆ ของเขา เพราะเขาเคยใช้ outlook ที่บ้าน เราเลยเจอชื่อผู้หญิงคนนี้ เราก็หาในเฟสบุ๊ค ก็เจอรูปสามีเรากะผู้หญิงคนนี้เป็นรูปในรถ รูปจูบกัน บอกเลยว่าจุกมาก ๆ เราเลยเปิดประเด็นถามอีก ถึงยอมรับเพราะจำนนด้วยหลักฐาน ก่อนหน้านี้ปฏิเสธมาตลอด ถ้าไม่มีหลักฐานไม่มีทางยอมรับเลย น่าโมโหมากคนแบบนี้
ที่นี้เข้าเรื่องนะคะ เพราะมีลูกด้วยกันเราเลยคิดว่าจะให้อภัยเพราะเป็นความผิดครั้งแรก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าครั้งแรกจริง ๆ หรือหลายครั้งแล้วเพราะไม่เคยเช็คมือถือใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พอคิดว่าให้อภัยแล้ว เหมือนเราเองจะรู้สึกดีแต่ไม่เลย เพราะมันระแวง ความเชื่อใจไม่มีเหลือแล้ว เราเลยมานั่งถามตัวเองว่าเราจะทนอยู่แบบระแวงแบบนี้ไปได้ตลอดเหรอ แล้วเราจะมีความสุขจริง ๆ เหรอ มันจะกระทบกับลูกได้ เพราะบางทีเหมือนไบโพล่า เวลานึกถึงเรื่องนี้เราจะจิตตก เศร้า ไม่มีอารมณ์เล่นกะลูก มันเครียด เราเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกเอง แต่ก่อนทำงานมาตลอด พึ่งหยุดทำงานตอนเลี้ยงลูกนี่แหละค่ะ การเงินสามีเป็นคนจัดการทั้งหมด
เนื่องจากมันไม่สามารถการันตีได้เลยว่าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีก หรือบางทีทำอีกแบบแนบเนียนกว่าเดิมเพื่อไม่ให้เราจับได้
หรือบางทีเขาอาจจะกลับตัวได้จริง ๆ คือเราเองก็ไม่สามารถรู้อนาคตได้เลย เขาขอโอกาสอีกครั้ง เขาไม่อยากเสียเรากะลูกไป ส่วนตัวเราว่าผู้ชายที่ทำแบบนี้ได้คงไม่รักเราแล้วละ ถึงได้กล้าทำโดยไม่นึกถึงจิตใจเราเลย เราไม่มีความรู้สึกรัก อยากกอดเขาใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนหมดใจไปเลยมาเจอแบบนี้
เราคิดว่าเราจะเสนอเขาไปแบบนี้ ซึ่งเขาเองอาจจะคิดว่าเราเห็นแก่เงินหรือเปล่า บอกไว้ก่อนว่าเขามีเงินระดับนึง เพราะได้มรดกจากแม่เขาตอนแม่ตาย
1. เราจะขอเงินเขาสักก้อนเพื่อมาเป็นทุน อาจจะสัก 2 -30,000 ยูโร แล้วเราจะให้โอกาสเขาอีกครั้งเพื่อกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม
2. หย่า ๆ กันไปเลยให้จบ ๆ ต่างคนต่างไปมีอนาคตของตัวเอง เราจะได้ไม่ต้องมานั่งทุกข์ระแวงเขาไปตลอดชีวิต หย่ากันเราจะได้เงินก้อนใหญ่เพื่อใช้จ่าย และเราจะไปหางานทำ เงินก้อนนี้สามารถเป็นทุนสำรองในอนาคตสำหรับเราและลูกได้หลายปี และเราจะได้เงินที่เขาต้องส่งเสียลูกรายเดือน และเงินลูกจากรัฐบาลอีกบางส่วนไปจนลูกเรียนจบมีงานทำ
คือเราคิดว่าบางทีถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง แล้วอีก 3 ปีข้างหน้าเขาตกงาน แล้วเขามีชู้อีกครั้ง เราจะไม่ได้เงินใด ๆ จากเขาเลยแถมถ้าเราทำงานต้องมานั่งส่งเสียเขาอีกหรือเปล่า กลายเป็น 3 ปีให้โอกาสไร้ค่า แถมเราไม่มีเงินติดตัวอีกต่างหาก ตอนนี้เรามองไปถึงอนาคตตัวเองและลูกต้องไม่ลำบากจากการกระทำของผู้ชายเลว ๆ คนนึง แล้วชีวิตเมืองนอกมันลำบากนะ ถ้าไม่มีเงิน มีงาน แต่งานมันหาไม่ยากถ้าไม่เลือกงาน เราทำงานมาตลอด เราหางานทำได้ไม่ยากถ้าไม่เลือกงานเพราะมันเมืองใหญ่ งานหาง่าย ใครมีความเห็นยังไงแสดงได้เลยนะคะ อยากรู้มุมมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง การที่ผู้ชายนอกใจเป็นปี ๆ นี่เขาบอกเขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นไปได้เหรอคะ