จะแก้ปัญหาราคา​ ปาล์มตกต่ำ​ โดยการประกันราคา​ 4 บาท/กก.ได้จริงหรือ??

กระทู้คำถาม
มีข่าวชิ้นนึงจาก​  Bloomberg.. บอกว่าขณะนี้ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซีย​ ซึ่งเป็นผู้ผลิตปาล์มส่งออกเป็น​ อันดับ​ 1 และ​ 2 ของโลก​  เรียกเก็บสินค้าที่วางจำหน่ายในประเทศที่ติดฉลาก​  "Palm Oil-Free"   ออกจากชั้นวางสินค้า... ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้มาตรการจาก​ EU.ที่ออกกฎไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำมั้นปาล์ม​ ซึ่งมีส่วนผสมอยู่ตั้งแต่อาหารจนถึงเครืรองสำอาง

https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-08-22/anti-palm-fight-rages-as-indonesia-bans-palm-oil-free-products


เรื่องนี้​ อาจจะถือได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติของ​ 2 ประเทศนี้ได้เลย​ เพราะอาจนำไปสู่การเปิดสงครามทางการค้าระหว่างอินโดนีเซียกับอียูได้...

ผลในระยะยาว​ แน่นอนว่าราคาปาล์มคงตกต่ำไปอีกอย่างยาวนาน... การทำประกันรายได้เกษตรในส่วนของปาล์ม​ ที่​ 4 บาท/กก.​ โดยกำหนดสัดส่วนน้ำมันที่​ 18% (ไม่ใช่​ 23%)  จะทำไปได้ในระยะยาวหรือไม่

ก่อนหน้ามีการพยายาม​ ให้มีการพัฒนาการปลูกและเก็บเกี่ยวปาล์มให้ได้น้ำมันที่​ 23%    การที่จะออกนโยบายประกันราคาเช่นนี้​  นอกจากไม่สนับสนุนให้มีการพัฒนาโดยเพิ่มผลผลิตแล้ว​ ยังเป็นภาระงบประมาณไปเรื่อยๆ​ อย่างแน่นอน​  เพราะราคาปาล์มคงไม่กลับมามีราคาสูงอีกต่อไป

จริงๆ​ อุปสรรรค​ มาพร้อมโอกาส​  เพราะในระหว่างที่ผู้ผลิต​ 2 ชาติใหญ่​ สามารถปรับตัวได้ยากส์​ เพราะมีขนาดอุตสาหกรรมตั้งแต่การปลูกถึงการกลั่น  ที่ใหญ่มากมาย​ยากต่อการปรับเปลี่ยน​     เราควรใช้โอกาสนี้​ สนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกปลา์ม​ ให้หันไปปลูกพืชอื่นทดแทน​ เพื่อสกัดน้ำมัน​  ชิงส่วนแบ่งการตลาดการส่งออกน้ำมันพืชอื่นส่งเข้า​ EU...

คิดว่า​ หากเราใช้เงินเข้าไปส่งเสริมในจุดนี้​  จะสามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้มากกว่า​  การฝืนทำในสิ่งที่ถมไม่เต็ม

Exporting Palm Oil Alternatives to Europe
https://www.cbi.eu/market-information/natural-ingredients-cosmetics/palm-oil-alternatives/
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่