คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่น้ำมัน B100ใช้กับรถยนต์ได้หรือไม่ ประเด็นหลักอยู่ที่เมื่อนำมาใช้มันจะทำให้ราคาขายปลีก รวมภาษีมีราคาสูงขึ้น เป็นการผลักภาระไปให้ผู้ใช้รถ
https://www.innnews.co.th/economy/news_395169/
ปัจจุบัน รัฐมีการเก็บภาษี
น้ำมันดีเซลที่ 6.44 บาท/ลิตร
ดีเซลB7 ที่ 5.99 บาท/ลิตร
ดีเซลB20 ที่ 5.153 บาท/ลิตร
จะเห็นว่าทางรัฐต้องลดภาษีที่จัดเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นเมื่อผสมน้ำมันปาล์มเข้าไปในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
การนำน้ำมันปาล์มไปใช้ผลิต B100จึงไม่ใช่ทางออก เพราะนอกจากเป็นการบิดเบือนราคา ยังทำให้ supply ของน้ำมันปาล์มไม่ลดลง ตรงกันข้ามจะทำให้เกิดการส่งสัญญาณที่ผิดทำให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูก สุดท้าย Supply.ยิ่งเพิ่มขึ้นและผู้ใช้น้ำมันรถยนต์ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้ยังรวมไปถึงที่ก่อนหน้าทางรัฐบาลออกมาตราการนำน้ำมันปาล์มไปผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการใช้น้ำมันปาล์มนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น โดยภาระสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับคือผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน
อีกมาตรการเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คือมาตราการเพิ่มราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มขายปลีกอีกขวดละ 10 บาทให้ผู้บริโภคตามบ้านร่วมแบกรับ
จะเห็นว่า รัฐ ได้พยายามกระจายภาระต้นทุนการแบกราคาปาล์มสู่ทั้งผู้ใช้รถ ผู้ใช้ไฟ ผู้ใช้กิน ก็ยังไม่สามารถดูดซัพพลายส่วน้กินนี้ได้ หากยังทุ่มเงินเพื่อประกันราคา 4 บาท/กก. จะยิ่งซ้ำเติมและสนับสนุนการบิดเบือนโครงสร้างการผลิตและราคาในระยะยาวเพิ่มขึ้นไปอีก
อุตสาหกรรมการผลิตปาล์มนั้น หากมีการควบคุมซัพพลายส่วนเกินก็จะทำให้ราคาปรับเข้าสู่สมดุล ควรออกกฎหมายให้ผู้ปลูกปาล์มต้องมีใบอนุญาติในการปลูก เพื่อควบคุมซัพพลายโดยไม่ต้องสนับสนุนด้านราคาเพิ่มเติม เพราะราคาจะปรับขึ้น ไม่ควรสนับสนุนเพิ่มอีกเพราะมันส่งผลกระทบต่อ ปชช.ทั่วไปมากอยู่แล้ว
วงเงินที่จะใช้สนับสนุน ควรนำไปส่งเสริมให้ผู้ที่ปลูกปาล์มอยู่หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นจะดีกว่า... เพื่อดูดซัพพลายส่วนเกินออก
ทางรัฐควรคำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศเท่านั้น เพื่อกำหนดจำนวนใบอนุญาติ และเพื่อส่งสัญญาณการควบคุมการผลิต... ทั้งนี้เพื่อทั้งเกษตรกรที่ปลูกปาล์ม และทั้งคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้เสียภาษี...
ที่รัฐต้องดูแล คือเกษตรกรที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนการปลูกปาล์มไปปลูกพืชอื่น นี่ถึงเป็นกลุ่มเกษตรกรแท้จริงที่รัฐควรทุ่มเงินลงไปช่วยเหลือ
https://www.innnews.co.th/economy/news_395169/
ปัจจุบัน รัฐมีการเก็บภาษี
น้ำมันดีเซลที่ 6.44 บาท/ลิตร
ดีเซลB7 ที่ 5.99 บาท/ลิตร
ดีเซลB20 ที่ 5.153 บาท/ลิตร
จะเห็นว่าทางรัฐต้องลดภาษีที่จัดเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นเมื่อผสมน้ำมันปาล์มเข้าไปในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
การนำน้ำมันปาล์มไปใช้ผลิต B100จึงไม่ใช่ทางออก เพราะนอกจากเป็นการบิดเบือนราคา ยังทำให้ supply ของน้ำมันปาล์มไม่ลดลง ตรงกันข้ามจะทำให้เกิดการส่งสัญญาณที่ผิดทำให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูก สุดท้าย Supply.ยิ่งเพิ่มขึ้นและผู้ใช้น้ำมันรถยนต์ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้ยังรวมไปถึงที่ก่อนหน้าทางรัฐบาลออกมาตราการนำน้ำมันปาล์มไปผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการใช้น้ำมันปาล์มนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น โดยภาระสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับคือผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน
อีกมาตรการเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คือมาตราการเพิ่มราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มขายปลีกอีกขวดละ 10 บาทให้ผู้บริโภคตามบ้านร่วมแบกรับ
จะเห็นว่า รัฐ ได้พยายามกระจายภาระต้นทุนการแบกราคาปาล์มสู่ทั้งผู้ใช้รถ ผู้ใช้ไฟ ผู้ใช้กิน ก็ยังไม่สามารถดูดซัพพลายส่วน้กินนี้ได้ หากยังทุ่มเงินเพื่อประกันราคา 4 บาท/กก. จะยิ่งซ้ำเติมและสนับสนุนการบิดเบือนโครงสร้างการผลิตและราคาในระยะยาวเพิ่มขึ้นไปอีก
อุตสาหกรรมการผลิตปาล์มนั้น หากมีการควบคุมซัพพลายส่วนเกินก็จะทำให้ราคาปรับเข้าสู่สมดุล ควรออกกฎหมายให้ผู้ปลูกปาล์มต้องมีใบอนุญาติในการปลูก เพื่อควบคุมซัพพลายโดยไม่ต้องสนับสนุนด้านราคาเพิ่มเติม เพราะราคาจะปรับขึ้น ไม่ควรสนับสนุนเพิ่มอีกเพราะมันส่งผลกระทบต่อ ปชช.ทั่วไปมากอยู่แล้ว
วงเงินที่จะใช้สนับสนุน ควรนำไปส่งเสริมให้ผู้ที่ปลูกปาล์มอยู่หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นจะดีกว่า... เพื่อดูดซัพพลายส่วนเกินออก
ทางรัฐควรคำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศเท่านั้น เพื่อกำหนดจำนวนใบอนุญาติ และเพื่อส่งสัญญาณการควบคุมการผลิต... ทั้งนี้เพื่อทั้งเกษตรกรที่ปลูกปาล์ม และทั้งคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้เสียภาษี...
ที่รัฐต้องดูแล คือเกษตรกรที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนการปลูกปาล์มไปปลูกพืชอื่น นี่ถึงเป็นกลุ่มเกษตรกรแท้จริงที่รัฐควรทุ่มเงินลงไปช่วยเหลือ
แสดงความคิดเห็น
จะแก้ปัญหาราคา ปาล์มตกต่ำ โดยการประกันราคา 4 บาท/กก.ได้จริงหรือ??
https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-08-22/anti-palm-fight-rages-as-indonesia-bans-palm-oil-free-products
เรื่องนี้ อาจจะถือได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติของ 2 ประเทศนี้ได้เลย เพราะอาจนำไปสู่การเปิดสงครามทางการค้าระหว่างอินโดนีเซียกับอียูได้...
ผลในระยะยาว แน่นอนว่าราคาปาล์มคงตกต่ำไปอีกอย่างยาวนาน... การทำประกันรายได้เกษตรในส่วนของปาล์ม ที่ 4 บาท/กก. โดยกำหนดสัดส่วนน้ำมันที่ 18% (ไม่ใช่ 23%) จะทำไปได้ในระยะยาวหรือไม่
ก่อนหน้ามีการพยายาม ให้มีการพัฒนาการปลูกและเก็บเกี่ยวปาล์มให้ได้น้ำมันที่ 23% การที่จะออกนโยบายประกันราคาเช่นนี้ นอกจากไม่สนับสนุนให้มีการพัฒนาโดยเพิ่มผลผลิตแล้ว ยังเป็นภาระงบประมาณไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน เพราะราคาปาล์มคงไม่กลับมามีราคาสูงอีกต่อไป
จริงๆ อุปสรรรค มาพร้อมโอกาส เพราะในระหว่างที่ผู้ผลิต 2 ชาติใหญ่ สามารถปรับตัวได้ยากส์ เพราะมีขนาดอุตสาหกรรมตั้งแต่การปลูกถึงการกลั่น ที่ใหญ่มากมายยากต่อการปรับเปลี่ยน เราควรใช้โอกาสนี้ สนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกปลา์ม ให้หันไปปลูกพืชอื่นทดแทน เพื่อสกัดน้ำมัน ชิงส่วนแบ่งการตลาดการส่งออกน้ำมันพืชอื่นส่งเข้า EU...
คิดว่า หากเราใช้เงินเข้าไปส่งเสริมในจุดนี้ จะสามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้มากกว่า การฝืนทำในสิ่งที่ถมไม่เต็ม
Exporting Palm Oil Alternatives to Europe
https://www.cbi.eu/market-information/natural-ingredients-cosmetics/palm-oil-alternatives/